เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ปี 2025 ที่ผ่านมานี้ โลกได้สูญเสียนักชีววิทยาโมเลกุลชื่อดังระเบิดคือ James Dewey Watson (1928–2025) ในวัย 97 ปี ด้วยโรคชรา Watson คือ ผู้ที่มีบทบาทในการพบโครงสร้างของโมเลกุลแห่งชีวิต DNA (deoxyribonucleic acid) ในปี 1953 ร่วมกับ Francis Harry Compton Crick (1916-2004) และผลงานนี้ทำให้ Watson กับ Crick ได้รับรางวัลโนเบลสรีรวิทยาและการแพทย์ประจำปี 1962 ร่วมกับ Maurice Hugh Frederick Wilkins (1916–2004)
การค้นพบนี้เกิดขึ้นจากการที่ Watson ได้เห็นภาพถ่ายการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์โดยผลึก DNA ที่ Rosalind Franklin (1920-1958) ได้ถ่ายไว้ เพราะการค้นพบโครงสร้างนี้ ได้ปฏิรูปความเข้าใจของคนเราเกี่ยวกับความสามารถในการถ่ายทอดลักษณะเฉพาะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร องค์ความรู้เรื่อง DNA ได้บุกเบิกการวิจัยทางชีววิทยาโมเลกุลในหลายสาขา ตลอดจนได้พัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ การตัดต่อ gene โดยเทคนิค CRISPR การรักษาโรคทางพันธุกรรม รวมถึงการช่วยทำให้นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักนิติวิทยาศาสตร์ และนักมานุษยวิทยา ฯลฯ สามารถทำงานได้อย่างมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น
ประเด็นหนึ่งที่นักประวัติวิทยาศาสตร์ทุกคนสนใจและใคร่รู้คำตอบ คือ เหตุใดห้องปฏิบัติการฟิสิกส์ที่ชื่อ Cavendish แห่งมหาวิทยาลัย Cambridge ในอังกฤษ จึงเป็นสถานที่นักวิทยาศาสตร์พบองค์ความรู้ทางชีววิทยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20
ประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายน ปี 1953 (เมื่อ 72 ปีก่อน) James Watson กับ Francis Crick ซึ่งในเวลานั้น ทำงานวิจัยอยู่ที่ Cavendish Laboratory ได้ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นหนึ่งมีความยาวเพียง 2 หน้า ลงในวารสาร Nature ฉบับที่ 171 หน้า 737-738 ภายใต้ชื่อเรื่องว่า “Molecular Structure of Nucleic Acids: A Structure for Deoxyribose Nucleic Acid” ซึ่งมีผลสรุปเป็นหลักว่า โมเลกุล DNA มีโครงสร้างเป็นรูปเกลียวคู่
ในวารสาร Nature ฉบับเดียวกันนี้ ยังมีงานวิจัยของ Maurice Wilkins, A. R. Stokes และ W. R. Wilson ลงในหน้า 738-740 ซี่งมีภาพถ่ายที่แสดงการเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์โดยผลึก DNA แล้วตามมาด้วยข้อมูลทางผลึกศาสตร์ของ Rosalind Franklin กับ Raymond Gosling ลงในหน้า 740-741 ภายใต้ชื่อ “Molecular Configuration in Sodium Thymonucleate” ด้วย
งานวิจัยทั้ง 3 ชิ้นนี้ ให้ข้อมูลผลึก DNA อย่างสมบูรณ์เป็นการยืนยันว่า DNA มีโครงสร้างเป็นเกลียวคู่จริง รายละเอียดของโครงสร้างยังแสดงให้เห็นวิธีที่ DNA สร้างสำเนาตัวมันเอง เพื่อส่งต่อข้อมูลทางพันธุกรรมที่เซลล์จำเป็นต้องใช้ในการสังเคราะห์โปรตีนสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และองค์ความรู้นี้ได้มีบทบาทสำคัญมากในการกำหนดหัวข้อวิจัยและทิศทางการวิจัยทางชีววิทยาโมเลกุลตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ในทำนองเดียวกันกับที่ฟิสิกส์อะตอมและฟิสิกส์ควอนตัมได้กำหนดเส้นทางวิวัฒนาการของฟิสิกส์ ตั้งแต่ช่วงเวลาครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20
