เผยคุณสมบัติสมุนไพร “มะรุม” บำบัดโรคกว่า 300 ชนิด ทั่วโลกให้ความสนใจ ขณะที่คนไทยยังไม่รู้ค่า ล่าสุด ผู้ประกอบการรวมตัวนำมะรุมใส่เทคโนโลยียุคใหม่ หวังสร้างชื่อสู่สากล
ดร.หทัยกาญจน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ในฐานะที่ปรึกษาด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์สารสกัดสมุนไพร บริษัท H.C Herb-Club (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า มะรุม หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือMoringa oleifera Lam. จากผลงานวิจัยของประเทศเยอรมัน ซึ่งถือเป็นชาติผู้นำด้านการสกัดสารจากสมุนไพรระบุว่า มะรุมมีคุณสมบัติช่วยบำบัดโรคได้กว่า 300 ชนิด โดยเฉพาะโรคสำคัญๆ ของมนุษย์ เช่น โรคมะเร็ง โรคขาดสารอาหาร และโรคเอดส์ เป็นต้น
สาเหตุที่มีคุณสมบัติบำบัดโรคได้หลากหลาย เนื่องจากในมะรุมมีสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูงมาก อีกทั้งมีคุณค่าทางอาหารสูง ช่วยบำบัดและป้องกันโรคต่างๆ โดยมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า มีวิตามินเอบำรุงสายตามากกว่าแครอต3 เท่า วิตามินซีช่วยป้องกันหวัดได้สูงกว่า 7 เท่าของส้ม มีแคลเซียมบำรุงกระดูกเกินกว่านมสด 3 เท่า มีสารโพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบปราสาท 3 เท่าของกล้วย ใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะแก่ผู้ควบคุมน้ำหนัก และน้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพ นอกจากนั้น ไม่มีผลข้างเคียงต่อผู้บริโภคใดๆ ทั้งสิ้น
ดร.หทัยกาญจน์ เผยต่อว่า ต้นมะรุมมีปลูกอยู่ทั่วโลก โดยมนุษย์รู้จักพืชชนิดนี้มากว่า 4,000 ปีแล้ว ในต่างประเทศทำการวิจัยและสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยบำรุงร่างกายมาหลายปีแล้ว จนได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งในทวีปยุโรป และอเมริกา
ทว่า ในประเทศไทยการรับรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติต่างๆ ของมะรุมดังกล่าวยังไม่กว้างขวางมากนัก ส่วนใหญ่คนไทยจะแค่นำฝักมะรุมไปทำแกงส้ม หรือกินกับน้ำพริก ขณะที่การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ทำโดยกลุ่มผู้ผลิตชุมชน ซึ่งยังขาดทั้งความรู้ขั้นลึกซึ้งและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ไม่สามารถสกัดเอาส่วนที่ดีที่สุดของมะรุมออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ได้ อีกทั้ง ขั้นตอนการผลิตยังไม่ได้มาตรฐานระดับสากลยอมรับ
จากประเด็นดังกล่าว จึงเกิดการรวมตัวของผู้ประกอบการเวชสำอางท้องถิ่นในภาคกลาง 5 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี อยุธยา สุพรรณบุรี อ่างทอง และสิงห์บุรี ในนาม บริษัท H.C Herb-Club (ประเทศไทย) จำกัด มีวัตถุประสงค์นำผลิตภัณฑ์สกัดจากพืชธรรมชาติในท้องถิ่นของไทย ซึ่งมีคุณสมบัติยอดเยี่ยม เช่น มะรุม มาต่อยอดเพื่อผลักดันสมุนไพรไทยไปสู่ตลาดโลก โดยใส่นวัตกรรมทันสมัย การผลิตได้มาตรฐาน อย. และ GMP โดยมีสนับสนุนงบประมาณกว่า 12 ล้านบาทจากภาครัฐ เช่น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กรมส่งเสริมการส่งออก และศูนย์พัฒนายาไทยและสมุนไพร กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร กล่าวว่า การสกัดสารจากมะรุมเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใช้เทคโนโลยีจากประเทศเยอรมัน ซึ่งผ่านการวิจัยมากว่า 5 ปี นำร่องเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพแบบเม็ดแคปซูล ในชื่อ “Moringa HC Herb-Club” โดยเปิดตัวสินค้าในงาน Thailand Health & Beauty Show 2008 ณ เมืองทองธานี ที่ผ่านมา หากสนใจในข้อมูล ติดต่อได้ที่ 081-618-9313
ทั้งนี้ แคปซูลมะรุมดังกล่าวใช้วัตถุดิบต้นมะรุม ปลูกแถบ จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นสายพันธุ์ M.oleifera ซึ่งเป็น 1 จากทั้งหมด 13 สายพันธุ์ของต้นมะรุม โดยข้อได้เปรียบของเมืองไทยอยู่ในโซนอากาศร้อนชื้นทำให้ได้มะรุมที่มีสารอาหารสูงกว่าปลูกในต่างประเทศ โดยการรับประทานหลังอาหาร ครั้งละ 2 เม็ด เช้าและเย็น เพียง 3-4 วันจะเริ่มเห็นผล
สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่วางไว้ คือ ตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะทวีปยุโรป ผ่านการทำตลาด โดยไปตั้งบริษัทลูกที่ประเทศเยอรมัน รวมถึง ได้ขึ้นจดทะเบียนทั้งสูตรการผลิต และตัวผลิตภัณฑ์ ณ ประเทศเยอรมัน ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางด้านการสกัดสมุนไพรที่ทั่วโลกให้การยอมรับ ช่วยป้องกันสิทธิ์ให้สมุนไพรไทยก่อนที่ถูกชาติอื่นอ้างสิทธิ์ไปขึ้นทะเบียนตัดหน้าอย่างที่เคยเป็นมา
ดร.หทัยกาญจน์ ระบุว่า ตั้งเป้าในปีหน้า( 2552) ผลิตภัณฑ์เม็ดแคปซูล จากสารสกัดมะรุมจะมียอดขาย 4-5 ล้านบาท นอกจากนั้น เตรียมออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะรุมอื่นๆ ตามมา เช่น ใบชา เครื่องสำอาง น้ำมันมะรุม เป็นต้น เชื่อว่า หากสมุนไพรชนิดนี้จากประเทศไทยเป็นรู้จักในกว้างขวาง ทั้งจากคนไทยด้วยกันเอง และชาวต่างชาติ จะมีส่วนสำคัญในการช่วยยกระดับการผลิตและสภาพเศรษฐกิจของกลุ่มผู้ผลิตสินค้าสมุนไพรระดับชุมชนของไทยให้ขึ้นสู่มาตรฐานสากล
ดร.หทัยกาญจน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ในฐานะที่ปรึกษาด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์สารสกัดสมุนไพร บริษัท H.C Herb-Club (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า มะรุม หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือMoringa oleifera Lam. จากผลงานวิจัยของประเทศเยอรมัน ซึ่งถือเป็นชาติผู้นำด้านการสกัดสารจากสมุนไพรระบุว่า มะรุมมีคุณสมบัติช่วยบำบัดโรคได้กว่า 300 ชนิด โดยเฉพาะโรคสำคัญๆ ของมนุษย์ เช่น โรคมะเร็ง โรคขาดสารอาหาร และโรคเอดส์ เป็นต้น
สาเหตุที่มีคุณสมบัติบำบัดโรคได้หลากหลาย เนื่องจากในมะรุมมีสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูงมาก อีกทั้งมีคุณค่าทางอาหารสูง ช่วยบำบัดและป้องกันโรคต่างๆ โดยมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า มีวิตามินเอบำรุงสายตามากกว่าแครอต3 เท่า วิตามินซีช่วยป้องกันหวัดได้สูงกว่า 7 เท่าของส้ม มีแคลเซียมบำรุงกระดูกเกินกว่านมสด 3 เท่า มีสารโพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบปราสาท 3 เท่าของกล้วย ใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะแก่ผู้ควบคุมน้ำหนัก และน้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพ นอกจากนั้น ไม่มีผลข้างเคียงต่อผู้บริโภคใดๆ ทั้งสิ้น
ดร.หทัยกาญจน์ เผยต่อว่า ต้นมะรุมมีปลูกอยู่ทั่วโลก โดยมนุษย์รู้จักพืชชนิดนี้มากว่า 4,000 ปีแล้ว ในต่างประเทศทำการวิจัยและสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยบำรุงร่างกายมาหลายปีแล้ว จนได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งในทวีปยุโรป และอเมริกา
ทว่า ในประเทศไทยการรับรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติต่างๆ ของมะรุมดังกล่าวยังไม่กว้างขวางมากนัก ส่วนใหญ่คนไทยจะแค่นำฝักมะรุมไปทำแกงส้ม หรือกินกับน้ำพริก ขณะที่การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ทำโดยกลุ่มผู้ผลิตชุมชน ซึ่งยังขาดทั้งความรู้ขั้นลึกซึ้งและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ไม่สามารถสกัดเอาส่วนที่ดีที่สุดของมะรุมออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ได้ อีกทั้ง ขั้นตอนการผลิตยังไม่ได้มาตรฐานระดับสากลยอมรับ
จากประเด็นดังกล่าว จึงเกิดการรวมตัวของผู้ประกอบการเวชสำอางท้องถิ่นในภาคกลาง 5 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี อยุธยา สุพรรณบุรี อ่างทอง และสิงห์บุรี ในนาม บริษัท H.C Herb-Club (ประเทศไทย) จำกัด มีวัตถุประสงค์นำผลิตภัณฑ์สกัดจากพืชธรรมชาติในท้องถิ่นของไทย ซึ่งมีคุณสมบัติยอดเยี่ยม เช่น มะรุม มาต่อยอดเพื่อผลักดันสมุนไพรไทยไปสู่ตลาดโลก โดยใส่นวัตกรรมทันสมัย การผลิตได้มาตรฐาน อย. และ GMP โดยมีสนับสนุนงบประมาณกว่า 12 ล้านบาทจากภาครัฐ เช่น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กรมส่งเสริมการส่งออก และศูนย์พัฒนายาไทยและสมุนไพร กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร กล่าวว่า การสกัดสารจากมะรุมเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใช้เทคโนโลยีจากประเทศเยอรมัน ซึ่งผ่านการวิจัยมากว่า 5 ปี นำร่องเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพแบบเม็ดแคปซูล ในชื่อ “Moringa HC Herb-Club” โดยเปิดตัวสินค้าในงาน Thailand Health & Beauty Show 2008 ณ เมืองทองธานี ที่ผ่านมา หากสนใจในข้อมูล ติดต่อได้ที่ 081-618-9313
ทั้งนี้ แคปซูลมะรุมดังกล่าวใช้วัตถุดิบต้นมะรุม ปลูกแถบ จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นสายพันธุ์ M.oleifera ซึ่งเป็น 1 จากทั้งหมด 13 สายพันธุ์ของต้นมะรุม โดยข้อได้เปรียบของเมืองไทยอยู่ในโซนอากาศร้อนชื้นทำให้ได้มะรุมที่มีสารอาหารสูงกว่าปลูกในต่างประเทศ โดยการรับประทานหลังอาหาร ครั้งละ 2 เม็ด เช้าและเย็น เพียง 3-4 วันจะเริ่มเห็นผล
สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่วางไว้ คือ ตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะทวีปยุโรป ผ่านการทำตลาด โดยไปตั้งบริษัทลูกที่ประเทศเยอรมัน รวมถึง ได้ขึ้นจดทะเบียนทั้งสูตรการผลิต และตัวผลิตภัณฑ์ ณ ประเทศเยอรมัน ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางด้านการสกัดสมุนไพรที่ทั่วโลกให้การยอมรับ ช่วยป้องกันสิทธิ์ให้สมุนไพรไทยก่อนที่ถูกชาติอื่นอ้างสิทธิ์ไปขึ้นทะเบียนตัดหน้าอย่างที่เคยเป็นมา
ดร.หทัยกาญจน์ ระบุว่า ตั้งเป้าในปีหน้า( 2552) ผลิตภัณฑ์เม็ดแคปซูล จากสารสกัดมะรุมจะมียอดขาย 4-5 ล้านบาท นอกจากนั้น เตรียมออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะรุมอื่นๆ ตามมา เช่น ใบชา เครื่องสำอาง น้ำมันมะรุม เป็นต้น เชื่อว่า หากสมุนไพรชนิดนี้จากประเทศไทยเป็นรู้จักในกว้างขวาง ทั้งจากคนไทยด้วยกันเอง และชาวต่างชาติ จะมีส่วนสำคัญในการช่วยยกระดับการผลิตและสภาพเศรษฐกิจของกลุ่มผู้ผลิตสินค้าสมุนไพรระดับชุมชนของไทยให้ขึ้นสู่มาตรฐานสากล