เมื่ออาณาจักรโรมันเริ่มล่มสลายในปี 476 จนกระทั่งถึงปี 1,000 ยุโรปทั้งทวีปในเวลานั้นก็ได้ย่างก้าวเข้าสู่ยุคมืด (Dark Age) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมเริ่มปฏิเสธการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ เมืองใหญ่ได้เริ่มถูกผู้คนทิ้งร้าง การค้าขายติดต่อทางไกลกับคนต่างชาติได้เริ่มลดลงทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพของสินค้า สงครามกลางเมือง และการแตกความสามัคคีในอาณาจักรต่าง ๆ ได้บังเกิดบ่อยขึ้น โรคระบาด เช่น กาฬโรค ที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนนับหมื่นได้อุบัติแล้วอุบัติอีก จนนักประวัติศาสตร์เริ่มเพิกเฉยที่จะบันทึกเหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆ อย่างละเอียด งานสร้างสรรค์ศิลปะก็เริ่มถูกละทิ้ง ฯลฯ
แต่ใน อาณาจักร Maya ซึ่งมีอาณาบริเวณเป็นดินแดนในทวีปอเมริกากลางที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนที่เป็นคาบสมุทร Yucatán ใน Mexico จนถึง Guatemala, Belize และ Honduras กลับมีอารยธรรมใหม่ที่กำลังเจริญเติบโตและรุ่งเรืองจนถึงระดับสูงสุด ซึ่งอาจเปรียบเทียบได้กับอารยธรรมกรีกในสมัยโบราณ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ เช่น Chichén Itzá, Palenque, Copan และ Tikal
เพราะในสถานที่เหล่านี้มีหลักฐานทางโบราณวัตถุที่แสดงให้เห็นว่า ชนชาว Maya มีอารยธรรมที่สูงส่งมากมาย เช่น รู้จักสร้างพีระมิด ที่มีลักษณะแตกต่างจากพีระมิดอียิปต์ในหลายประเด็น กล่าวคือ พีระมิด Maya มักมีวิหารติดตั้งอยู่ที่ยอดพีระมิด เพื่อใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และพิธีบูชายัญคนและสัตว์ แต่บางวิหารได้ถูกใช้เป็นหอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ส่วนยอดของพีระมิดอียิปต์กลับไม่มีถาวรวัตถุอะไรเลย
กระนั้นในประเด็นโครงสร้างพีระมิดของอารยธรรมทั้งสอง ก็ยังมีส่วนที่คล้ายกัน คือ มีขนาดใหญ่ แต่ผิวด้านข้างทั้งสี่ของพีระมิดอียิปต์กลับราบเรียบ ส่วนผิวพีระมิดของชาว Maya กลับเป็นขั้นบันได นอกจากนั้นพีระมิดอียิปต์นั้นถูกสร้างขึ้น เพื่อถวายองค์ฟาโรห์ให้ทรงใช้เป็นที่เก็บพระศพ ให้พระองค์ทรงสามารถกลับมามีพระชนม์ชีพได้อีก แต่พีระมิดของชาว Maya ไม่มีจุดประสงค์เช่นนั้น แต่ก็อาจจะใช้เป็นสถานที่ลับสำหรับเก็บเอกสารทางวัตถุ หรืองานศิลปะ ซึ่งเป็นเรื่องที่นักโบราณคดี กำลังแสวงหาคำตอบอยู่ และเมื่อใดที่พบคำตอบ เหตุการณ์นี้ก็จะทำให้โลกรู้จักอารยธรรม Maya ดีขึ้น จนอาจจะรู้ชัดว่าอารยธรรมนี้ได้ล่มสลายไปเพราะเหตุใด