ที่ห้องปฏิบัติการ Cavendish เดียวกันนี้ ในอีกสามเดือนต่อมา ความก้าวหน้าครั้งสำคัญทางชีววิทยาก็ได้บังเกิดขึ้นอีก เมื่อ Max Ferdinand Perutz (1914-2002) ซึ่งสนใจโครงสร้างทางชีววิทยาของชีวโมเลกุลขนาดใหญ่ใน 3 มิติ พบวิธีคำนวณหาเฟส (phase) ของคลื่น X-ray ที่สะท้อนจากผลึกโปรตีน จึงทำให้เขาและ John Cowdery Kendrew สามารถวิเคราะห์และวินิจฉัยโครงสร้างโมเลกุลที่มีอะตอมเป็นจำนวนมากนับ 1,000 อะตอมได้อย่างละเอียด
จากนั้น Perutz กับ Kendrew (1917–1997) ก็ได้ใช้เทคนิคที่พบใหม่นี้ หาโครงสร้างของโมเลกุล myoglobin และ hemoglobin และความรู้นี้ได้ช่วยให้เราเข้าใจสมบัติทางเคมี และสมบัติทางชีวภาพของโมเลกุลขนาดใหญ่ได้ (hemoglobin เป็นพาหะนำ oxygen ในเซลล์เม็ดเลือดแดงออกจากปอดสู่เนื้อเยื่อต่าง ๆ แล้วนำคาร์บอนไดออกไซด์กลับสู่ปอด ส่วน myoglobin เป็นแหล่งเก็บออกซิเจนในเซลล์กล้ามเนื้อ)
การพบองค์ความรู้พื้นฐานที่สำคัญมากในชีววิทยายุคใหม่นี้ ได้เป็นที่ยอมรับในปี 1962 เดียวกัน เมื่อรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและแพทยศาสตร์ได้ตกเป็นของ Watson กับ Crick และ Wilkins ส่วนรางวัลโนเบลสาขาเคมีได้ตกเป็นของ Perutz กับ Kendrew
ส่วน Franklin นั้นไม่ได้รับ เพราะเธอได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งรังไข่ ตั้งแต่ปี 1958 ถึงกระนั้นในปัจจุบันทุกวันนี้ คนทั้งโลกก็รู้จักเธอดีไม่แพ้ Watson กับ Crick
เมื่อการค้นพบโครงสร้างของ DNA และโครงสร้างโมเลกุลของโปรตีน myoglobin กับ hemoglobin ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นที่ห้องปฏิบัติการ Cavendish ซึ่งเป็นสถานที่ๆ เคยมีนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก เช่น J.J. Thomson (โนเบลฟิสิกส์ปี 1906 จากการพบอิเล็กตรอน) และ Ernest Rutherford (นักฟิสิกส์ที่รับรางวัลโนเบลเคมีปี 1908 จากการศึกษาการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี) ซึ่งผลงานของคนทั้งสองนี้ได้บุกเบิกการวิจัยฟิสิกส์ของอะตอมและฟิสิกส์ของนิวเคลียสตามลำดับ มาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (1937-1945)
คำถามที่น่าสนใจมาก คือ เหตุใดการวิเคราะห์หาโครงสร้างของชีวโมเลกุลที่มีความซับซ้อนและยุ่งยากมาก โดยใช้เทคนิคการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ จึงเกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการฟิสิกส์
คำตอบส่วนหนึ่งสำหรับคำถามนี้ คือ ห้องปฏิบัติการ Cavendish มีชื่อเสียงและความเข้มแข็งทางด้านฟิสิกส์การทดลองมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่สมัยของผู้อำนวยการคนแรก ซึ่งได้แก่ James Clerk Maxwell (1831-1879) นักฟิสิกส์ทฤษฎีเจ้าของทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแสง และตามมาด้วย Lord Raleigh (1842-1919) ผู้พบแก๊ส argon และพบเหตุผลที่ทำให้เราเห็นท้องฟ้ามีสีน้ำเงิน อีกทั้งยังได้พบกฎของ Raleigh-Jean ที่ใช้อธิบายการแผ่รังสีของวัตถุดำ ในกรณีความยาวคลื่นของรังสีมีค่ามาก ผลงานเหล่านี้ทำให้ Raleigh ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ปี 1904 ตลอดมาจนถึง J.J Thomson (1856-1940) ซึ่งเป็นผู้พบอิเล็กตรอนและวัดค่า