การหาเสียงเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงเดือนข้างหน้า นอกจากจะเป็นเวทีคัดเลือกผู้แทนเข้าสู่สภาแล้ว ในส่วนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะระดับเอสเอ็มอี ต่างได้รับอานิสงส์จากวงเงินที่สะพัดในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย แต่ธุรกิจใด หรือสาขาใดจะได้รับประโยชน์มากหรือน้อย บรรทัดต่อจากนี้ มีคำตอบให้!
ทั้งนี ้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า การเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ข้อมูลจากการคาดการณ์ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุจะมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 40,000-50,000 ล้านบาท โดย ภาคอีสานจะมีเงินสะพัดสูงสุด ประมาณ 5,000-10,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นภาคที่มีเก้าอี้ส.ส.แบบแบ่งเขตมากที่สุดของประเทศ
ทั้งนี้ ธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากเม็ดสะพัดในช่วงเลือกตั้ง ได้แก่ 1. ธุรกิจโฆษณา สื่อโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และนิวมีเดีย คาดจะมีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยสื่อหลักจะเป็นสื่อโทรทัศน์ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง สื่อโฆษณากลางแจ้ง เช่น ป้ายบิลบอร์ด จะช่วยในการจดจำ และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ จะช่วยเพิ่มเติมเนื้อหารายละเอียด ซึ่งผลประโยชน์ที่แท้จริงน่าจะตกอยู่ที่เจ้าของสื่อมากกว่าเอเจนซี่โฆษณา
สำหรับสื่อโทรทัศน์มีการประเมินว่า จะมีเงินโฆษณาพรรคการเมืองเข้าสู่สื่อทีวีหลายร้อยล้านบาท โดยในส่วนของ อสมท.คาดว่า จะมีเงินโฆษณาในช่วงเลือกตั้งประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งจะมีทั้งงบโฆษณาหาเสียงของพรรคการเมือง และงบจากกกต. ขณะที่ช่อง 3 ไม่รับงานโฆษณาการเลือกตั้ง เนื่องจากการจัดสรรเวลาทำได้ยากจากข้อบังคับของกกต.ที่การจัดสรรต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม และทางสถานีไม่มีเวลาโฆษณาเหลือ
ด้านสื่อสิ่งพิมพ์ ป้ายหาเสียง บิลบอร์ด ในปัจจุบันภาพรวมธุรกิจป้ายในกทม.กว่า 1,000 ป้าย มีการใช้พื้นที่เกือบหมด เหลือป้ายว่างประมาณ 10% และมีการประเมินว่าเฉพาะป้ายบิลบอร์ดที่ใช้หาเสียงน่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 15-20 % โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดจากการเลือกตั้งในธุรกิจป้ายประมาณ 800-900 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการป้ายโฆษณาจะไม่ค่อยได้รับประโยชน์ เนื่องจากพรรคการเมืองส่วนใหญ่มีแหล่งผลิตป้ายโฆษณาของตัวเองอยู่แล้ว ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจสิ่งพิมพ์ ส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร สำหรับกกต.ซึ่งจะมีการใช้สื่อเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง คาดว่าจะใช้งบประมาณ 10-15% หรือประมาณ 600 ล้านบาท ในการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อป้ายโฆษณา
นอกจากนั้น ป้ายหาเสียงยังก่อให้เกิดราย ได้แก่ ธุรกิจรีไซเคิล ซาเล้ง คนขายของเก่า โดยหากป้ายหาเสียงที่เป็นกระดาษจะมีราคาเฉลี่ยตกกิโลกรัมละ 2.50-3.00 บาท โดยโรงงานรับซื้อกระดาษจะนำมาย่อยให้ละเอียดแล้วนำไปบีบอัดให้เป็นก้อนก่อนส่งไปให้โรงงานที่รับซื้อนำไปรีไซเคิลอีกครั้ง แต่หากเป็นป้ายหาเสียงที่ทำจากพลาสติกหรือฟิวเจอร์บอร์ด ทางโรงงานกระดาษจะรับซื้อในราคาที่สูงขึ้น เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5 บาท ส่วนป้ายหาเสียงที่มีส่วนประกอบจากไม้รวกหรือไม้ไผ่ จะไม่มีค่า โรงงานจะไม่รับซื้อ