ถึงกระนั้นหลักฐานทางอารยธรรมมายาที่หลงเหลือและปรากฏชัดก็ยังมีอยู่จน ณ วันนี้ ก็คือ ชาวมายารู้จักใช้เลขศูนย์อย่างเป็นอิสระจากชนชาติอื่น (คือ ไม่ได้ลอกเลียนมาจากชาวอินเดีย) รู้วิธีคำนวณเวลาใน 1 ปี ว่ามี 260 วัน กับ 365 วัน รู้จักใช้เลขฐาน 20 รู้จักช่วงเวลาที่จะเกิดสุริยุปราคาว่า มีคาบที่เกิดอย่างสม่ำเสมอในทุก 11 ปี เป็นต้น
แต่ชาวมายาไม่รู้จักการประดิษฐ์ล้อและรู้จักใช้ล้อ อีกทั้งไม่รู้จักการใช้โลหะในการสร้างอุปกรณ์ และเครื่องใช้ต่าง ๆ วัตถุที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารจึงเป็นหิน แต่ชาวมายาก็มีภาษาใช้ที่เป็นของตนเอง คือ เป็นอักษรภาพผสมเสียง (hieroglyph) มีระบบการปกครองที่มีการแบ่งวรรณะเป็นกษัตริย์ ขุนนาง และคนทั่วไป มีการทำสงครามกับชนเผ่าอื่น มีพิธีกรรมบูชายัญ เพื่อขอความเมตตาจากเทพยดาบนฟ้า และขอฝนจากเทพเจ้าแห่งฝน ซึ่งชาวมายาเชื่อว่ามีหลายองค์ เช่น เทพแห่งดวงอาทิตย์ เทพข้าวโพด และเทพพายุ เป็นต้น
ในประเด็นสาเหตุที่ทำให้อาณาจักร Maya ต้องล่มสลายนั้นนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีมีข้อสันนิษฐานว่ามีหลายสาเหตุ และที่ปรากฏเป็นต้นเหตุหลักก็คือ สงครามกับคนต่างชาติ ซึ่งเกิดจากการมีนักรบชาวสเปนจำนวนมากได้เข้ามาบุกรุกดินแดนมายา โดยนายทหารล่าอาณานิคมชื่อ Pedro de Alvarado (1485-1541) ซึ่งเคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของ นายพล Hernán Cortés (1485–1547) เพราะเมื่อ Cortés สามารถพิชิตอาณาจักร Aztec ได้แล้ว de Alvarado ก็ได้นำทหารจำนวน 400 คน กับชาวมายาในพื้นที่ไกลๆ จำนวน 20,000 คน ยกทัพบุกอาณาจักร Maya เพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยการฆ่าสตรีมีครรภ์ด้วยการแขวนคอ และฆ่าทารกในครรภ์โดยการแขวนคอด้วยเชือกที่มัดจากเท้าของแม่ ถ้าชาว Maya คนใดต่อต้านการกระทำที่ทารุณของทหารสเปน เขาคนนั้นก็จะถูกสุนัขล่าเนื้อกัดฆ่าจนตาย และยังให้เผาทำลายจารึกจนหมด เพราะนักบวช Diego de Landa (1524-1579) ของสเปน ได้เห็นบันทึกว่ามีแต่เรื่องปีศาจ เวทมนต์ และผีสาง ซึ่งเป็นความเชื่อที่ขัดกับคำสอนในคริสต์ศาสนามาก การฆ่า และล่าคนที่ต่อต้าน โดยให้ได้รับโทษอย่างรุนแรงนี้ มีส่วนทำให้ชาวมายาทุกคนหวาดกลัว ดังนั้นเมื่อภาวะทุพภิกขภัยมาถึง ภาวะสงครามกลางเมืองที่เกิดบ่อย และการระบาดของไข้ทรพิษ เหตุการณ์ร้ายแรงทั้งหลายทั้งปวง จึงทำให้ชาวมายาไม่มีพลังอะไรเหลือพอจะต่อสู้กับทหารต่างชาติได้ การล่มสลายของอาณาจักรจึงเกิดขึ้น อบ่างไม่มีทางเลี่ยง
การไม่มีเอกสารทางประวัติศาสตร์และหนังสือภาพเป็นหลักฐานที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ จึงเป็นความประสงค์หนึ่งของนักประวัติศาสตร์ที่จะค้นหาห้องลับที่อาจจะมีหลักฐานแอบแฝงอยู่ในพีระมิด เพราะตระหนักรู้ว่าชาวมายา ชอบบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวกับกษัตริย์ สงคราม และพิธีกรรม ดังนั้นการมีข้อมูลทางศาสนา และข้อมูลสังคมที่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ เป็นกษัตริย์ บักบวช ขุนนาง และเกษตรกร จะให้เราปัจจุบันเห็นภาพของสังคมมายาในวันนั้น ให้ผู้คนในวันนี้ได้รู้จักอสรยธรรมมายาดีขึ้น
พีระมิดของชาวมายาเป็นสิ่งก่อสร้างที่ศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับคนทุกคนในอาณาจักร เป็นสิ่งที่แสดงสัญลักษณ์แห่งการทรงอำนาจของกษัตริย์ โดยมีรูปทรงเป็นพีระมิดขั้นบันไดที่มียอดตัด เป็นที่ตั้งของวิหาร ตัวพีระมิดใช้วัสดุที่ทำด้วยหินปูน และมักมีการพีระมิดสร้างทับซ้อนกันหลายชั้นตามรัชสมัยของกษัตริย์ที่ปกครอง แต่ก็มีบางพีระมิดที่ใช้เป็นที่สังเกตเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์
พีระมิด Maya ที่สำคัญ ได้แก่
1. พีระมิด El Castillo (หรือวิหาร Kukulcan) ตัวพีระมิดมี 4 ด้าน ด้านข้างแต่ละข้างมีขั้นบันได 91 ขั้น อยู่ที่เมือง Chichén Itzá วิหารนี้ถูกสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และอาคารที่ยอดของพีระมิดสำหรับใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และประกาศศักดานุภาพของกษัตริย์
พื้นที่บริเวณที่อยู่รายรอบพีระมิด มักใช้เป็นสถานที่อยู่อาศัยของบรรดาขุนนางชั้นสูง และที่ไกลออกไปเป็นถิ่นอาศัยของชาวบ้าน ครั้นเมื่อทหาร conquistador บุกทำลายอาณาจักร Maya ชาวบ้านจึงได้พากันหลบหนี ทิ้งพีระมิดให้ป่าเข้าครอบคลุม
2. พีระมิดที่เมือง Tikal มีวิหาร Temple of the Jaguar ซึ่งตั้งอยู่ที่ยอดของพีระมิดที่สูง 10 ชั้น เป็นสถานที่ให้นักบวชใช้ประกอบพิธีกรรมและพำนัก โดยอยู่ในป่าฝน
3. Temple of the Inscriptions อยู่ที่เมือง Palenque ของรัฐ Chiapas ใน Mexico ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี 600-730 ภายในวิหารมีงานแกะสลักเป็นลวดลายละเอียดงดงามมากที่สุด และเป็นพีระมิดที่มีสุสานของกษัตริย์ Pakal มหาราช ภายในมีโลงหินพร้อมฝาปิด โดยที่ฝาโลงมีภาพสลักจักรวาลที่ทำเป็นรูปต้นไม้ และภายในพีระมิดมีบันไดยาวทอดลงไปใต้พีระมิด ที่ผนังวิหารด้านบนมีจารึกประวัติของราชวงศ์ต่าง ๆ ย้อนหลังไป 200 ปี วิหารนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า Temple of Palenque นับเป็นสุดยอดของการสร้างพีระมิด Maya เพราะมีทั้งศิลปะ ประวัติศาสตร์ ความรู้ดาราศาสตร์ ประวัติของราชวงศ์ ตลอดจนข้อมูลชัยชนะที่ได้จากการทำสงคราม เพราะมีข้อมูลวันเดือนปีที่เกิดสงคราม วิหารนี้จึงมีสภาพเหมือนหนังสือประวัติศาสตร์ที่สร้างด้วยหิน
