และแล้วคำว่า “หน้าหนาว” ก็มาเยือนคนกรุงเทพฯ ให้สัมผัสถึงอากาศที่เย็นสบาย ทำให้หลายคนที่ไม่ชินกับอากาศหนาวแบบไม่ทันตั้งตัว ต้องรีบทำให้ตัวเองอบอุ่น ซึ่งสิ่งแรกที่นึกถึงคือเสื้อกันหนาว แต่หากได้อาหารร้อนๆ แก้หนาว คงจะดีไม่น้อย ส่งผลให้ในช่วงนี้ธุรกิจที่ผลิตอาหารร้อนๆ ออกจำหน่าย จึงได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษ และยิ่งเป็นอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว ผู้บริโภคไม่ลังเลที่จะอุดหนุน
เช่นเดียวกับน้ำงาดำ-น้ำถั่วแดง ย่านบางรัก ที่ครองสูตรตามแบบฉบับของจีนกวางตุ้ง ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น นานกว่า 40 ปี ของนายพูลศักดิ์ เทพไพศาล หรือคุณตั๊ก เจเนอเรชั่นที่ 3 ในการสืบทอดสูตรน้ำงาดำ และน้ำถั่วแดง ของคุณย่า ได้ไว้ไม่เสื่อมคลาย ซึ่งสูตรนี้มาจากคุณย่าที่อพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ บุกเบิกธุรกิจจากการหาบขายย่านบางรักนานหลายสิบปี ขายน้ำงาดำ และน้ำถั่วแดง โดยยึดอาชีพนี้มาโดยตลลอด จนได้รับการสืบทอดมาถึงรุ่นลูก และรุ่นหลาน อย่างคุณตั๊ก ในปัจจุบัน
“ธุรกิจนี้ถือได้ว่าเป็นธุรกิจของครอบครัวไปแล้ว ที่ครองตลาดมานานกว่า 40 ปี ตั้งแต่ผมจำความได้ เพราะพ่อแม่ก็สืบทอดธุรกิจนี้ ผมก็ต้องช่วยขาย ในขณะที่ขั้นตอนการผลิตก็ถูกซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งธุรกิจนี้ในสมัยก่อนมีคนขายหลายเจ้า แต่เมื่อวันเวลาเปลี่ยนแปลงไป คนเฒ่าคนแก่ ที่เคยยึดอาชีพนี้เลี้ยงชีพ ต่างก็ล้มหายตายจากกันไป ลูกหลานไม่สืบทอดธุรกิจนี้ต่อ ทำให้สูตรของน้ำงาดำ-น้ำถั่วแดง สูตรจากวางตุ้งก็สูญหายตามไปด้วย แต่สำหรับสมาชิกในครอบครัวผม รวมถึงญาติพี่น้อง ธุรกิจนี้ได้กลายเป็นอาชีพประจำตระกูลไปแล้ว จะทิ้งก็ไม่ได้ ทำให้สูตรน้ำงาดำ-น้ำถั่วแดง ยังคงอยู่ให้คนรุ่นใหม่ได้ลิ้มรสชาติเหมือนเมื่อ 40 ปีก่อน”
จี๊หม่าหวู (งาดำ) และห่งเต๋าโจ๊ก (ถั่วแดง) ถือเป็นชื่อที่เรียกขานเมนูชูสุขภาพของร้านนี้ ที่ลูกค้ารับรู้ถึงสรรพคุณของ 2 วัตถุดิบนี้ นั่นคือ งาดำจะช่วยในเรื่องเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก บำรุงประสาท ไขข้อ และช่วยต้านโรคมะเร็ง ในขณะที่ถั่วแดง จะช่วยในการบำรุงเลือด
“สำหรับทั้ง 2 เมนู ที่มีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว กรรมวิธีขั้นตอนการผลิตทางเราก็เอาใจใส่เป็นพิเศษเช่นกัน เริ่มจากการคัดเลือกเมล็ดงาดำ และถั่วแดง ต้องนำมาล้างนานกว่า 2 ชั่วโมง นำไปตากให้แห้ง และนำมาล้างอีกรอบ เพื่อล้างเอาฝุ่นออก จากนั้นนำไปคั่วให้สุกเพื่อเพิ่มความหอม จากนั้นนำไปต้มเป็นน้ำงาดำและน้ำถั่วแดง อย่างในปัจจุบัน โดยอาศัยพื้นที่ของรถซาเล้งแบบจีนโบราณอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี”