e/m=1.76x10^11 Coulomb/kilogram ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่างประจุ/มวลของอิเล็กตรอน อีกทั้งยังมีลูกศิษย์หลายคนที่มีชื่อเสียง เช่น Rutherford, Francis Aston ผู้สร้างอุปกรณ์ mass spectrometer สำหรับวัดมวลอะตอม, C.T.R Wilson ผู้สร้างห้องเมฆ (cloud chamber) เพื่อใช้สังเกตดูสมบัติของอนุภาคมูลฐาน และ Niels Bohr (1885-1962) ผู้นำทฤษฎีควอนตัมของ Planck มาอธิบายสมบัติของอะตอมไฮโดรเจนได้เป็นคนแรก โดยคนเหล่านี้ต่างก็ได้รับรางวัลโนเบลทุกคนในเวลาต่อมา บรรยากาศการทำงานในห้องปฏิบัติการ Cavendish ในเวลานั้น จึงมีความเป็นวิชาการมาก เพราะมีแต่อัจฉริยะเดินกันขวักไขว่
ครั้นเมื่อการทดลองทางฟิสิกส์นิวเคลียร์เริ่มต้องการใช้อุปกรณ์ที่มีราคาแพงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทิศทางการวิจัยของนักวิจัยจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนมาสู่การวิจัยที่ต้องการใช้อุปกรณ์ที่มีราคาถูกลง นั่นคือ การทำวิจัยทางด้านผลึกศาสตร์รังสีเอกซ์ (X-ray crystallography) ของ William Bragg กับ Lawrence Bragg สองพ่อลูกผู้ให้กำเนิดวิทยาการสาขานี้ โดย Lawrence ได้พบวิธีคำนวณหาโครงสร้างของผลึกที่มีรูปทรงง่าย ๆ ในปี 1912 เป็นผลึกที่มีอะตอมเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ดูเสมือนเป็นระนาบที่สามารถสะท้อนแสงได้ (Bragg plane) ในแนวและทิศทางต่าง ๆ แล้วสองพ่อลูก Bragg ก็ได้พบว่าโครงสร้างของผลึกเกลือแกง (sodium chloride) เป็นรูปลูกบาศก์ และการค้นพบนี้ได้ทำให้ Lawrence Bragg ในวัย 24 ปี ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ปี 1915 ร่วมกับบิดา และเป็นนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลที่มีอายุน้อยที่สุด
ต่อจากนั้นคนทั้งสองก็ได้พยายามทำให้ห้องปฏิบัติการ Cavendish เป็นศูนย์ความเป็นเลิศในการวิจัยด้าน X-ray โดยตั้งเป้าว่า จะหาโครงสร้างของโมเลกุล DNA, hormones, sterols และโมเลกุลของแร่ต่างๆ
ในปี 1935 Max Perutz นักเคมีชาวออสเตรีย ได้เดินทางมาทำงานที่ห้องปฏิบัติการ Cavendish เพื่อจะหาโครงสร้างของ hemoglobin และได้พบว่าภาพการเลี้ยวเบนของผลึกแสดงตำแหน่งของอะตอมต่างๆ ไม่ชัด เพราะภาพที่ได้บอกเฉพาะความเข้ม (amplitude) ของแสงเท่านั้น แต่มิได้บอกเฟสของคลื่นที่นักวิจัยจำเป็นต้องรู้ในการทำ Fourier transform ของผลึกในสามมิติ เมื่อไม่มีข้อมูลเฟส การรู้ตำแหน่งของอะตอมต่างๆ ในโมเลกุลจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ในกรณีโมเลกุลที่มีจำนวนอะตอมน้อย การใช้ความรู้เคมีสามารถจะช่วยนักวิจัยในการหาโครงสร้างได้บ้าง แต่ถ้าเป็นกรณีที่มีอะตอมจำนวนนับพัน นับหมื่น (โมเลกุล hemoglobin มีอะตอม 9,272 อะตอม) การเดาตำแหน่งของอะตอมแบบลองผิดลองถูก จึงเป็นวิธีที่ใช้ไม่ได้ผลเลย
นักเคมีจึงได้พยายามหาทางออก โดยการนำอะตอมของธาตุหนัก เช่น ทองคำหรือปรอท มาใส่ในโมเลกุล ให้อะตอมตัวนั้นเปลี่ยนแปลงความเข้มของรังสีเอกซ์ที่สะท้อน ข้อมูลต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงสามารถบอกเฟสของคลื่นได้ แต่อะตอมหนักเพียง 1 ตัว ก็ไม่สามารถจะมีอิทธิพลต่ออะตอมเบาจำนวนนับพันอะตอมได้มาก ดังนั้นจึงไม่มีใครนิยมใช้เทคนิคนี้