ตามปกติเวลามีใครกล่าวถึงพีระมิด ทุกคนมักจะนึกถึงอียิปต์ ซึ่งมีมหาพีระมิดอันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกโบราณที่ยังคงสภาพให้โลกเห็นจนทุกวันนี้ และมีผลทำให้ชาวอียิปต์มีคำกล่าวเชิงปรัชญาว่า “Man fears time, but time fears the pyramids” ซึ่งมีความหมายว่า มนุษย์กลัวกาลเวลา ที่จะนำมาซึ่งความตาย ความชรา และการสูญเสีย แต่กาลเวลาเองกลับกลัวพีระมิด เพราะเวลาก็ไม่สามารถทำอะไรพีระมิดได้เลย
สำหรับพีระมิดสองแห่งที่ Giza ในอียิปต์นั้น เป็นสถานที่ใช้ฝังพระศพของฟาโรห์ Khufu, Khafre และ Menkaure (พระนามในภาษากรีก คือ Cheops, Chephren และ Micerinus ตามลำดับ) และเป็นพีระมิดที่ทรงไว้ซึ่งความลึกลับมากมาย เช่น คำถามว่า คนอียิปต์ในเวลานั้นใช้เทคโนโลยีอะไรในการสร้าง จำนวนคนที่ใช้ และเวลาทั้งหมดในการสร้าง ตลอดจนใครเป็นสถาปนิกที่วางแผนสร้าง และภายในพีระมิดเหล่านี้มีอะไรแอบแฝงอยู่บ้าง เพราะพีระมิด เช่น Khufu ได้รับการประมาณว่า ประกอบด้วยก้อนหินลูกบาศก์ขนาดใหญ่ที่มี ปริมาตรรวมประมาณ 5 ล้านลูกบาศก์เมตร จำนวน 2.3 ล้านก้อน ซึ่งได้ถูกนำมาวางเรียงกันเป็นชั้น ๆ การวัดขนาดทางเรขาคณิตของพีระมิดแสดงให้เห็นว่า ฐานทั้ง 4 ของพีระมิดมีความยาวประมาณ 230 เมตร สำหรับประเด็นที่มาของก้อนหินที่ใช้ในการสร้างนั้น นักวิจัยทางโบราณคดีสันนิษฐานว่า ฝูงชน (ทาสและผู้จังรักภักดีต่อองค์ฟาโรห์) ได้ขนหินมาโดยทางเรือล่องขึ้นตามลำแม่น้ำ Nile จากเหมืองหินที่เมือง Turah
การค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของอารยธรรมอียิปต์ ได้เกิดขึ้นในวันที่ 4 พฤศจิกายน ปี 1922 เมื่อ Howard Carter (1874 –1939) พบสถานที่ฝังพระศพของฟาโรห์ Tutankhamun ในห้องลับที่หุบเขา Valley of the Kings ภายในห้องมีบัลลังก์ที่ประทับ รถม้า พระแสงดาบ เพชรนิลจินดา และของเล่น ฯลฯ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคนทั้งโลกก็ได้หันมาสนใจจะค้นหาห้องลับที่ทุกคนคิดว่าอยู่ลึกภายในพีระมิด Khufu ที่สูง 139 เมตรบ้าง และก็ได้พบห้องว่างสามห้อง คือ ห้อง Queen, ห้อง Grand Gallery และห้อง King ที่มีอุโมงค์แคบ ๆ โยงต่อถึงกัน
ในปี 2016 Kunihiro Morishima นักฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัย Nagoya ในญี่ปุ่นได้พบห้องว่างเป็นช่องทางยาว 30 เมตร กว้าง 3.5 เซนติเมตรอยู่ในพิระมิด Khufu โดยใช้เทคโนโลยีถ่ายภาพด้วยอนุภาค muon ซึ่งเป็นการวิจัยทางโบราณคดียุคใหม่ที่ได้รับการบุกเบิกโดย นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลชื่อ Luis Walter Alvarez (1911–1988)
Alvarez เคยได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์เมื่อปี 1968 จากการพัฒนาห้องฟอง (bubble chamber) ที่บรรจุไฮโดรเจนเหลว จนได้พบอนุภาคกำทอน (resonance particle) ที่มีอายุขัยสั้นมากๆ คือ ระดับ 10^(-23) วินาที ก็สลายตัว แม้จะเป็นอนุภาคที่มีอายุขัยน้อยนิดและอยู่ได้ไม่นาน แต่การมีอยู่ของอนุภาคนี้ ก็เป็นหลักฐานที่นักฟิสิกส์ใช้ในการสนับสนุนความถูกต้องของทฤษฎี Standard Model ในเวลาต่อมา
