อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เผยตัวเลขผู้ประกอบการเอสเอ็มอีขอรับความช่วยเหลือจากสถานการณ์ค่าแรง และการเตรียมพร้อมรับมือ AEC สูงถึง 4,000 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด ประสบปัญหาเรื่องต้นทุน-ลอจิสติกส์ สิ่งที่ต้องการมากขณะนี้คือการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยกรมฯ ทำหน้าที่คัดเลือกและช่วยการันตีเพื่อให้ง่ายต่อการปล่อยกู้สถาบันการเงิน
นายโสภณ ผลประสิทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากผลกระทบนโยบายการขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาท ทั่วประเทศ และการเตรียมความพร้อมของธุรกิจเอสเอ็มอี ในการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 นั้น ในขณะนี้มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 4,000 รายที่ได้รับผลกระทบและแสดงความจำนงขอรับความช่วยเหลือจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจากสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งเรื่องที่ขอรับความช่วยเหลือส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง รวมถึงการหาตลาด และการลดต้นทุนในการผลิตสินค้า
โดยทางกรมฯ จะเตรียมแผนการให้ความช่วยเหลือไว้หลายด้าน ซึ่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะต้องเข้าร่วมในโครงการต่างๆ ที่ทางกรมฯ จัดขึ้นก่อน โดยจะให้คำปรึกษาในการทำแผนงานธุรกิจ รวมถึงการตรวจสอบสถานะทางการเงินเพื่อการันตีคุณสมบัติของผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถพิจารณาให้สินเชื่อได้รวดเร็วขึ้น
ทั้งนี้ เอสเอ็มอีที่แจ้งความจำนงค์ขอรับความช่วยเหลือส่วนใหญ่จะอยู่ต่างจังหวัดและอยู่ไกลจากเส้นทางลอจิสติกส์จึงมีต้นทุนการผลิตที่สูง และไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ ดังนั้นเมื่อกรมฯ ช่วยการันตีจะง่ายขึ้น ส่วนสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย, ธนาคารออมสิน, ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), ธนาคารพัฒนาวิสหากิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) และบรรษัทสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ขณะเดียวกัน ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย ได้ขอเข้ามาเจรจากับกรมฯ
สำหรับปีนี้ กรมฯ ได้เข้าไปช่วยพัฒนาศักยภาพเอสเอ็มอี จำนวน 15,000 ราย รวมถึงพัฒนาสถานประกอบการ 650 กิจการ และการสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศ 10 เครือข่าย เพื่อให้มีศักยภาพในการรับมือกับการเปิดเออีซีได้
