xs
xsm
sm
md
lg

ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บ./วัน พบขูดเลือด SMEs ภาคผลิตเจอหนัก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จากนโยบายการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน ของรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย นับเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงกันมากที่สุดในเวลานี้ โดยหลายฝ่ายมองว่าผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำคือ “ผู้ประกอบการ SMEs”

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการ SMEs จำนวนกว่า 2.9 ล้านกิจการ คิดเป็นร้อยละ 99.6 ของจำนวนวิสาหกิจทั้งหมด โดยอยู่ในภาคการผลิต จำนวน 545,098 กิจการ ภาคการค้าและซ่อมบำรุง จำนวน 1,383,391 กิจการ และภาคบริการ จำนวน 983,610 กิจการ ก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 10.5 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 77.8 ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ หรือ GDP SMEs ถึง 3.75 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37.1 ของมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศ

จากการศึกษาของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ภายใต้โครงการจัดทำตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตของ SMEs (SME I/O Table) พบว่า โครงสร้างต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานและเงินเดือนของ SMEs เฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 16.2 ของต้นทุนปัจจัยการผลิตทั้งหมด ดังนั้นหากค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จะส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.16 ซึ่งผลจากการปรับค่าจ้างแรงงานครั้งล่าสุดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา มีการปรับค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 6.4 ส่งผลให้ต้นทุนของกิจการในด้านค่าใช้จ่ายแรงงานเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.03 โดยเหตุผลในการปรับเพิ่มมี 2 ประการ คือ ช่วยให้แรงงานรอดพ้นจากความยากจนที่รุนแรง และมีรายได้ใกล้เคียงกับค่าใช้จ่ายตามอัตภาพ และช่วยให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่เติบโต ซึ่งปัจจุบันค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเฉลี่ยเท่ากับ 175.8 บาท/วัน

ดังนั้น นโยบายการขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน เท่ากันทั่วประเทศ จึงส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ SMEs อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีการจ้างงานรวมทั้งสิ้น 3.3 ล้านคน หากมีการขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาท/วัน จะทำให้ธุรกิจ SMEs มีค่าแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.5 และต้องแบกรับต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 และเมื่อพิจารณาถึงจังหวัดหลักๆ ที่มีการจ้างงานในระดับสูง พบว่า ร้อยเอ็ด และ ขอนแก่น เป็นจังหวัดที่จะมีการปรับขึ้นของค่าจ้างแรงงานและต้นทุนสูงที่สุด รองลงมาคือ อุดรธานี และอุบลราชธานี ขณะที่ภูเก็ต เป็นจังหวัดที่จะมีการปรับขึ้นของค่าจ้างแรงงานและต้นทุนต่ำที่สุด

เมื่อพิจารณาเป็นรายสาขาธุรกิจ (คิดค่าเฉลี่ยทุกรายสาขาธุรกิจมีการจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำ 215 บาท/วัน การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน ส่งผลให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.5) พบว่า ธุรกิจที่มีการใช้แรงงานเป็นจำนวนมากต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ภาคการผลิต ธุรกิจที่จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นในระดับสูง ได้แก่ ธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์หวาย เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 รองลงมา คือ ธุรกิจผลิตพลอยเจียรไน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 ธุรกิจผลิตเครื่องนุ่งห่มและผลิตเครื่องกระเป๋าหนัง เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 ธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 และธุรกิจการฟอกย้อมพิมพ์ลายผ้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 ภาคบริการ ธุรกิจที่จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นในระดับสูง ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0 รองลงมาคือ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างบ้าน และ ธุรกิจการขนส่งทางบก เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 และ 8.0 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตามสสว. เห็นว่าเพื่อลดผลกระทบจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน อาจพิจารณาดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปในกลุ่มที่มีความพร้อมก่อน เช่น ผู้ประกอบการที่จำเป็นต้องใช้แรงงานกึ่งฝีมือหรือมีประสบการณ์ ขณะเดียวกันต้องมีการดำเนินมาตรการส่งเสริม สนับสนุนภาคธุรกิจ SMEs ในด้านต่างๆ ที่ชัดเจน เช่น ที่ประเทศสิงคโปร์ซึ่งมีอัตราค่าจ้างแรงงานอยู่ในระดับสูง รัฐบาลสิงคโปร์ได้ให้เงินสนับสนุนแบบให้เปล่าแก่ SMEs ที่มีศักยภาพ เพื่อลดอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากอัตราค่าจ้างแรงงาน เป็นต้น รวมทั้งการสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน โดยจัดการอบรมเฉพาะทางให้กับธุรกิจแต่ละสาขาสำหรับลูกจ้างรายเดิม หรือการอบรมเตรียมความพร้อมให้กับแรงงานรายใหม่
กำลังโหลดความคิดเห็น