แต่ผลงานที่น่าจะทำให้ทุกคนรู้จัก Alvarez ดีที่สุด คือ การทำวิจัยร่วมกับลูกชาย (Walter Alvarez 1940-ปัจจุบัน) ที่ได้พบว่า สาเหตุที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปีก่อน เกิดจากการมีอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลก ณ บริเวณนอกคาบสมุทร Yucatan ของ Mexico
กับการพบเทคโนโลยี muon tomography ที่ใช้อนุภาค muon จากรังสีคอสมิกในการค้นหาห้องลับภายในพีระมิด Khufu แม้ Alvarez จะไม่ได้พบอะไรในพีระมิดนั้นเลย แต่เทคโนโลยีของเขาก็กลายมาเป็นมาตรฐานที่นักโบราณคดีใช้ไขปัญหาลึกลับที่อาจแฝงอยู่ในวัตถุขนาดใหญ่ เช่น พีระมิด ภูเขาไฟ ฯลฯ โดยนักโบราณคดีไม่จำเป็นต้องขุดเจาะ หรือผ่าวัตถุออกดู ซึ่งจะเป็นการทำลายวัตถุที่มีค่าไปอย่างสมบูรณ์โดยปริยาย
ผลงานที่โดดเด่นอีกชิ้นหนึ่งของนักวิทยาศาสตร์ประชาชน Alvarez คนนี้ คือ การร่วมสืบสวนคดีการลอบยิงประธานาธิบดี John F. Kennedy เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ปี 1963 โดยได้ใช้ฟิสิกส์วิเคราะห์หาตำแหน่งของนักฆ่าที่ลอบยิงจากอาคารสูง
ในส่วนของความรู้ที่เกี่ยวกับอนุภาค muon นั้น ก็มีประวัติความเป็นมาดังนี้ คือ ในปี 1936 หลังจากที่ Carl David Anderson (1905-1991) ได้พบ positron ซึ่งเป็นปฏิยานุภาค ของ electron (คือ มีประจุบวกที่ตรงข้ามกับอิเล็กตรอนที่มีประจุลบ) แล้ว ในปี 1940 เขาก็ได้พบอนุภาคชนิดใหม่ ที่เกิดจากรังสีคอสมิก ซึ่งมีแหลงที่มาจากอวกาศที่ไกลโพ้น (รังสีนี้ส่วนใหญ่ประกอบด้วยอนุภาคโปรตอน) เพราะ Anderson ได้พบว่า อนุภาคชนิดใหม่สามารถเจาะทะลุผ่านแผ่นตะกั่วหนาได้ และเมื่ออนุภาคใหม่นี้มีประจุเท่ากับอิเล็กตรอนพอดี และมีประจุลบ แต่มีมวลมากกว่าประมาณ 207 เท่า และแทบไม่มีอันตรกิริยากับนิวเคลียสของอะตอมใด ๆ ดังนั้นมันจึงสามารถทะลุผ่านสสารได้ดีกว่าอิเล็กตรอนมาก
Anderson ได้เรียกอนุภาคที่ตนพบว่า mesoton แต่ Robert A. Millikan (1868-1953) (รางวัลโนเบลฟิสิกส์ปี 1923 ผู้วัดค่าประจุของอิเล็กตรอนได้เป็นคนแรก) คิดว่า ชื่อที่ดีกว่าควรเป็น mesotron เพราะมันมีสมบัติเหมือนอิเล็กตรอน เพียงแต่มีมวลมากกว่าเท่านั้นเอง ในเวลาต่อมาชื่อนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็น meson ซึ่งเป็นอนุภาคที่ Hideki Yukawa (1907–1981) (รางวัลโนเบลฟิสิกส์ปี 1949 จากการเสนอทฤษฎี meson ซึ่งเป็นอนุภาคที่ใช้เป็นสื่อในอันตรกิริยาอย่างเข้ม) จนกระทั่ง Cecil Powell (1903-1969) ได้พบอนุภาค pi-meson (pion) ชื่อของอนุภาคที่ Anderson พบ จึงถูกเปลี่ยนอีกครั้งเป็น μ-meson (มิวเมซอน) แล้วเป็น muon ในที่สุดการค้นพบ pion กับ muon ทำให้ Anderson และ Powell ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ประจำปี 1936 และ 1950 ตามลำดับ
