จับตาไอศกรีมจากเกาหลี “red mango” บุกไทย ชูจุดขายอร่อยเพื่อสุขภาพกินแล้วไม่อ้วน เกาะกระแสเค-ป๊อปเจาะตลาดวัยรุ่น ตั้งเป้าปูพรมทั่วประเทศ 300 สาขาภายใน 3 ปี ทั้งด้วยตัวเอง และแฟรนไชส์
คิม อิน โยบ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคอาร์ซี (ไทยแลนด์) จำกัด เผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์แบรนด์ Missha จากประเทศเกาหลีมาทำตลาดในประเทศไทยเมื่อ 3 ปีก่อน และแบรนด์ล่าสุด คือ ไอศกรีม “red mango” ซึ่งในเกาหลี ไอศกรีมแบรนด์นี้ได้รับความนิยมอย่างสูง มีกว่า 170 สาขา มีจุดขายเป็นไอศกรีมโยเกิร์ตไร้ไขมัน ให้ทั้งความอร่อยและดีต่อสุขภาพ ซึ่งตรงกับกระแสรักสุขภาพทั่วโลก
เกาะกระแส เค-ป๊อป บุกไทย
คิม อิน โยบ เผยอีกว่า บริษัทฯ ซื้อสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ทำตลาดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเลือกเปิดสาขาแรกที่ All Seasons ประเทศไทย เนื่องจากตัวเองทำธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 13 ปี จึงมีประสบการณ์ตรงในท้องถิ่นสูง ประกอบกับทุกวันนี้ กระแสนิยมวัฒนธรรมเกาหลี ผ่านทางภาพยนตร์และละครเกาหลีแทรกซึมในวิถีชีวิตคนไทย โดยเฉพาะวัยรุ่นและสตรีอย่างกลมกลืนช่วยเสริมกระแสทำตลาดได้ง่ายขึ้น
สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือ วัยรุ่นอายุ 18-25 ปี รวมถึงขยายสู่กลุ่มสุภาพสตรีวัยทำงาน ซึ่งต้องการกินไอศกรีม แล้วไม่อ้วน ส่วนในแง่ของราคานั้น เริ่มต้นที่ 49 ถึงประมาณ 200 บาท ราคานี้เมื่อเทียบกับในเกาหลีแล้วถูกกว่าครึ่งหนึ่ง จึงเชื่อว่า ผู้บริโภคไทยจะยอมรับได้
ส่วนการบริหารธุรกิจ วัตถุดิบหลักส่วนใหญ่ เช่น โยเกิร์ต และเครื่องจักร เป็นเทคโนโลยีเฉพาะนำเข้าจากประเทศเกาหลี แต่วัตถุดิบพื้นฐาน เช่น ผลไม้ต่างๆ เป็นของในประเทศไทย ขณะที่คู่แข่งยังไม่มีรายใดโดยตรง ส่วนใหญ่จะเป็นรายเล็กๆ ซึ่งกลุ่มลูกค้าแตกต่างกัน ช่องทางตลาดนี้ จึงเปิดอีกกว้าง
แจ้งเกิดบูม ปูพรมคลุมทำเลทอง
ไอศกรีม red mango มีอัตราการเติบโตในไทยที่รวดเร็วและร้อนแรง โดยประเดิมเปิดสาขาแรกที่ All Seasons เมื่อเดือนปลายปี 2550 ที่ผ่านมานี่เอง หลังจากนั้น เพียง 3-4 เดือนขยายเพิ่มกว่า 10 สาขา ทั้งภายใต้บริษัทฯเอง กับขายแฟรนไชส์ ครอบคลุมทำเลทองทั่วประเทศ เช่น สยามสแควร์ ซอย4 , เดอะมอลล์ บางกะปิ ชั้นG , สยามเซ็นเตอร์ ชั้น 4 , The Esplanade ชั้นB และ Big C พัทยา เป็นต้น
ทั้งนี้ วางเป้าภายในสิ้นปีนี้ (2551) ในไทยจะขยายรวม 30 สาขา ทั้งด้วยตัวเอง และแฟรนไชส์ และจะเพิ่มเป็น 300 สาขาภายใน 3 ปี โดยเฟ้นทำเลทองในห้างสรรพสินค้า และย่านธุรกิจในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงจะขยายไปสู่ตลาดประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม กัมพูชา พม่า และลาว วางเป้าขยายถึง 500 สาขาภายใน 5 ปี