สำหรับธุรกิจนิวมีเดีย เช่น เคเบิลทีวีท้องถิ่น มีแนวโน้มที่ดีในการเป็นสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ผู้สมัครส.ส.ในพื้นที่ต่างจังหวัด ในขณะที่ สื่อ Social Media ต่างๆ เช่น เฟสบุ๊ก ทวิตเตอร์ มีแนวโน้มที่ดีในการเป็นสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ผู้สมัครส.ส.ในกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยหนุ่มสาวและวัยทำงาน ซึ่งปัจจุบันคนไทยที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ใช้เฟสบุ๊กอยู่ประมาณ 7.7 ล้านคน คิดเป็นคนกรุงเทพฯ 6.7 ล้านคน และเป็นคนต่างจังหวัดอีก 1 ล้านคน และจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 48 ล้านคนทั่วประเทศ กลุ่มเหล่านี้คิดเป็น 16% ของประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทำให้ Social Media กลายเป็นสื่อที่น่าสนใจ ใช้งบลงทุนไม่มาก
2.ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการหาเสียง เช่น รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ มือถือ เสื้อผ้า ธุรกิจให้เช่ารถ เครื่องเสียง เต๊นท์ มีแนวโน้มที่ดี
เนื่องจากพรรคการเมืองต่างๆ มีการบริหารจัดการทีมงานหัวคะแนน และจัดกิจกรรมการหาเสียง ซึ่งส่งผลให้สินค้าดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ SMEs มียอดขายเพิ่มขึ้นมากในช่วงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ในส่วน
ธุรกิจรถยนต์คาดการณ์ว่าพรรคการเมืองจะซื้อรถมอเตอร์ไซด์สำหรับให้หัวคะแนนหาเสียง เนื่องจากเข้าถึงประชาชนได้ง่ายและราคาถูกกว่ารถปิกอัพ ประมาณ 30,000 คัน มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท ส่วนการซื้อรถปิกอัพประมาณ 5,000 คัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรถมือสอง เนื่องจากราคาถูกและซื้อขายได้รวดเร็วกว่าซื้อรถป้ายแดง
3.ธุรกิจค้าปลีก โดยเงินที่จะเข้าสู่ระบบในช่วงเลือกตั้งจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยมีระยะเวลาประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกโดยรวม และยังส่งผลดีต่อสินค้าบริการอื่นๆ ด้วย เช่น เบียร์ เหล้า ซึ่งมีตัวเลขยอดขายเพิ่มขึ้นจากการที่ผู้สมัคร ส.ส. ลงพื้นที่หาเสียง เมื่อประเมินจำนวนSMEs ในภาคขายส่ง ขายปลีก และซ่อมแซมยานยนต์ทั้งประเทศที่ได้รับประโยชน์ราว 1,380,000 ราย คิดเป็นแรงงานที่ได้รับประโยชน์รวมประมาณ 2,844,000 คน
4.ตลาดหุ้น มีการเก็งกำไรรับกระแสข่าวเรื่องการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่เป็นระยะเวลาเกือบ 2 เดือน ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 8 % และในช่วงหาเสียงเลือกตั้งซึ่งจะมีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ คาดว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก 2-6 %
ดูเหมือนว่าธุรกิจ SMEs ได้รับประโยชน์ไม่น้อยในเทศกาลเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ อย่างไรก็ตาม SMEs จะได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งในระยะยาวได้ก็ด้วยการเลือกพรรคการเมืองที่ดูแลผลประโยชน์ของ SMEs อย่างแท้จริง