อนุภาค muon นั้น เวลาอยู่นิ่งจะมีชีวิตอยู่ได้นาน 2.2x10^(-6) วินาที แล้วสลายตัวเป็น electron กับ neutrino ดังสมการ
แต่ถ้า muon มีความเร็วสูงมาก มันจะมีชีวิตอยู่ได้นาน ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของ Einstein (คนเดินเร็วจะอายุยืน) ดังนั้นเมื่ออนุภาคโปรตอน ถือกำเนิดและพุ่งชนโมเลกุลในอากาศ จะทำให้เกิด muon ๆ ก็จะสามารถเดินทางลงมาได้ไกลหลายร้อยกิโลเมตร จนถึงระดับน้ำทะเล (ถึงพีระมิด) ให้นักฟิสิกส์ตรวจจับได้
ในอดีตเวลานักโบราณคดีต้องการจะศึกษาโครงสร้างภายในของสถาปัตยวัตถุขนาดใหญ่ที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินหรือในภูเขา เขาจะต้องเปิดหน้าดินออก จะเจาะอุโมงค์ในภูเขา เพื่อรื้อถอนโครงสร้างบางส่วนออกแล้วจะได้เห็น แต่การทำเช่นนั้น จะนำมาซึ่งความเสียหายต่อมรดกทางวัฒนธรรมของโลก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นโครงการ NAUM (Non-invasive Archaeometry Using Muons) จึงถือกำเนิดโดยใช้ความรู้ฟิสิกส์ของอนุภาค muon ที่มีพลังงานสูง เพื่อไขปริศนาทางโบราณคดี และธรณีฟิสิกส์ ในการเอกซเรย์หาโครงสร้างของห้องภายในวิหาร Kukulcan หรือที่เป็นที่รู้จักในนาม El Castillo เพื่อค้นหาห้องลับที่อาจบรรจุพระศพของกษัตริย์ Maya หรือวัตถุสำคัญทางศาสนาและประวัติศาสตร์
อนุภาค muon พลังงานสูงจากนอกโลกสามารถทะลุทะลวงวัตถุที่มีความหนาแน่นมาก เช่น หิน อิฐ ฯลฯ ได้ดีกว่ารังสีเอกซ์หลายหมื่นเท่า ดังนั้นจึงสามารถทำให้นักโบราณคดีได้ภาพความหนาแน่นของโครงสร้างที่มีขนาดมหึมาได้ เหมือนกับการใช้เทคโนโลยีเรดาร์ในการวิจัยทางธรณีฟิสิกส์อื่นๆ
พีระมิด El Castillo นั้นมีความสูง 30 เมตร มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ยาวด้านละ 55 เมตร มีบันไดอยู่ 4 ด้าน ด้านละ 91 ขั้น ซึ่งเมื่อนับรวมกับฐานวิหารด้านบน จำนวนขั้นทั้งหมดจึงมี (91x4)+1=365 ขั้น ตรงกับจำนวนวันทางสุริยคติพอดี
ประวัติศาสตร์มายายังได้แสดงให้เห็นว่า ชาว Maya มีประเพณีปฏิบัติในการก่อสร้างพีระมิดใหม่ โดยมักจะสร้างทับพีระมิดเดิม เพื่อเฉลิมฉลองการทำสงครามที่มีชัยชนะ และในวาระครบรอบการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์พระองค์ใหม่ สิ่งก่อสร้างจึงมีลักษณะเหมือนตุ๊กตารัสเซีย (Russian doll) ที่มีตุ๊กตาขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ซ้อนกันอยู่ภายในหลายชั้น
