ศูนย์วิจัยกสิกรฯ แนะเอสเอ็มอีไทย พลิกวิกฤตช่วงรัฐบาลจีนมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เร่งผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาดจีนเข้าไปทำตลาด
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานถึงสถานการณ์ธุรกิจเอสเอ็มอี จีน ว่า เนื่องจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากวิกฤติการเงินของสหรัฐ การถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู) และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ 3 อันดับแรกของจีน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเอสเอ็มอี จีน ที่เป็นฐานการผลิตสินค้าสำคัญที่ป้อนสินค้าเข้าสู่ตลาดดังกล่าว โดยสินค้าเอสเอ็มอีจีนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงเป็นกลุ่มธุรกิจส่งออกที่ใช้แรงงานมาก ต้องเผชิญกับภาวะต้นทุนแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นและต้นทุนการเงินที่สูงขึ้นจนทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องปิดกิจการลง ได้แก่ ธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รองเท้าและของเล่น เป็นต้น
โดยล่าสุดการส่งออกที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 7 ปี สะท้อนถึงธุรกิจเอสเอ็มอี ที่คาดว่ายังคงต้องเผชิญกับผลกระทบจากภาวะซบเซาของภาคส่งออก
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของธุรกิจเอสเอ็มอี จีน อาจบรรเทาลง เนื่องจากทางการจีนดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยการปรับเพิ่มอัตราคืนภาษีส่งออกสำหรับสินค้าหลายประเภท และยกเลิกการจำกัดสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจีน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจและเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน คาดว่าจะส่งผลให้ขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาสินค้าส่งออกของจีนในตลาดโลกเพิ่มขึ้น
ในทางกลับกันจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยการส่งออกสินค้าของไทยประเภทวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปอาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของภาคส่งออกจีน ขณะเดียวกันสินค้าส่งออกไทยก็อาจต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นกับสินค้าส่งออกของจีนที่มีศักยภาพการแข่งขันด้านราคาดีขึ้นจากมาตรการเพิ่มอัตราคืนภาษีส่งออกของทางการจีน
สำหรับระยะต่อไปคาดว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จีนน่าจะปรับปรุงและพัฒนาสินค้าให้ดียิ่งขึ้นจากนโยบายสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีของทางรัฐบาลจีนที่ต้องการยกระดับสินค้าจีนจากสินค้าราคาถูกไปสู่สินค้าระดับบนที่สร้างมูลค่าของสินค้าเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ แม้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย อาจต้องประสบกับการแข่งขันกับสินค้าส่งออกของจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้นในตลาดโลก แต่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย อาจใช้โอกาสจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนที่คาดว่าจะทำให้ภาคบริโภคและการลงทุนในจีนเติบโตต่อไป ได้เข้าไปทำตลาดในประเทศจีน โดยยึดความต้องการของผู้บริโภคในประเทศจีนเป็นหลักและประยุกต์สินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ก่อนการเข้าบุกตลาดจีนผู้ประกอบการควรคำนึงถึงปัจจัยด้านลบ อาทิ ข้อบังคับและกฎระเบียบต่าง ๆ และความแตกต่างของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในแต่ละพื้นที่ของจีน
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานถึงสถานการณ์ธุรกิจเอสเอ็มอี จีน ว่า เนื่องจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากวิกฤติการเงินของสหรัฐ การถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู) และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ 3 อันดับแรกของจีน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเอสเอ็มอี จีน ที่เป็นฐานการผลิตสินค้าสำคัญที่ป้อนสินค้าเข้าสู่ตลาดดังกล่าว โดยสินค้าเอสเอ็มอีจีนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงเป็นกลุ่มธุรกิจส่งออกที่ใช้แรงงานมาก ต้องเผชิญกับภาวะต้นทุนแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นและต้นทุนการเงินที่สูงขึ้นจนทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องปิดกิจการลง ได้แก่ ธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รองเท้าและของเล่น เป็นต้น
โดยล่าสุดการส่งออกที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 7 ปี สะท้อนถึงธุรกิจเอสเอ็มอี ที่คาดว่ายังคงต้องเผชิญกับผลกระทบจากภาวะซบเซาของภาคส่งออก
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของธุรกิจเอสเอ็มอี จีน อาจบรรเทาลง เนื่องจากทางการจีนดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยการปรับเพิ่มอัตราคืนภาษีส่งออกสำหรับสินค้าหลายประเภท และยกเลิกการจำกัดสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจีน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจและเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน คาดว่าจะส่งผลให้ขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาสินค้าส่งออกของจีนในตลาดโลกเพิ่มขึ้น
ในทางกลับกันจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยการส่งออกสินค้าของไทยประเภทวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปอาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของภาคส่งออกจีน ขณะเดียวกันสินค้าส่งออกไทยก็อาจต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นกับสินค้าส่งออกของจีนที่มีศักยภาพการแข่งขันด้านราคาดีขึ้นจากมาตรการเพิ่มอัตราคืนภาษีส่งออกของทางการจีน
สำหรับระยะต่อไปคาดว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จีนน่าจะปรับปรุงและพัฒนาสินค้าให้ดียิ่งขึ้นจากนโยบายสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีของทางรัฐบาลจีนที่ต้องการยกระดับสินค้าจีนจากสินค้าราคาถูกไปสู่สินค้าระดับบนที่สร้างมูลค่าของสินค้าเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ แม้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย อาจต้องประสบกับการแข่งขันกับสินค้าส่งออกของจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้นในตลาดโลก แต่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย อาจใช้โอกาสจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนที่คาดว่าจะทำให้ภาคบริโภคและการลงทุนในจีนเติบโตต่อไป ได้เข้าไปทำตลาดในประเทศจีน โดยยึดความต้องการของผู้บริโภคในประเทศจีนเป็นหลักและประยุกต์สินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ก่อนการเข้าบุกตลาดจีนผู้ประกอบการควรคำนึงถึงปัจจัยด้านลบ อาทิ ข้อบังคับและกฎระเบียบต่าง ๆ และความแตกต่างของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในแต่ละพื้นที่ของจีน
