xs
xsm
sm
md
lg

“no.1 Odeng” ครบเครื่องลวก-จิ้ม-ปิ้ง-ย่าง สูตรเดิมเสริมอิมเมจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชุดทรงเครื่อง
เมื่อทายาทรุ่น 3 รับช่วงขยายกิจการร้านสุกี้เจ้าเก่าแก่อย่าง “นัมเบอร์วัน โอเด้ง” (no.1 Odeng) ได้ผสมผสานระหว่างจุดเด่นเรื่องรสชาติดั้งเดิมที่ครองใจลูกค้าขาประจำมายาวนาน กับระบบบริการร้านสมัยใหม่ เมนูหลากหลาย ครบครันทั้งสุกี้และบาร์บีคิว พร้อมรีแบรนด์สู่ภาพลักษณ์ใหม่ เพื่อขยายตลาดหากลุ่มครอบครัวและคนรุ่นใหม่
ศิริเพ็ญ สุนทรมั่นคงศรี เจ้าของธุรกิจ
ศิริเพ็ญ สุนทรมั่นคงศรี เจ้าของธุรกิจ เล่าว่า ร้าน “นัมเบอร์วัน โอเด้ง” ต้นตำรับอยู่ที่เซ็นหลุยส์ ซ.3 เปิดมากว่า 50 ปี ตั้งแต่รุ่นปู่-ยาย ต่อมารุ่นพ่อได้ขยายสาขามาเปิดที่ย่าน ถ.พระราม 9 เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ซึ่งประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน ขณะที่ส่วนตัว ก่อนหน้านี้หาประสบการณ์ทำงานในบริษัทเอกชน จนเมื่อพร้อมจึงกลับมารับช่วงกิจการร้าน
หม้อจิ้มลวง และหม้อปิ้งย่าง อยู่บนโต๊ะเดียวกัน
“ส่วนตัว ดิฉันเชื่อมั่นเรื่องรสชาติอยู่แล้ว เพราะเป็นสูตรที่ลูกค้ายอมรับ แต่แนวคิดในการขยายธุรกิจใหม่ เรามองไปที่การขยายฐานลูกค้า ซึ่งสาขา ถ.พระราม 9 ลูกค้าหลักจะเป็นคนทำงานมาสังสรรค์ยามเย็น ตกแต่งร้านสไตล์โบราณ ดังนั้น สาขาใหม่พยายามเปิดตลาดขยายไปที่กลุ่มครอบครัวให้สามารถเข้ามากินได้ทุกวัน เพราะดิฉันเชื่อว่า เป็นตลาดใหญ่ที่สุด และอัตรากินซ้ำบ่อยครั้งด้วย” ทายาทรุ่น 3 อธิบาย

เพราะโฟกัสลูกค้าเป้าหมายไว้ที่กลุ่มครอบครัว ได้ตระเวนเสาะหาทำเลที่จะตอบตลาดได้ตรงเป้า ในที่สุดลงตัวเปิดใน “พรีเมียร์ เพลส” ถ.ศรีนครินทร์ เพราะมองว่า เป็นย่านหมู่บ้านจัดสรรจำนวนมาก บริเวณใกล้เคียงยังมีสถาบันการศึกษา และโรงเรียนกวดวิชาหลายแห่ง นอกจากนั้น ยังใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าอีกด้วย

ศิริเพ็ญ ระบุว่า ก่อนเปิดร้านใหม่ เตรียมพร้อมโดยเข้าอบรมความรู้การทำธุรกิจร้านอาหาร รวมถึง ศึกษาด้วยตัวเองจากแหล่งต่างๆ ประกอบกับขอคำแนะนำจากพ่อ พยายามเชื่อมทุกส่วนสอดคล้องกันเพื่อสร้างบุคลิกของแบรนด์ให้ดูดี เหมาะสำหรับลูกค้าเป้าหมาย ทั้งการแต่งร้าน เน้นความโปร่งโล่งนั่งสบาย ดูสะอาด เหมาะสำหรับกินเป็นหมู่คณะ รวมถึง ดีไซน์โลโก้ร้านเสียใหม่ และรีแบรนด์จาก “นัมเบอร์วัน โอเด้ง” มาใช้ “no.1 Odeng”
น้ำจิ้มสูตรโบราณ
นอกจากนั้น นำระบบบริหารร้านสมัยใหม่มาใช้ เช่น รับออเดอร์ และคิดเงินด้วยระบบไอที จัดอบรมพนักงานให้บริการมาตรฐานเดียวกัน และใช้ระบบ “ครัวกลาง” โดยวัตถุดิบต่างๆ จะส่งมาจากสาขาพระราม 9 สดใหม่วันต่อวัน รสชาติคงที่ เพราะปรุงด้วยการชั่งตรงวัดตามสูตร ที่สำคัญไม่ใส่ผงชูรส หรือสารกันเสียใดๆ ทั้งสิ้น