“ทุกวันนี้ ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอให้เราสามารถเข้าไปเช่าใช้พื้นที่ได้ แสดงให้เห็นว่า แบรนด์ red mango มีความแข็งแรงพอสมควร และสินค้าน่าสนใจ ห้างต่างๆมองเห็นศักยภาพ และให้โอกาสเราเข้าไปอยู่ในทำเลเหมาะสมกับลูกค้าเป้าหมาย” คิม อิน โยบ ระบุ
แฟรนไชส์หรู เฟ้นลูกค้าไฮโซ
ในแง่ของการลงทุนซื้อแฟรนไชส์ red mango ประธานกรรมการบริหาร ระบุจุดเด่น คือ บริษัทฯ มีทีมงานพร้อมทั้งความรู้และประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจนี้โดยตรง มีระบบสนับสนุนผู้ซื้อแฟรนไชส์ครบวงจร ทั้งการประเมินสถานที่ การวิจัย การตลาด การออกแบบร้าน การฝึกอบรม บริหารบุคคล วางแผนการลงทุน ฯลฯ
สำหรับการร่วมธุรกิจแฟรนไชส์วางไว้ 3 รูปแบบ คือ S ขนาดพื้นที่ 30-70 ตารางเมตร(ตรม.) เงินลงทุน 2-3 ล้านบาท , M ขนาดพื้นที่ 70-100 ตรม. เงินลงทุน 3-5 ล้านบาท และ L ขนาดพื้นที่ 100-200 ตรม.ขึ้นไป เงินลงทุน 5-10 ล้านบาท แต่ละสาขาต้องทำยอดขายได้ 15,000 บาท 25,000 บาท และ 40,000 บาทขึ้นไปต่อวัน (ตามขนาดร้าน) โดยกำไรที่แฟรนไชส์ซีจะได้รับจากการขายไอศกรีมต่อหน่วยประมาณ 60% และกำไรสุทธิหักค่าใช้จ่ายทุกด้านเหลือเกือบ 30% คาดการณ์คืนทุนโดยเฉลี่ยภายใน 1-1.5 ปี
คิม อิน โยบ ระบุว่า ผลตอบรับเท่าที่เปิดสาขามาประมาณครึ่งปี ประสบความสำเร็จทุกแห่ง ตัวอย่างสาขาสยามสแควร์ ซอย4 ยอดขายกว่า 40,000 บาทต่อวัน และมั่นใจกระแสจะดีต่อเนื่องด้วยการบอกต่อ โดยปีนี้ บริษัทฯ ตั้งงบขยายสาขาเอง กับส่งเสริมการตลาด รวม 200 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายผลประกอบการบริษัทฯ สิ้นปีนี้อยู่ที่ 100 ล้านบาท ซึ่งแม้จะขาดดุล แต่คุ้มค่า เพราะเป็นการลงทุนระยะยาว เพื่อขยายสาขาใหม่
ทั้งนี้ คิม อิน โยบ กล่าวทิ้งท้ายในฐานะนักลงทุนต่างชาติว่า แม้ประเทศไทยเศรษฐกิจจะชะลอตัว ประกอบกับมีปัจจัยลบอื่นๆ แต่จากประสบการณ์ตรงที่ทำธุรกิจในดินแดนนี้ มองว่า ประเทศไทยยังน่าลงทุน เพราะธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะเจาะกลุ่มวัยรุ่น ไม่ว่าเศรษฐกิจเป็นเช่นไร อัตราเติบโตก็ยังสูง และส่วนตัวมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ดังนั้น ปีนี้ไม่มีทางจะเติบโตน้อยไปกว่าเดิม
ตารางลงทุนแฟรนไชส์ red mango โดยสังเขป |
-แฟรนไชส์ลงทุน 3 ขนาด คือ S – M – L -เงินลงทุนเริ่มต้น 2 -10ลบ. แล้วแต่ขนาดร้าน -ค่า Franchise fee 375,000 – 750,000 บ. อายุสัญญา 3 ปี -กำไรสุทธิหักค่าใช้จ่าย ประมาณ 30% -คาดการณ์คืนทุน 1-1.5 ปี |