ในปี 1919 Lawrence Bragg ได้เริ่มสร้างกลุ่มนักวิจัยผลึกศาสตร์รังสีเอกซ์ โดยรวบรวมนักวิจัยมาทำงานร่วมกันได้มากถึง 25 คน เพื่อตอบสนองความต้องการของวงการวิชาการและอุตสาหกรรม ในเวลาเดียวกัน Linus Pauling (1901-1994) เจ้าของรางวัลโนเบลเคมีปี 1954 จากการศึกษาธรรมชาติของพันธะเคมี และรางวัลโนเบลสันติภาพปี 1962 ได้สนใจการหาโครงสร้างของชีวโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่เช่นกัน
การแข่งขันทางวิชาการระหว่างกลุ่มวิจัยของ Pauling กับกลุ่มของ Bragg จึงเกิดขึ้น ประจวบกับในเวลานั้น Rutherford ได้ประสบอุบัติเหตุตกบันไดในบ้านสวน การผ่าตัดได้นำมาซึ่งโรคแทรกซ้อน จนทำให้ Rutherford ต้องเสียชีวิต ในวัย 66 ปี ทิศทางการวิจัยของห้องปฏิบัติการ Cavendish จึงเริ่มเปลี่ยน และนี่ก็คือคำตอบอีกส่วนหนึ่งว่า เหตุใดห้องปฏิบัติการ Cavendish จึงหันมาวิจัยชีววิทยา ทั้ง ๆ ที่ในเวลานั้น James Chadwick (1891-1974) ได้พบนิวตรอนเมื่อปี 1932 และ John Cockroft (1897-1967) กับ Ernest Walton (1903-1995) ได้ใช้เครื่องเร่งอนุภาค van der Graaf เปลี่ยนแปลงนิวเคลียสของธาตุได้เป็นครั้งแรก จากปฏิกิริยา ยิง proton ให้พุ่งชนนิวเคลียสของ lithium ได้อนุภาค alpha สองตัว ดังปฏิกิริยา
และการทดลองนี้ ได้เป็นหลักฐานที่แสดงให้โลกเห็นเป็นครั้งแรกว่า สมการ E=mc^2 ของ Einstein ถูกต้อง และเป็นจริงทุประการ
ผลงานนี้ทำให้ Cockroft กับ Walton ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ปี 1952
เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้ทิศทางการวิจัยฟิสิกส์นิวเคลียร์ที่ห้องปฏิบัติการ Cavendish ต้องมีการเปลี่ยนแปลง คือ Rutherford มีความคิดว่า มนุษย์ไม่สามารถจะนำพลังงานนิวเคลียร์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียสมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ดังนั้นการวิจัยเรื่องนิวเคลียร์ฟิสิกส์จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องดำเนินอีกต่อไป ซึ่งความคิดนี้ก็ตรงกับความต้องการของผู้บริหารมหาวิทยาลัย Cambridge ที่มีความเห็นว่า การทดลองฟิสิกส์จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่มีราคาแพงมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางมหาวิทยาลัยจึงได้แต่งตั้งให้ Lawrence Bragg ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของห้องปฏิบัติการ Cavendish แทน Rutherford และ Bragg ก็ได้สนับสนุนการวิจัยด้านผลึกศาสตร์ ภายใต้การนำของ Max Perutz และได้จัดหาทุนวิจัยของมูลนิธิ Rockefeller มาสนับสนุน Perutz ให้สามารถทำงานวิจัยได้
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1937 งานวิจัยทุกรูปแบบ ณ ที่ Cavendish ได้หยุดชะงัก ครั้นเมื่อสงครามโลกยุติในปี 1945 Perutz ก็ได้ตั้งเป้าหมายว่า ทีมวิจัยของตนจะหาโครงสร้างของ hemoglobin และเมื่อตนได้พบกับ John Kendrew ที่สนใจการวิจัยเรื่องเดียวกัน คนทั้งสองก็ได้ขยับขยายโครงการวิจัยจะหาโครงสร้างของโมเลกุล myoglobin และชีวโมเลกุลอื่นๆ ด้วย
