กระต่ายจัดเป็นสัตว์เลี้ยงในกลุ่มสวยงาม ที่ได้รับความนิยมอยู่ในอันดับต้นรองจากสุนัขและแมว โดยเฉพาะในปีนักษัตร อย่างปีเถาะหรือปีกระต่าย ยิ่งทำให้ธุรกิจการเลี้ยงกระต่ายเพื่อจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้น เพราะหลายคนก็ต้องการกระต่าย เพื่อไปเลี้ยงหวังเสริมมงคลและเสริมดวงรับปีนักษัตรดังกล่าว ส่งผลให้ราคากระต่ายในปีนี้พุ่งสูงขึ้นเป็นหลายเท่าตัว ธุรกิจนี้จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนรักสัตว์ ที่ไม่เพียงเลี้ยงมันด้วยความรักเพียงอย่างเดียวแต่ยังเป็นการหารายได้เสริมอีกทางหนึ่งในช่วงปีกระต่ายนี้อีกด้วย
นายวิชัย อินสว่าง เจ้าของบุญส่งฟาร์ม เล่าว่า “ทำธุรกิจนี้มา 15 ปี เดิมทางครอบครัวเป็นเกษตรกร ทำน้ำตาลสด หรือ ตาลโตนดมาก่อน โดยส่วนตัวผมเรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพราะต้องออกมาช่วยที่บ้าน ทำน้ำตาลสดขาย ไม่ได้มีความรู้อะไรมากนัก แต่ด้วยความที่ตนเองเป็นคนชอบคิด และพูดเก่ง ก็มักจะคิดอะไรไม่เหมือนคนอื่นๆ และมีอยู่ช่วงหนึ่งได้ไปป็นลูกจ้างขายของ ก็เกิดความคิดต้องการจะมีรายได้เสริม และโดยส่วนตัวชอบกระต่าย เพราะมันน่ารักและขนนุ่ม ซึ่งในสมัยนั้นประมาณ ปี 2537 ยังไม่มีใครนำกระต่ายมาขายแพร่หลายมาก เหมือนในปัจจุบัน แต่ด้วยความอยาก จึงขอเถ้าแก่ซื้อกระต่ายมาขาย
ครั้งแรกลงทุนซื้อกระต่าย 200 ตัว โดยนำมาขายในงานองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม แต่ก่อนจะถึงงานสองอาทิตย์ ยอมรับว่าครั้งนี้ทำให้รู้ถึงบทเรียนของการเลี้ยงกระต่าย เนื่องจากก่อนนำไปขาย มีกระต่ายท้องเสียตายไป 60 ตัว อีกทั้งยังศึกษาเกี่ยวกับการดูแลกระต่ายไม่เพียงพอ ในระหว่างการขนย้ายกระต่ายในตอนเที่ยงของวันนั้น ทำให้กระต่ายตายไปเป็นจำนวนมากเพราะความร้อน จนเหลือขายในงานเพียง 70 ตัว แต่ยังดีที่ครั้งนั้นได้รับการตอบรับดีมาก มีคนสนใจซื้อกระต่ายไปเลี้ยง ทำให้ขายหมดได้กำไรมาในระดับหนึ่งที่เรียกว่าไม่ขาดทุน แม้ว่าจะเหลือกระต่ายไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ทำให้เรารู้ว่าเดินมาถูกทาง และมีแรงมุ่งมั่นที่จะทำธุรกิจตัวนี้ต่อ
กระต่ายถือเป็นสัตว์เลี้ยงลำดับต้นๆในตลาด เนื่องจากเสน่ห์ของมันคือ รูปร่างหน้าตาน่ารัก และขนนุ่ม และที่สำคัญ ไม่มีเสียงเห่าน่ารำคาญเหมือนสุนัข หลายคนจึงให้ความสนใจที่จะเลี้ยง โดยเฉพาะเด็ก และวัยรุ่นจะชื่นชอบกันมาก แต่การเริ่มต้นธุรกิจเพาะพันธุ์กระต่ายขายเมื่อ 15 ปีที่ผานมา ยังมีไม่มาก จึงเป็นของใหม่ กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจในตลาด ปีแรกขายกระต่ายไทยก่อน ขายได้ 600 ตัว กำไรมากถึง 20,000บาท ในช่วงนั้นขายคู่กับกับการขายน้ำตาลสดข้างทาง และกำไรที่เป็นกอบเป็นกำ เป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ผมตัดสินใจ คิดทำฟาร์มกระต่ายของตัวเอง โดยขอยืมเงินจากทางบ้านมาจำนวน 30,000 บาท บวกกับเงินที่ตัวเองมีอยู่ หาพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ซื้อพ่อพันธุ์ในราคา 8,000 บาท และแม่พันธุ์อีก 10ตัว
โดยหวังกำไรจาก ลูกกระต่าย ที่คนขายพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ได้บอกว่าจะมาติดต่อซื้อลูกกระต่ายคืนในราคาตัวละ 500 บาท จากเหตุการณ์นี้ทำให้รู้สึกว่าต้องได้กำไรมากแน่ๆ แต่กลับกลายเป็นโดนหลอก เนื่องจากสุดท้ายก็ไม่มีใครยอมซื้อคืนในราคาดังกล่าวได้ จากนั้นจึงเปลี่ยนแผนการตลาดใหม่ เริ่มอาศัยการออกงาน 2-3 ปีแรก การค้าขายยังคงแย่มาก เพราะกระต่ายพันธุ์ไทยราคาไม่สูง และก็มีคนเริ่มออกมาขายมากขึ้น ก็ตัดราคากันเอง แต่ไม่เคยท้อและพยายามเดินหน้าต่อไป
สุดท้ายจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เริ่มมองหาสายพันธุ์กระต่ายที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร และเริ่มทำก่อน เพราะจะได้เปรียบ โดยมองเห็นความเป็นไปได้ของการเพาะพันธุ์กระต่ายขนยาว Teddy bear เป็นกระต่ายที่ขนสวยมาก เหมือนหมี แต่ตอนหลังไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะดูแลเรื่องขนมันยาก พ่อแม่ก็ไม่อยากซื้อให้ลูก เพราะขนมันยาวและร่วงกลัวเข้าจมูกเข้าปากเป็นอันตรายกับลูก พอต่อมาจนถึงปัจจุบัน หันมาเพาะเลี้ยงพันธุ์ Holland lop ที่แรกเลี้ยงเพียงพันธุ์เดียว ซึ่งในสมัยนั้นเป็นพันธุ์นำเข้าชนิดใหม่ในไทยมีแค่ 2-3 ฟาร์มเท่านั้น ราคาอยู่ที่ 2,000-5,000 บาท อุปนิสัยน่ารัก เชื่อง ขี้เล่น และจัดเป็นกระต่ายแคระ เพราะน้ำหนักตัวน้อย โตเต็มที่ก็ไม่ถึง สองกิโลกรัม ทำมา 5-6 ปี ผลตอบรับดีขึ้น
อย่างไรก็ตามปัจจุบัน Holland lop เริ่มมีคนเลี้ยงกันมาก และมักจะไปผสมกับกระต่ายไทย ทำให้ราคาเสียไปมาก ขายกันแค่ตัวละ 450-500 บาท เท่านั้น จำเป็นจะต้องหาสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่ต้องแข่งขันสูงเริ่มมองหากระต่ายพันธุ์อื่น ล่าสุด เพาะพันธุ์ Mini rex หรือกระต่ายขนกำมะหยี่ เป็นกระต่ายที่ขนสั้นที่สุดในโลก ขนจะนุ่มเหมือนกำมะหยี่ ที่สำคัญในขณะนี้ ราคาสูงอยู่มาก ที่ฟาร์มขายในราคาสูงถึงตัวละ 15,000 - 20,000 บาท เลยที่เดียว ที่ยังราคาสูงเพราะมีออกมาขายน้อย เนื่องจาก การให้ลูกของกระต่ายพันธุ์นี้จะให้ลูกยาก และแต่ละครอกจะให้ลูกน้อยตัว ประกอบกับเป็นของใหม่มีฟาร์มที่เลี้ยงเพียงไม่กี่ฟาร์ม ในขณะนี้ เป็นที่ต้องการของตลาด