สำหรับจุดเด่นของน้ำงาดำ-น้ำถั่วแดงอยู่ที่ความเข้มข้นของน้ำ ที่คุณตั๊ก บอกว่าได้ผสมข้าวสารลงไปนิดหน่อย ในขณะที่น้ำถั่วแดงก็ใส่เปลือกส้มเขียวหวานลงไปด้วย ที่นอกจากจะช่วยให้น้ำถั่วแดงมีกลิ่นหอมขึ้นแล้ว เปลือกส้มยังช่วยในเรื่องขับลมด้วย ซึ่งสูตรต่างๆ เหล่านี้เป็นสูตรดั้งเดิมของกวางตุ้งอย่างแท้จริง โดยน้ำงาดำใช้เวลาผลิตประมาณ 4-5 ชั่วโมง ในขณะที่น้ำถั่วแดงใช้เวลาผลิตประมาณ 2 ชั่วโมง
“ในแต่ละวันผมจะผลิตในปริมาณที่เท่ากันเกือบทุกวัน เพียงอย่างละ 1 หม้อใหญ่เท่านั้น ขายทุกวัน แค่หยุดวันจันทร์ เว้นจันทร์ เท่านั้น เริ่มขายตั้งแต่เที่ยง ถึงประมาณ 6 โมงเย็น ร้านตั้งอยู่ตรงข้ามห้างโรบินสันบางรัก โดยใช้งาดำประมาณ 4 กิโลกรัม ในการผลิต และใช้ถั่วแดง 1.5 กิโลกรัม ซึ่งน้ำถั่วแดงจะผลิตในปริมาณที่น้อยกว่า เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่นิยมบริโภคน้ำงาดำมากกว่า โดยขายในราคา 15 บาทเท่ากัน”
นอกจากน้ำเพื่อสุขภาพทั้ง 2 ชนิดแล้ว ทางร้านยังมีอีกหนึ่งเมนูให้ลูกค้าได้เลือกชิม คือ บะจ่างสูตรกวางตุ้งมีทั้งไส้หวาน ประกอบด้วย ถั่วแดงกวน และเม็ดแปะก๊วย (ราคา 25 บาท) และไส้เค็ม ที่เน้นส่วนผสมหลักคือ ไข่แดง ลูกบัว หมูสามชั้น และกุ้งแห้ง (ราคา 35 บาท) โดยญาติๆ ช่วยกันทำ และส่งให้ขายตามสาขาต่างๆ โดยเป็นญาติพี่น้องที่ได้รับการถ่ายทอดสูตรน้ำงาดำ-น้ำถั่วแดง ของคุณย่า ไปกระจายขายตามที่ต่างๆ เช่น สวนลุมพินี วังสราญรมย์ ตลาดข้างโรงเรียนวชิรธรรมสาธิต
สำหรับแผนธุรกิจในอนาคต พูลศักดิ์ บอกว่า คิดจะขยายสาขาเพิ่มเช่นกัน แต่ติดปัญหาเรื่องคนช่วยในขั้นตอนการผลิต รวมถึงในแต่ละวันแค่ตนเองผลิตเพื่อขายทุกวันก็ไม่มีเวลาไปหาคนช่วย ประกอบกับปัจจุบันรายได้ก็เพียงพอกับการเลี้ยงครอบครัว ใช้ชีวิตตามแบบฉบับความพอเพียง และมีความสุขที่ได้สืบทอดธุรกิจนี้จากบรรพบุรุษ แต่ตนเองต้องการฝากให้ผู้ที่สนใจจะดำเนินธุรกิจนี้ต้องมีความอดทนสูง และต้องรักความสะอาด รวมถึงต้องมีวินัยในการใช้จ่ายเงิน เนื่องจากอาชีพนี้เป็นงานที่มีเงินเข้ามาทุกวัน หากใช้เงินไม่ระวัง อาจทำให้หมดตัวได้ แต่ก็ถือเป็นอาชีพที่มีความสุขเมื่อเห็นลูกค้าได้ความอร่อย และมีสุขภาพที่ดีกลับไป
***สนใจติดต่อ 08-6991-6625 ร้านอยู่ตรงข้ามโรบินสันบางรัก***