ในปี 1949 Francis Crick ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ได้มาทำงานที่ห้องปฏิบัติการ Cavendish ในฐานะนักวิจัยที่จบปริญญาเอกแล้ว หลังจากที่ได้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่ University College ใน London เมื่อปี 1937 แต่เมื่อ Crick ได้สนทนาวิชาการกับ Bragg เขาก็รู้ว่า ตัวเขาเองมีความรู้เรื่องผลึกศาสตร์ดีกว่า Bragg ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดวิชานี้มาก เหตุการณ์นี้ได้ทำให้ Bragg รู้สึกไม่ยินดีนัก แต่ John Kendrew ก็ได้เข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง
ในปี 1950 Linus Pauling ซึ่งเป็นคนที่ Bragg ไม่ชอบขี้หน้า (bete noire) ได้ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสาร “Proceedings of the National Academy of Sciences” ฉบับที่ 37 หน้า 205 ปี 1951 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับโครงสร้างของโมเลกุลที่ Pauling เรียก alpha helix เหตุการณ์นี้ทำให้ Bragg รู้สึกเสียหน้า ที่ Pauling ได้พบโครงสร้างของโมเลกุลนี้ก่อนตน Bragg จึงประกาศให้นักทดลองที่ห้องปฏิบัติการ Cavendish หาโครงสร้างของ DNA อย่างทุ่มเท จนทำให้พบโครงสร้างโมเลกุลของ DNA ในอีก 2 ปีต่อมา
ในช่วงเวลานั้น James Watson เด็กหนุ่มชาวอเมริกัน วัย 22 ปี ซึ่งเคยทำงานวิจัยภายใต้การแนะนำของ Salvador Luria (1912–1991) ที่มหาวิทยาลัย Indiana ในสหรัฐอเมริกา (Luria คือ ผู้พบการกลายพันธุ์แบบสุ่ม ที่ทำให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและแพทยศาสตร์ในปี 1969) ได้เดินทางมาทำงานวิจัยที่ห้องปฏิบัติการ Cavendish และในปี 1951 ขณะ Watson เดินทางไปประชุมที่เมือง Naples ในอิตาลี Watson ได้เข้าฟังการบรรยายของ Maurice Wilkins เรื่องการศึกษาหาโครงสร้างของผลึก DNA และได้รู้สึกสนใจจะหาโครงสร้างของ DNA มาก การได้ทำงานกับ Luria และการรู้จัก Kendrew จึงทำให้ Watson ได้มีโอกาสทำงานวิจัยที่ห้องปฏิบัติการ Cavendish ร่วมกับ Crick และคนทั้งสองก็ทำงานเข้ากันได้อย่างดีมาก เพราะ Watson มีความรู้พื้นฐานทางด้านพันธุศาสตร์ ด้าน bacteriophage เป็นอย่างดีและ Crick ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ก็ตระหนักในความสำคัญของ DNA
ในปี 1953 Peter Pauling ซึ่งเป็นบุตรชายของ Linus Pauling ได้เดินทางมาทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกภายใต้คำแนะนำของ John Kendrew และได้นำจดหมายของพ่อ ที่มีความเห็นว่า โครงสร้างของ DNA น่าจะเป็นรูปเกลียวสาม (triple-helix) Watson จึงเดินทางไปที่มหาวิทยาลัย London เพื่อพบกับ Franklin และ Wilkins เพื่อให้อ่านจดหมายของ Pauling ที่เขียนถึงลูก และ Wilkins ก็ได้นำฟิล์มถ่ายภาพโมเลกุล DNA โดยเทคนิคการเลี้ยวเบนมาให้ Watson ดู
สิ่งที่เห็น ทำให้ Watson คิดว่ามันคงเป็นโมเลกุลเกลียวคู่ (double-helix) ไม่ใช่เกลียวสาม ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1953 Lawrence Bragg จึงกำหนดการวิจัยมุ่งเป้าให้ Watson กับ Crick หาโครงสร้างของ DNA ในทันที โดยให้ทุ่มเทความพยายามอย่างสุด ๆ ก่อนที่ Pauling จะพบโครงสร้างที่แท้จริงของ DNA
ภายในเวลาเพียง 5 สัปดาห์หลังจากนั้น Watson กับ Crick ก็ได้พบโครงสร้างของ DNA จริงๆ
