สินเชื่ออุ้มเอสเอ็มอีประสบภัยน้ำท่วมสุดหงอย ยอดขอไม่เข้าเป้า ครม.เร่งปรับรูปแบบ เพิ่มขอบเขตกลุ่มผู้มีสิทธิ์กู้ให้ทั้งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางตรงและอ้อม พร้อมเพิ่มวงเงินค้ำประกัน และขยายระยะไปสิ้นสุดปี 56
นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบในการปรับปรุงหลักเกณฑ์มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา
โดยมอบหมายให้มีการค้ำประกันผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยธนาคารออมสินแก่ 1. กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจทุกประเภทที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือเป็นเอสเอ็มที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม ที่มียอดคำสั่งซื้อหรือยอดขายกับเอสเอ็มอีในพื้นที่ประสบอุทกภัยไม่น้อยกว่า 25% โดยต้องมีธนาคารเป็นผู้รับรองและยืนยัน
2. วงเงินค้ำประกันสินเชื่อสูงสุดทุกประเภทรวมกันไม่เกิน 30% หรือ 30 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน จากเกณฑ์เดิมที่ให้วงเงินค้ำประกันสูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อราย และ 3. ขยายระยะเวลารับคำขอภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2556 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในปีนี้ (2555)
นายชลิตรัตน์ระบุด้วยว่า ในส่วนการขอสินเชื่อของผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในปี 2554 โดยการสนับสนุนสินเชื่อแบบผ่อนปรนของธนาคารพาณิชย์ยังมีผลการดำเนินงานในการอนุมัติสินเชื่อค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับการสนับสนุนสินเชื่อแบบผ่อนปรนผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน เป็นต้น
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการจัดสรรวงเงินสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ วงเงิน 300,000 ล้านบาทแก่ธนาคารพาณิชย์ ภายใต้พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. 2555 แล้ว ดังนั้น เห็นควรขอความร่วมมือให้สมาคมธนาคารไทยช่วยเร่งรัดธนาคารพาณิชย์ในการอำนวยความสะดวกเพื่อปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วย
นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบในการปรับปรุงหลักเกณฑ์มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา
โดยมอบหมายให้มีการค้ำประกันผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยธนาคารออมสินแก่ 1. กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจทุกประเภทที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือเป็นเอสเอ็มที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม ที่มียอดคำสั่งซื้อหรือยอดขายกับเอสเอ็มอีในพื้นที่ประสบอุทกภัยไม่น้อยกว่า 25% โดยต้องมีธนาคารเป็นผู้รับรองและยืนยัน
2. วงเงินค้ำประกันสินเชื่อสูงสุดทุกประเภทรวมกันไม่เกิน 30% หรือ 30 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน จากเกณฑ์เดิมที่ให้วงเงินค้ำประกันสูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อราย และ 3. ขยายระยะเวลารับคำขอภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2556 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในปีนี้ (2555)
นายชลิตรัตน์ระบุด้วยว่า ในส่วนการขอสินเชื่อของผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในปี 2554 โดยการสนับสนุนสินเชื่อแบบผ่อนปรนของธนาคารพาณิชย์ยังมีผลการดำเนินงานในการอนุมัติสินเชื่อค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับการสนับสนุนสินเชื่อแบบผ่อนปรนผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน เป็นต้น
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการจัดสรรวงเงินสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ วงเงิน 300,000 ล้านบาทแก่ธนาคารพาณิชย์ ภายใต้พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. 2555 แล้ว ดังนั้น เห็นควรขอความร่วมมือให้สมาคมธนาคารไทยช่วยเร่งรัดธนาคารพาณิชย์ในการอำนวยความสะดวกเพื่อปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วย
