สสว. เผยผลพา SMEs ไทยจำนวน 81 ราย โรดโชว์ที่เมืองซัวเถาประเทศจีน เกิดการจับคู่ธุรกิจทั้งสิ้น 102 คู่ จำนวน 42 ราย สร้างมูลค่าธุรกิจกว่า 200 ล้านบาท สินค้าอาหารยอดฮิต ตามด้วยกลุ่มเครื่องสำอางสมุนไพรไทย และเสื้อผ้าเครื่องประดับ
นายภักดิ์ ทองส้ม รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า จากที่ สสว. ได้นำผู้ประกอบการ SMEs ไทย 81 ราย ร่วมงานแสดงสินค้าและจับคู่ธุรกิจ The 10th China (Shantou) International Food Expo: 2008 Thailand Products (Shantou) Fair ณ เมืองซัวเถา สาธารณรัฐประชาชนจีนที่ผ่านมา เพื่อโอกาสทางการค้าและขยายตลาดสู่ประเทศจีน ผลปรากฎว่า เกิดการจับคู่ธุรกิจจำนวนทั้งสิ้น 102 คู่ ในจำนวน SMEs 42 ราย และมีการคาดการณ์ยอดขายหากเกิดคำสั่งซื้อว่าจะมีมูลค่าถึง 200 ล้านบาท
ทั้งนี้ สินค้าที่ได้รับความสนใจสูงสุดจะอยู่ในกลุ่มอาหาร เช่น ซอสพริกและซอสมะเขือเทศ เครื่องดื่มน้ำมังคุดสกัด น้ำว่านหางจระเข้ น้ำมะม่วงหิมพานต์ อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง หมูแผ่นและหมูหยอง เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ได้รับความสนใจรองลงมาจะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผลิตจากสมุนไพร รวมถึง กลุ่มสินค้าประเภทเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ขณะที่การท่องเที่ยวแห่งเมืองซัวเถาได้เจรจาจะสร้างความร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยด้วย
นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่จากห้างสรรพสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ตวอลมาร์ทในเมืองซัวเถา เดินทางมาเยี่ยมชมงานและให้ความเห็นต่อการนำเข้าสินค้าไทยว่า สินค้าประเภทอาหารที่จะนำเข้าประเทศจีนได้นั้น ต้องเป็นสินค้าที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากรัฐบาลจีน ซึ่งเข้มงวดมาก และการจะนำสินค้ามาวางขายในวอลมาร์ทได้นั้น ต้องเป็นการซื้อขายผ่านตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีน โดยวอลมาร์ทจะไม่ติดต่อโดยตรงกับผู้ผลิต แต่จะมีผู้แทนกระจายสินค้าในจีนเป็นผู้ดำเนินการคัดเลือกสินค้า ออกใบรับรองมาตรฐานและเก็บค่าธรรมเนียมการรับรองมาตรฐานประมาณ 1,000 หยวนต่อ 1 รายการสินค้า ดังนั้น จึงอยากแนะนำให้ผู้ประกอบการไทยให้ความสำคัญต่อการรับรองคุณภาพสินค้าให้มาก เพราะจะเป็นใบเบิกทางที่ดีในการทำธุรกิจ
ทางด้านนายพิษณุ เหรียญมหาสาร ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมให้เป็นหัวหน้าผู้นำคณะผู้ประกอบการ SMEs ไปร่วมงานครั้งนี้ กล่าวว่า ซัวเถาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ของมณฑลกวางตุ้ง มีประวัติความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับการค้าขายกับประเทศไทยมานาน ชาวจีนแต้จิ๋วในเมืองซัวเถามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับคนไทย และรู้สึกว่าประเทศไทยเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งของคนซัวเถา ถือเป็นข้อได้เปรียบของชาวไทยในการทำธุรกิจกับชาวจีน เพราะจะทำการค้าได้ง่ายกว่า และชาวจีนก็เปิดรับมากกว่า
นายพิษณุกล่าวว่า สำหรับสินค้าที่มีโอกาสทำตลาดซัวเถาเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เพราะชาวจีนแต้จิ๋วในเมืองซัวเถามีลักษณะนิสัยและรสนิยมในการบริโภคคล้ายคลึงกับคนไทย เชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าไทย นอกจากนี้ สินค้าจีนยังต้องเผชิญกับปัญหาขาดความเชื่อมั่น เพราะถูกกีดกันทางการค้าในสหรัฐฯ และยุโรปในปี 2550 และตั้งแต่ช่วงกลางปี 2551 ก็มีภาวะผลิตภัณฑ์นมปนเปื้อนเมลามีน ทำให้ชาวจีนขาดความเชื่อมั่นในสินค้าที่ผลิตในจีน พ่อค้าจึงต้องไปหาแหล่งสินค้ามาจากที่อื่น ซึ่งก็สรุปได้ว่าเป็นประเทศไทย เพราะประเทศไทยมีชื่อเสียงที่ดีในด้านคุณภาพสินค้า และตรงตามความต้องการของตลาด
“ซัวเถาเป็นเมืองท่า และเป็นเมืองกระจายสินค้าไปยังกวางตุ้ง ฝู่เจี้ยน เจี๋ยนซี จึงเป็นเมืองที่มีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมแก่การค้าขาย คือ สามารถลดต้นทุนด้านลอจิสติกส์ลงได้"
"นอกจากนี้ยังอยากให้ผู้ประกอบการทำความเข้าใจใหม่ในเรื่องการทำธุรกิจกับชาวจีน เพราะผู้ประกอบการบางรายเคยได้ยินว่า ชาวจีนไม่มีกำลังซื้อ แต่ภาพเหล่านั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว วันนี้ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกำลังซื้อสูง เพราะเศรษฐกิจกำลังเติบโต ซึ่งคาดว่าจะเติบโตถึงร้อยละ 8 ในปี 2552 และไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ มากนัก มีกำลังซื้อภายในประเทศสูง ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1,300 ล้านคน” ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมระบุ