ปลัดคลังระบุเตรียมเรียกหน่วยงานเกี่ยวข้องประเมินผลดำเนินงานมาตรการสินเชื่อซอฟต์โลน 3 แสนล้านบาทที่ออกมาช่วยลดผลกระทบจากอุทกภัย ระบุเอสเอ็มอีไทยมูลค่าทางเศรษฐกิจต่ำ ศักยภาพด้อย
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ กระทรวงการคลังจะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามและประเมินผลในภาพรวมของมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) มูลค่า 3 แสนล้านบาท ที่ออกมาช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมเมื่อปลายปีที่ผ่านมา รวมถึงกองทุนประกันภัยพิบัติที่เปิดตัวไปไม่นานนี้ว่ามีความคืบหน้าและประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด หรือจุดไหนมีปัญหาต้องแก้ไข
“มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่ออกไปแล้วนั้นคงต้องพิจารณาว่ามีจุดอ่อนไหนที่รัฐบาลควรจะเข้าไปเสริมให้เอสเอ็มอีมีความแข็งแกร่งขึ้น เพราะปัจจุบันนี้เอสเอ็มอีไทยที่มีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการผลิตสินค้าเพียง 37% ของจีดีพีถือว่าน้อยมาก อีกทั้งมูลค่าทางเศรษฐกิจของไทยที่เกิดจากเอสเอ็มอีมีสัดส่วนเพียง 35% เท่านั้น อีก 65% มาจากบริษัทขนาดใหญ่ ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วสัดส่วนเศรษฐกิจของประเทศจะใกล้เคียงกันทั้งกลุ่มเอสเอ็มอีและกิจการขนาดใหญ่ที่ 50-50% ดังนั้น ทางกระทรวงการคลังจึงมีเป้าหมายส่งเสริมให้เอสเอ็มอีผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ปลัดกระทรวงการคลังเผย
นายอารีพงศ์เผยด้วยว่า เอสเอ็มอีไทยที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจไทยสัดส่วน 35% หรือเกือบ 3 ล้านรายนั้น ดูในเชิงลึกแล้วเป็นเอสเอ็มอีที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตเพียง 2-3 แสนรายเท่านั้น ขณะที่อีกกว่า 6 แสนรายมีปัญหาแม้การลงทุนไม่มากนัก นอกจากนั้น เอสเอ็มอีส่วนใหญ่มีความเสี่ยงสูง มีความรู้ในการบริหารจัดการต่ำ ใช้แรงงานมากเกินไปในการผลิตสินค้าพื้นฐาน ไม่ได้ผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้นเมื่อค่าแรงเพิ่มขึ้น ทำให้การลงทุนต้องสูงตามไปด้วย และยังมีปัญหาไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบได้ ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นจุดอ่อนที่รัฐบาลจะต้องมีมาตรการเข้าไปปิดช่องโหว่เพื่อให้เอสเอ็มอีอยู่รอดต่อไปได้