บนเนื้อที่ จ.อุตรดิตถ์กว่า 2,500 ไร่ถูกเนรมิตเป็นป่าปลูกไม้สักเพื่อนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้สักที่หลายคนหลงใหล โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมจากการปลูกทดแทนตลอดเวลาอย่างเป็นระบบ ทำให้ ณ เวลานี้ “TS Teak” เป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวในเมืองไทยที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับไม้สักครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำเลยทีเดียว
นายไกรสร สว่างเดชารักษ์ กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงเลื่อยจักรท่าเสา เล่าว่า หากย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2510 คุณพ่อได้สัมปทานปลูกป่า จ.อุตรดิตถ์ ต่อมาในปี 2522 เริ่มตัดไม้ท่อนเพื่อจำหน่าย โดยไม้ท่อนที่มีลักษณะดี สวยงามก็จำหน่าย ส่วนไม้ท่อนไม่สวยก็ขายไม่ออกจึงรู้สึกเสียดายไม้เหล่านั้น ตัดสินใจตั้งโรงเลื่อยท่าเสาขึ้นเพื่อแปรรูปไม้และเลือกใช้ระบบไฟฟ้าเป็นแห่งแรกๆ ในเมืองไทย
เมื่อกิจการเริ่มไปได้ดีมีการลงทุนในเรื่องของโรงเลื่อยและรถแทรกเตอร์ “นายไกรสร” เข้ามาช่วยธุรกิจของครอบครัว ธุรกิจเป็นอันต้องยุติลงทันทีหลังรัฐบาลในสมัยปี 2532 สั่งปิดป่าให้ผู้ที่ได้รับสัมปทานปลูกป่าออกจากป่าให้หมดเพื่อลดปัญหาดินสไลด์ ส่งผลให้ต้องนำไม้เก่าที่มีอยู่ในสต๊อกเลื่อยขายเพื่อให้มีรายได้ จนกระทั่งปี 2544 ไม้ในสต๊อกหมดลง ประกอบกับจีนเริ่มเปิดประเทศ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว คิดนำไม้จากโรงเลื่อยส่งขายที่กรุงเทพฯ แต่เมื่อคำนึงถึงความคุ้มค่าน่าจะสู้ต้นทุนด้านการขนส่งไม่ไหวถึงขนาดคิดจะเลิกทำกิจการไม้หันหาสินค้าที่จะไปขายที่ประเทศจีนแทน แต่ด้วยความชำนาญและประสบการณ์ในสินค้าอื่นๆ ไม่มีเพราะนายไกรสรอยู่กับธุรกิจไม้สักมาตลอด
จึงคิดฟื้นฟูผืนดินป่าปลูกต้นสักของคุณพ่อกว่า 2,500 ไร่ที่ทิ้งร้างไว้หลายปี คาดว่าจะมีต้นสักพอนำไปแปรรูปขายได้ แต่เมื่อลงดูพื้นที่จริงๆ เหลือต้นสักเพียง 60% เท่านั้นที่พอนำมาใช้งานได้ จึงลงมือสางป่า ปลูกต้นสักด้วยวิธี 4x4 เมตร (ปลูกต้นสักห่างกันด้านละ 4 เมตร) จากเดิมที่คุณพ่อเคยใช้ขนาด 2x4 เมตร ทำให้ต้นสักที่อยู่ช่วงกลางโตไม่ได้ขนาดที่ต้องการ ซึ่งขนาดที่นายไกรสรใช้นั้นจะได้ต้นสัก 200 ต้น/1 ไร่ และตัดใช้งานครั้งแรกเมื่อต้นสักมีอายุได้ 7 ปีจะตัดต้นสักประมาณ 50% พอเข้าปีที่ 14 ตัดอีก 25% และปีที่ 21 ตัดอีก 25% และในขณะเดียวกันก็ปลูกทดแทนตลอดเวลาทำให้ไม่เสียสมดุลทางธรรมชาติ
“ปัจจุบัน TS Teak มีเนื้อที่ปลูกป่าสักประมาณ 5,000 ไร่ โดยก่อตั้งโรงงานเพื่อแปรรูปไม้สักของเราเอง และถือเป็นเจ้าเดียวในเมืองไทยที่ดำเนินธุรกิจไม้สักแบบครบวงจรตั้งแต่ปลูกต้นกล้าไปจนถึงติดนอตตัวสุดท้ายที่เฟอร์นิเจอร์หรือบ้านเป็นหลังๆ ก็ตาม ซึ่งเราไม่เคยคิดที่จะทำให้ครบวงจรขนาดนี้เพราะความเชี่ยวชาญจริงๆ ของเราคือการปลูกต้นสัก เลื่อยไม้ แต่เมื่อถึงขั้นตอนการแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ กลับไม่มีโรงงานผลิตให้จากเหตุผลที่ว่า “ไม้หนุ่ม” ขายไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องทำโรงงานเพื่อแปรรูปไม้สักของเราเอง โดยอาศัยเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อทำให้ไม้มีความแข็งแรงทนทานเทียบไม้สักที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป”
TS Teak ทุ่มเทให้เทคโนโลยีการแปรรูปไม้สักเพื่อให้ได้คุณภาพดี คงทน โดยเสาะหาองค์ความรู้ทั้งในและต่างประเทศ จนได้เครื่องอบไม้อุณหภูมิสูงประมาณ 210 องศาเซลเซียสเพื่อให้ไม้แห้งสนิท แข็งแรง และเครื่องทำสีไม้เป็นสูตรน้ำไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และไม่ติดไฟง่าย กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้สักที่มีราคาถูกกว่าไม้สักแก่กว่าครึ่ง แถมรับประกันความแข็งแกร่งทนทานของเนื้อไม้ที่เทียบเท่ากัน
ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติถึง 70% ลูกค้าที่เป็นคนไทย 30% ขณะเดียวกันยังมีลูกค้าบ้านและคอนโดฯ ตามเมืองท่องเที่ยวต่างๆ จากการที่ TS Teak ได้ไปเปิดสาขาที่ ภูเก็ต สมุย พัทยา และเชียงใหม่ ส่วนสาขาใน กทม.อยู่ Crystal Design Center (CDC) อาคาร D ห้อง 109 ย่านรามอินทรา เป็นโชว์รูมแบบครบวงจร ทั้งประตู (สินค้าขายดี), ชุดวงกบหน้าต่างสไตล์ยุโรป, ชุดครัว, เฟอร์นิเจอร์ห้องชุด, ไม้ตกแต่ง, ไม้คิ้วบัว, เชิงชาย, ไม้ระแนง, ขั้นบันได, ราวระเบียง และไม้ระเบียงภายนอก นอกจากนี้ยังได้รับความไว้วางใจจากโครงการบ้านจัดสรรระดับหรูให้นำเฟอร์นิเจอร์ไม้สักไปเป็นส่วนหนึ่งของงานตกแต่งภายในด้วย
สำหรับแผนในอนาคต นายไกรสรมองตลาดกลุ่มธุรกิจคอนโดฯ โดยจะออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้มีขนาดเล็กลง พร้อมเจาะตลาดกลุ่มอาเซียนที่ขณะนี้มีการส่งออกไปแล้วกว่า 20% ได้แก่ จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย รัสเซีย และกลุ่มประเทศยุโรป และคาดว่าในปี 2556 จะส่งออกเพิ่มขึ้นอีก 30%
***ติดต่อ 0-5541-2482 หรือที่ www.ts-teak.com ***