"เอสเอ็มอีแบงก์"เตรียมปรับระเบียบคุ้มการทำงานผู้บริหารต้องโปร่งใส และปิดช่องทางถูกการเมืองแทรกแซง ขณะที่การทำงานปรับระบบเน้นไอที รับพนง.แบบสัญญาจ้าง และเพิ่มอำนาจสาขาปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มเป็น 5 ลบ.
นายสมชัย สัจจพงษ์ ในฐานะประธานกรรมการบริหาร ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของธนาคารช่วงต้นเดือน ม.ค. จะพิจารณาแก้ไขระเบียบ ให้การดำเนินงานของผู้บริหารระดับสูงเป็นไปอย่างโปร่งใส โดยต้องปิดช่องการใช้ดุลพินิจ เพราะอาจมีผลต่อการใช้อำนาจไปในทางไม่ถูกต้อง และต้องหาทางลดการแทรกแซงจากการเมือง ทั้งการประเมินสินเชื่อ การฟ้องคดีทุจริตปล่อยสินเชื่อต้องชัดเจน การแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการมาจากคณะกรรมการธนาคาร เพื่อคุมการทำงานกรรมการผู้จัดการได้ชัดเจน
"ที่ผ่านมากรรมการผู้จัดการจะฟังพรรคการเมืองโดยตรงไม่ได้ฟังคำแนะนำหรือท้วงติงจากคณะกรรมการธนาคาร ทำให้การทำงานถูกแทรกแซงจากการเมือง ซึ่งการปิดช่องว่างดังกล่าว เพื่อให้การบริหารงานของธนาคารมีประสิทธิภาพมากขึ้น" นายสมชัย กล่าว
ทั้งนี้ เป้าปี 2551 วางปล่อยสินเชื่อใหม่รวม 28,000 ล้านบาท ลดหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้เหลือ 35% อีกทั้ง ปรับปรุงระบบไอที (Core Banking) รองรับระบบให้บริการทางการเงินครบวงจร การเริ่มเข้าสู่ระบบประกันภัย การเป็นตัวแทนจำหน่ายหุ้นสามัญ การใช้ประโยชน์จากพื้นที่อาคารของสาขาต่างๆ ที่เหลืออยู่ ให้บริษัทเอกชนเช่าพื้นที่ว่างเพื่อหารายได้เพิ่ม เมื่อรัฐบาลเข้ามาบริหาร ถ้าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้กลไกผ่านธนาคารของรัฐ โดยวงเงินสินเชื่อที่ตั้งไว้ 28,000 ล้านบาทน่าจะเพียงพอ ในการให้ความร่วมมือกับรัฐบาล
สำหรับด้านบุคลากรได้เตรียมปรับระบบการรับพนักงานใหม่ ให้เป็นแบบสัญญาจ้างทุกคน ด้วยการต่อสัญญาทุก 2 ครั้ง เพื่อประเมินผลงานระยะ 2,4,6 ปี หากผ่านการประเมินก็จะบรรจุให้เป็นพนักงานประจำ เพื่อกระตุ้นให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังต้องมีระบบการเกษียณอายุการทำงานก่อนกำหนด เพื่อลดกำลังคนให้เหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องเพิ่มการกระจายอำนาจไปยังสาขาต่างๆ ให้อนุมัติปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มจาก 3 ล้านบาท เป็น 5 ล้านบาท ตลอดจนการฟ้องร้องดำเนินคดีหนี้เอ็นพีแอล เมื่อการพัฒนาระบบทุกอย่างดีขึ้นน่าจะทำให้เอสเอ็มอีแบงก์มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