อย่างไรก็ตามปัจจุบัน Holland lop เริ่มมีคนเลี้ยงกันมาก และมักจะไปผสมกับกระต่ายไทย ทำให้ราคาเสียไปมาก ขายกันแค่ตัวละ 450-500 บาท เท่านั้น จำเป็นจะต้องหาสายพันธุ์ไม่ที่ไม่ต้องแข่งขันสูงเริ่มมองหากระต่ายพันธุ์อื่น ล่าสุด เพาะพันธุ์ Mini rex หรือกระต่ายขนกำมะหยี่ เป็นกระต่ายที่ขนสั้นที่สุดในโลก ขนจะนุ่มเหมือนกำมะหยี่ ที่สำคัญในขณะนี้ ราคาสูงอยู่มาก ที่ฟาร์มขายในราคาสูงถึงตัวละ 15,000 - 20,000 บาท เลยที่เดียว ที่ยังราคาสูงเพราะมีออกมาขายน้อย เนื่องจาก การให้ลูกของกระต่ายพันธุ์นี้จะให้ลูกยาก และแต่ละครอกจะให้ลูกน้อยตัว ประกอบกับเป็นของใหม่มีฟาร์มที่เลี้ยงเพียงไม่กี่ฟาร์ม ในขณะนี้ เป็นที่ต้องการของตลาด
ในปีหน้าคาดว่า พันธุ์ Mini rex น่าจะมาแรงเพราะราคาสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด คงจะมีฟาร์มกระต่ายสวยงามหันมาสนใจเลี้ยงกันมากขึ้น โดยในส่วนของบุญส่งฟาร์มของเรา เพิ่งจะเพาะออกขายเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขายไปทั้งหมด 10ตัว ข้อเด่นของกระต่ายพันธุ์นี้ คือ ขนสั้นดูแลง่าย เด็กก็สามารถเลี้ยงได้ ที่สำคัญนิสัยน่ารัก และเชื่องมาก สามารถจำเจ้าของได้ ทำให้มองว่าน่าจะเข้าถึงตลาดในปีหน้าได้ดีแน่นอนกลุ่มลูกค้าจะมีทุกเพศ ทุกวัย โดยส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งมีกำลังในการซื้อเพียงพอ
“ส่วนกระแสในปีกระต่ายนี้ ยอมรับว่ามีผลต่อยอดขายมาก โดยในส่วนของเรายอดขายเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าเลยทีเดียวจากเดือนละ 50,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็นหลักแสนบาทต่อเดือน แต่ไม่ว่ากระแสปีกระต่ายจะแรงเพียงใดก็อยากให้คำนึงถึงการเลี้ยงดู มากกว่าการเสริมดวง เพราะกระต่ายเป็นสัตว์ที่ต้องการการเอาใจใส่ดูแล และความรัก เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงอื่น ” วิชัย กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับกระต่ายของบุญส่งฟาร์มได้รับการประกวดระดับชาติ IRBA มีทีมตัดสินสินกระต่ายระดับโลกเป็นการการันตีความสวยงาม อีกทั้งยังจัดว่าเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ในกลุ่มประเภทสวยงามอีกด้วย ทำให้กระต่ายของบุญส่งฟาร์ม มีการพูดถึงแบบปากต่อปากในเรื่องคุณภาพ ความแข็งแรงและความสวยงาม
โทร. 08-1991-4150 หรือ www.boonsongrabbit.com