ในปี 1930 รัฐบาล Mexico ได้เคยขุดค้นหาสมบัติในพีระมิด El Castillo แล้วโดยการขุดเจาะอุโมงค์เข้าไปทางทิศเหนือและตะวันออก และได้พบพีระมิดอีกองค์หนึ่งแฝงอยู่ภายในจึงมีชื่อเรียกว่า Substructure 1 ที่สูงประมาณ 17 เมตร และกว้าง 33 เมตร พีระมิดนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 800-1,000 จึงนับว่ามีอายุเก่าแก่กว่าพีระมิดองค์นอก อีกทั้งยังได้พบห้องลับ 2 ห้อง ที่ภายในมีเทวรูป กับห้องบูชายัญที่มีบัลลังก์เสือจากัวร์ตัวสีแดงเป็นประติมากรรมหินปูนทาสีแดงสด ตามตัวเสือประดับด้วยแผ่นหยก 73 ชิ้น และเขี้ยวเสือทำด้วยเปลือกหอยสีขาว
การค้นพบนี้จึงบ่งชี้ว่า พีระมิดอาจมีโครงสร้างที่เก่าแก่กว่านั้นอีก เป็น Substructure 2 ซ้อนอยู่ภายในแก่นกลางที่อยู่ลึกลงไปอีก และอาจจะมีจารึกประวัติศาสตร์ หรือพระศพของกษัตริย์บรรจุอยู่ภายในก็เป็นได้
นับเป็นเวลานานกว่า 80 ปีแล้ว ที่ได้มีการพบ Substructure 1 นี่จึงเป็นเวลาที่สมควรจะพบ Substructure ใหม่
โดยใช้ muon technology ที่เป็นเทคโนโลยีทันสมัย ที่นักโบราณคดีคาดหวังว่าจะเข้ามาเปิดเผยความลับที่ซ่อนลึกอยู่ในพีระมิดต่าง ๆ ได้ เพราะการสำรวจในปี 2015 โดยเทคโนโลยีสภาพต้านทานทางไฟฟ้า (electrical resistivity) ใน 3 มิติ ได้พบโพรงถ้ำที่มีน้ำขังอยู่ใต้ฐาน ที่ระยะลึก 20 เมตร
การวิจัยในเวลาต่อมา คือ ในปี 2016-2017 ได้พบความผิดปกติของความต้านทานไฟฟ้า ใน Substructure 1 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีโครงสร้างซ่อนอยู่ภายในอีก ซึ่งชิ้นนี้อาจสร้างขึ้นเมื่อปี 550-800 ก่อนที่อารยธรรม Maya จะถูกอารยธรรม Toltec เข้าครอบครอง
ในการใช้เทคโนโลยี muon tomography นั้น อนุภาค muon จะสูญเสียพลังงานให้แก่อะตอมที่อยู่ในวัสดุที่มันเคลื่อนที่ผ่าน และมันสามารถทะลุผ่านหินที่หนาหลายร้อยเมตรได้ ก่อนจะหยุดหรือสลายตัว หินปูนในพีระมิดตามปกติสามารถจะดูดกลืนจำนวนอนุภาค muon ได้มากกว่าและดีกว่าวัสดุที่มีความหนาแน่นต่ำ เช่น ห้องลับหรือโพรง ดังนั้นการใช้เครื่องตรวจวัด (detector) ที่วางอยู่ในโพรงหรือในอุโมงค์ใต้พีระมิด จะทำหน้าที่นับจำนวน muon ที่ผ่านเข้ามาในทิศทางต่าง ๆ ได้ ซึ่งถ้าเครื่องตรวจจับนับได้มาก นั่นแสดงว่า ในทิศทางนั้นมีหินปูนบดบังในปริมาณน้อยกว่าปกติ และนั่นก็หมายความอีกว่า ในทิศทางนั้นอาจจะมีห้องว่างหรือห้องลับ แอบซ่อนอยู่ก็ได้
นี่เป็นการวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์อีกตัวอย่างหนึ่งในปัจจุบัน ที่ได้ถือกำเนิดมาจากการวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐานในอดีต และโลกกำลังคอยผลการวิเคราะห์นี้อย่างใจจดใจจ่อ
อ่านเพิ่มเติมจาก “Research of Egyptian Pyramids with Cosmic ray Imaging | Features”. 29 July 2022.
ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์
ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน,ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์