การค้นพบเรื่องสำคัญชิ้นที่สองที่ได้เกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการ Cavendish ก็คือ การพบโครงสร้างของ hemoglobin โดย Perutz ซึ่งได้ศึกษาความเข้มแสงของภาพที่เกิดจากการเลี้ยวเบนและพบว่า มีความเข้มค่อนข้างน้อย เพราะอะตอมส่วนใหญ่มีมวลน้อย ดังนั้น Perutz จึงนำอะตอมของปรอทเข้ามาแทนที่ในโมเลกุลดังกล่าว และพบว่าความเข้มแสงในภาพได้เปลี่ยนแปลงไปมากอย่างไม่น่าเชื่อ งานวิเคราะห์ภาพโดย Kendrew ในเวลาต่อมาอีกหลายปี ทำให้ได้พบโครงสร้าง 3 มิติ ของ hemoglobin จึงได้ตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานนี้ในปี 1960
จากนั้นวิทยาการด้านชีววิทยาเชิงโครงสร้าง (structural biology) ก็ถือกำเนิดที่ห้องปฏิบัติการ Cavendish ภายใต้การนำของผู้อำนวยการ Lawrence Bragg ซึ่งเคยมีผลงานที่ทำให้ Watson กับ Crick ได้พบโครงสร้างของ DNA ทั้ง ๆ ที่คนทั้งสองมาจากสถาบันที่แตกต่าง และได้มาทำงานร่วมกันโดยบังเอิญ
ปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้รู้โครงสร้างของ enzyme เป็นจำนวนกว่า 244,290 ตัวแล้ว
จากวันที่พบโครงสร้างของ DNA จนกระทั่งถึงวันนี้ เป็นเวลานาน 72 ปี ผลกระทบที่เกิดจากความรู้นี้ ได้ปฏิรูปวิชาการของวงการแพทย์และวงการชีววิทยาอย่างมากมหาศาล และเป็นที่น่าสังเกตว่า ความรู้นี้ได้เกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการฟิสิกส์ Cavendish ซึ่งได้เป็นสถานทำงานที่สำคัญของนักวิจัยระดับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา 30 คน คือ
1. John William Strutt, 3rd Baron Rayleigh (Physics, 1904)
2. Sir J. J. Thomson (Physics, 1906)
3. Ernest Rutherford (Chemistry, 1908)
4. Sir William Lawrence Bragg (Physics, 1915)
5. Charles Glover Barkla (Physics, 1917)
6. Francis William Aston (Chemistry, 1922)
7. Charles Thomson Rees Wilson (Physics, 1927)
8. Arthur Compton (Physics, 1927)
9. Sir Owen Willans Richardson (Physics, 1928)
10. Sir James Chadwick (Physics, 1935)
11. Sir George Paget Thomson (Physics, 1937)
12. Sir Edward Victor Appleton (Physics, 1947)
13. Patrick Blackett, Baron Blackett (Physics, 1948)
14. Sir John Cockcroft (Physics, 1951)
15. Ernest Walton (Physics, 1951)
16. Francis Crick (Physiology or Medicine, 1962)
17. James Watson (Physiology or Medicine, 1962)
18. Max Perutz (Chemistry, 1962)
19. Sir John Kendrew (Chemistry, 1962)
20. Dorothy Hodgkin (Chemistry, 1964)
21. Brian Josephson (Physics, 1973)
22. Sir Martin Ryle (Physics, 1974)
23. Antony Hewish (Physics, 1974)
24. Sir Nevill Francis Mott (Physics, 1977)
25. Philip Warren Anderson (Physics, 1977)
26. Pyotr Kapitsa (Physics, 1978)
27. Allan McLeod Cormack (Physiology or Medicine, 1979)
28. Mohammad Abdus Salam (Physics, 1979)
29. Sir Aaron Klug (Chemistry, 1982)
-30. Didier Queloz (Physics, 2019)
จึงนับว่า Cavendish เป็นห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดห้องหนึ่งของโลก
อ่านเพิ่มเติมจาก
1. J.D. Watson 1968 The Double Helix (Atheneum, New York
2. Nobel Prize Winners who have worked for considerable periods of time at the Cavendish Laboratory. Archived from the original on 12 January 2006.
ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์
ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน,ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์