อีกจุดขายของร้าน “no.1 odeng” จะมีให้เลือกทั้งเมนูสุกี้ และบาร์บีคิว โดยวางสองหม้อคู่บนโต๊ะเดียวกัน ทำให้มีทั้งเมนูลวงจุ่ม และปิ้งย่าง นอกจากนั้น ยังมีเมนูประเภทข้าว อาหารจีน อย่างฮ้อยจ่อ แฮกิ๋ง ปอเปี้ยะ และยำต่างๆ รวมกว่า 50 รายการ ช่วยเพิ่มความหลากหลาย และตอบความต้องการของสมาชิกครอบครัวที่เข้ามากินได้ครบถ้วนทุกคน
เมนูข้าวอบ
อย่างไรก็ตาม แม้จะปรับโฉมแบรนด์ใหม่ทั้งหมด ทว่า หัวใจของธุรกิจ คือ รักษาสูตรดั้งเดิมที่สืบทอดมากว่า 50 ปี โดยเฉพาะสูตรน้ำจิ้ม และการหมักเนื้อ ทีเด็ดอยู่ที่ความหอมจากเต้าหู้ยี้ และหมักเนื้อด้วยเต้าเจี้ยวข้ามคืน ประกอบกับวิธีทำที่เป็นแบบโบราณ เช่น แล่เนื้อด้วยมีดเท่านั้น ทำให้ได้เนื้อนุ่ม ต่างจากเนื้อที่หันด้วยเครื่องจักรที่ลักษณะเนื้อจะกระด้าง

เจ้าของร้าน เผยด้วยว่า พยายามผสมผสานหลักบริหารยุคใหม่กับนำประสบการณ์จริงของพ่อมาปรับใช้ เช่น วัตถุดิบจะจ่ายตลาดด้วยตัวเองแทนที่จะรับจากบริษัทตัวแทน เนื่องจากจะได้วัตถุดิบคุณภาพที่ดีกว่า และยังสามารถดูแลต้นทุนได้อย่างใกล้ชิด
บรรยากาศภายในร้าน
“เมื่อก่อนเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อต้องไปจ่ายตลาดเอง ทั้งที่มีบริษัทส่งถึงร้าน และราคาถูกกว่าด้วย แต่พอมาเปิดร้านเองถึงรู้ว่า หากเราไม่ใช่เจ้าใหญ่จริงๆ วัตถุดิบที่ส่งมา จะไม่ค่อยได้มาตรฐานตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อหักวัตถุดิบเสียที่ต้องทิ้ง กลายเป็นต้นทุนแพงกว่าด้วยซ้ำ ทำให้ได้บทเรียนจริง นำมาปรับใช้บริหารร้านของเรา” ศิริเพ็ญ อธิบายเสริม
หน้าร้าน ใน “พรีเมียร์ เพลส” ถ.ศรีนครินทร์
ร้าน “no.1 odeng” เปิดบริการทุกวัน เวลา 11.00-23.00 น.ลักษณะเป็นร้าน STAND ALONE 2 ชั้น มีทั้งหมด 22 โต๊ะ รองรับลูกค้าได้ประมาณ 180-200 คน ใช้เงินลงทุนส่วนตัวล้วนๆ เบื้องต้นประมาณ 4-5 ล้านบาท เปิดดำเนินการมาประมาณ 5 เดือน ใช้วิธีทำตลาดเบื้องต้นโดยแจกใบปลิวย่านชุมชนรอบๆ ร้าน แนะนำตัวผ่านสังคมออนไลน์ รวมถึง จัดโปรโมชั่นส่งเสริมตลาด เช่น แสตมป์สะสม ทุก 300 บาทได้ 1 ดวง ครบ 10 ดวงได้บัตรลด 10% เป็นต้น
ชุดทะเล
ศิริเพ็ญ เผยด้วยว่า ราคาอยู่ระดับปานกลาง เทียบกับปริมาณและคุณภาพมั่นใจว่า ลูกค้าจะยอมรับได้ โดยเฉลี่ยลูกค้าที่เข้าร้านจะใช้จ่ายประมาณ 200-250 บาทต่อคน ปัจจุบัน เฉลี่ยลูกค้า 80-100 คนต่อวัน ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ราว 120-150 คนต่อวัน อย่างไรก็ดี จากความคิดเห็นของลูกค้าส่วนใหญ่มักชื่นชมความอร่อย และกลับมากินซ้ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับชื่อเสียงของแบรนด์ที่ลูกค้าเก่าแก่ยังเชื่อถือ และจะพยายามทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะช่วยให้สามารถคืนเงินลงทุนได้ใน 1.5-2 ปี

“หลังจากมาเปิดร้าน ยิ่งทำให้ดิฉันเชื่อมั่นว่า ชื่อเสียงอันยาวนานของร้าน มีคุณค่าเป็นแบรนด์ที่ขายได้ เพราะลูกค้าหลายราย ที่กำลังลังเลใจจะเข้าร้านหรือไม่ มักถามก่อนว่า ใช่เจ้าเดียวกับที่เซ็นหลุยส์ หรือพระราม 9 หรือเปล่า เมื่อรู้ว่า ใช่ก็จะเข้าทันที แสดงว่า ลูกค้าชื่นชมอาหารของเราอยู่แล้ว ดังนั้น แผนการตลาดของเราจะพยายามสื่อสารให้ลูกค้ารู้ว่าเป็นเจ้าเดียวกัน เพียงแต่มาในโฉมใหม่ ที่จะเพิ่มความสะดวกสบาย และบรรยากาศใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าได้” ทายาทรุ่น 3 กล่าว

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

โทร.0-2710-5634
กำลังโหลดความคิดเห็น