xs
xsm
sm
md
lg

สสว.ควบรวมธุรกิจความงาม บุกตลาดเมียนมาร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายชาวันย์ สวัสดิ์-ชูโต
สสว.เดินหน้าสร้างแต้มต่อ SMEs กลุ่มอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม (Wellness) มุ่งติดอาวุธทางปัญญา พร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ นำร่องเชื่อมโยงเครือข่ายกับ “เมียนมาร์” เพราะเป็นทั้งตลาดการค้า แหล่งวัตถุดิบ และโอกาสในการเชื่อมโยงธุรกิจในลักษณะ Value Chain คาดเตรียมความพร้อม SMEs ก่อนเข้าสู่ AEC และเกิดการจับคู่ธุรกิจไม่น้อยกว่า 60 คู่ มูลค่าไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท

นายชาวันย์ สวัสดิ์-ชูโต รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากการที่กลุ่มอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม (Wellness) เป็นอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการ SMEs ไทยมีศักยภาพและมีความได้เปรียบมากเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย ทั้งในด้านการรักษาพยาบาล การดูแลสุขภาพ การเสริมความงาม ตลอดจนการดูแลผู้สูงอายุ เห็นได้จากข้อมูลของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ที่ระบุว่าประเทศไทยมีชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลมากที่สุดในเอเชีย ซึ่งในปี 2554 มีจำนวนทั้งสิ้น 1.87 ล้านคน และผลจากการขยายตัวของธุรกิจภาคบริการโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่เจริญเติบโตอย่างมากในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 จึงนับเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการ SMEs ไทย

“ที่ผ่านมา SMEs ไทยส่วนใหญ่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องการบริหารจัดการที่มีมาตรฐาน รวมถึงการมีเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้น เพื่อเป็นการเสริมสร้างศักยภาพและความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาว สสว.จึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยดำเนินกิจกรรมการพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs ไทยระหว่างประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรม Wellness ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพกับ SMEs ไทย รวมทั้งเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรม Wellness เพื่อการท่องเที่ยว ทั้งโดยการเสริมสร้างข้อมูลความรู้ และขยายโอกาสทางการตลาดด้วยการจับคู่เจรจาธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ พร้อมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการสนับสนุนและส่งเสริม SMEs กับตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ โดยกำหนดพื้นที่นำร่องในการศึกษาและดำเนินกิจกรรมคือสหภาพเมียนมาร์” รักษาการ ผอ.สสว.กล่าว

ทั้งนี้ เนื่องจากเมียนมาร์เป็นทั้งตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรเกือบ 60 ล้านคน มีแหล่งวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติ และมีแรงงานราคาถูก เมื่อมองถึงการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวกับไทยก็นับเป็นโอกาสที่ดี เพราะปัจจุบันนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทย ระหว่างนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น และจากกลุ่มอาเซียน มีสัดส่วนร้อยละ 70:30 ขณะที่เมียนมาร์มีสัดส่วนของนักท่องเที่ยวดังกล่าวร้อยละ 35:65 ดังนั้น หากไทยและเมียนมาร์มีความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จึงนับว่ามีโอกาสเติบโตทางการตลาดร่วมกันในระยะยาวในลักษณะเอื้ออำนวยต่อกัน โดยเน้นการพัฒนากลุ่มเครือข่ายความสัมพันธ์ในลักษณะของ Value Chain ที่นำกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ผู้จัดหาวัตถุดิบ หรือธุรกิจต้นน้ำเชื่อมโยงไปสู่ผู้จัดจำหน่าย ซึ่งเป็นธุรกิจปลายน้ำ ให้รวมกลุ่มกันทั้งในระดับภายในประเทศไทยเองและระหว่างประเทศ

สำหรับกิจกรรมการพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs ไทยระหว่างประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรม Wellness นี้จะเป็นการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ โดยการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม ศึกษาดูงาน แลกเปลี่ยนความรู้กับนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อโอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศ และขยายโอกาสทางการตลาดด้วยกิจกรรมเจรจาธุรกิจ ณ เมืองย่างกุ้ง เมียนมาร์

“เชื่อว่ากิจกรรมดังกล่าวนอกจากจะช่วยเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการ SMEs ในการเปิดตลาดการค้าในกลุ่ม AEC แล้ว จะมีการสนับสนุนข้อมูลความรู้ทั้งด้านการตลาด วัตถุดิบ และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาศักยภาพให้ผู้ประกอบการ SMEs และภายใต้กิจกรรมดังกล่าวจะก่อให้เกิดการจับคู่ธุรกิจไม่น้อยกว่า 60 คู่ คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท” รักษาการ ผอ.สสว.กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น