บุคคลธรรมดาหากมีเงินได้พึงประเมินจะต้องนำเงินได้ตลอดทั้งปีไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งหมายถึง ภาษีเงินได้ที่เรียกเก็บจากบุคคลซึ่งมีเงินได้พึงประเมินตามเกณฑ์ที่ประมวลรัษฎากรกำหนดไว้
โดยยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีสำหรับปีภาษี (ปีประดิทิน) นั้น หากบุคคลธรรมดามีเงินได้พึงประเมินจะต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตรา 10 - 37% ตามอัตราก้าวหน้า (Progressive Rate) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ทีมีเงินได้สุทธิที่หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้วตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไปอัตราภาษีที่ต้องเสียให้กรมสรรพากรถึง 37%
สุชาดาเป็นพนักงานกินเงินเดือนประจำมีรายได้ปี 400,000 บาท และยังเปิดร้านขายสินค้าสะดวกซื้อที่บ้านมีรายได้อีกปีละ 1,000,000 บาท
หากร้านสะดวกซื้อเป็นของสุชาดา ทำให้สุชาดาต้องนำรายได้เงินเดือนและร้านขายสินค้าสะดวกซื้อมารวมกันทำให้เงินได้ของสุชาดาเป็นเงิน 1,400,000 บาท
สุชาดาจะเสียภาษีเงินได้สูงขึ้น แต่หากสุชาดาเลือกองค์กรที่ใช้ประกอบธุรกิจในรูปของ "คณะบุคคล" จะช่วยแก้ไขปัญหาในการเสียภาษีเงินได้ได้อย่างไร
"คณะบุคคล" หมายถึง ธุรกิจที่ดำเนินงานด้วยบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยได้ตกลงทำกิจกรรมร่วมกันมีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งปันผลกำไรตามอัตราส่วนที่ตกลงกันหรือแต่ละคนที่ได้ลงทุนในกิจการ คณะบุคคลจึงมีลักษณะเหมือนกับห้างหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียน
การดำเนินธุรกิจประเภทนี้ช่วยให้กิจการมีเงินลงทุนมากขึ้น ในแง่ของการตัดสินใจจะรอบคอบเพราะช่วยกันตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดจากการดำเนินงาน ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจะต้องรับผิดชอบร่วมกันในหนี้สินทั้งหมดของกิจการโดยไม่จำกัดจำนวนหนี้สินนั้น
การเสียภาษีเงินได้ของคณะบุคคลจะเสียภาษีเงินได้เหมือนกับบุคคลธรรมดาที่แยกออกจากตัวบุคคล โดยถือเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งตามมาตรา 56 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากรที่ได้บัญญัติไว้ดังนี้
"ในกรณีที่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกินจำนวนตาม (1) ให้ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินในชื่อของห้างหุ้นส่วน หรือคณะบุคคลนั้นที่ได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้วภายในกำหนดเวลาและตามแบบเช่นเดียวกับวรรคก่อน การเสียภาษีในกรณีเช่นนี้ ให้ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการรับผิดเสียภาษีในชื่อของห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลนั้นจากยอดเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้นเสมือนเป็นบุคคลคนเดียวไม่มีการแบ่งแยก ทั้งนี้ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลแต่ละคนไม่จำต้องยื่นรายการเงินได้สำหรับจำนวนเงินได้พึงประเมินดังกล่าวเพื่อเสียภาษีอีก แต่ถ้าห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลนั้นมีภาษีค้างชำระให้ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลทุกคนร่วมรับผิดในเงินภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย"
นอกจาก "คณะบุคคล" จะมีหน้าที่เสียภาษีเสมือนหนึ่งเป็นบุคคลที่แยกออกจากบุคคลธรรมดาทั่วไปแล้ว เมื่อประกอบธุรกิจมีผลกำไรในแต่ละปี แล้วนำกำไรของคณะบุคคลมาแบ่งให้กับผู้ร่วมลงทุน ส่วนแบ่งกำไรดังกล่าวก็ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 42 (14) เงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ คือ
"(14) เงินส่วนแบ่งของกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือ คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลซึ่งต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ แต่ไม่รวมถึงเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกองทุนรวม"
ในการคำนวณเงินได้พึงประเมินของคณะบุคคลไม่ได้แตกต่างจากบุคคลธรรมดาซึ่งก็คือ นำเงินได้ทั้งปีตั้งหักด้วยค่าใช้จ่ายเหมา และหักด้วยค่าลดหย่อน
กรณีผู้มีเงินได้เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ให้หักลดหย่อนได้ตามสำหรับผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลแต่ละคนซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยแต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท
ดังนั้นหากสุชาดาวางแผนภาษี สุชาดาอาจจะเลือกกินเงินเดือนในนามบุคคล และเป็นร้านขายของสะดวกซื้อในนามคณะบุคคล เมื่อถึงกำหนดยื่นเสียภาษีก็จะแยกเสียภาษีออกจากกันถือเป็นคนละหน่วยภาษี การจัดตั้งคณะบุคคล
หากท่านผู้อ่านสนใจเพิ่มเติมศึกษาได้จากหนังสือ "การวางแผนภาษีเงินได้นิติบุคคล 2505" หรือโทรสอบถามหนังสือได้ที่ 02-831-7335-8 ก็จะช่วยให้ท่านผู้อ่านมั่นใจมากขึ้นในการเสียภาษีที่ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร
* * * * บทความโดย สมเดช โรจน์คุรีเสถียร * * *