คนทั่วไปมักจะคิดว่า อาณาบริเวณของระบบสุริยะสิ้นสุดลงที่ตำแหน่งวงโคจรของดาวเคราะห์แคระ Pluto เพราะแม้นักดาราศาสตร์จะได้พยายามค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่เก้า (Planet Nine) ของระบบสุริยะที่อยู่นอกวงโคจรของดาว Pluto มากสักเพียงใด ความพยายามดังกล่าวก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเลย
กระนั้นนักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ก็ยังปักใจเชื่อว่า ระบบสุริยะยังมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อีกอย่างน้อยหนึ่งดวง ที่โคจรอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ยิ่งกว่า Pluto
ในอดีตเมื่อปี 1943 Kenneth Essex Edgeworth (1880–1972) นักดาราศาสตร์ชาวไอริช ได้เคยเสนอความคิดว่า ณ บริเวณนอกวงโคจรของ Neptune น่าจะมีวัตถุอวกาศที่เป็นก้อนน้ำแข็ง ก้อนหิน-ดิน และอุกกาบาตจำนวนมาก ที่ยังหลงเหลืออยู่หลังจากที่ระบบสุริยะได้ถือกำเนิดเมื่อ 4,600 ล้านปีก่อน โดยเศษสะเก็ดดาวเหล่านี้ไม่สามารถดึงดูดก้อนดาวขนาดเล็กอื่น ๆ ให้เข้ามารวมตัวกับมันเป็นดาวเคราะห์ได้ เพราะมันมีมวลน้อยเกินไป และเหตุผลที่มากไปกว่านั้นก็คือ ดาวเคราะห์ Neptune และ Uranus ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้ส่งแรงโน้มถ่วงที่มากมหาศาลเข้ามาขัดขวาง มิให้ดาวเคราะห์ดวงใหม่ถือกำเนิดได้
ความคิดของ Edgeworth ในเรื่องนี้ ไม่มีใครสนใจมาก เพราะตั้งแต่ที่มีการพบ Pluto เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ปี 1930 แล้ว ก็ยังไม่มีใครได้รายงานการเห็นดาวเคราะห์ขนาดกลางหรือเล็ก ดวงใหม่อีกเลย
จนกระทั่งปี 1951 Gerard P. Kuiper (1905-1973) นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้นำเสนอแนวคิดเดียวกับ Edgeworth พร้อมทฤษฎีประกอบการคาดการณ์ โลกจึงได้รู้จักแถบไคเปอร์ (Kuiper Belt) ว่าเป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ตั้งแต่ 30-50 AU (1 AU คือ ระยะทางโดยเฉลี่ยที่โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ ซึ่งมีค่าประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร) ตามคำจำกัดความนี้ ดาวเคราะห์แคระ Pluto จึงอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 40 AU
ผลงานที่สำคัญของ Kuiper นอกเหนือจากการได้เสนอทฤษฎีการมีแถบ Kuiper แล้ว ก็คือ การพบดวงจันทร์ชื่อ Miranda ของดาว Uranus และดวงจันทร์ Nereid ของดาว Neptune ตลอดจนการได้พบว่า ในบรรยากาศของดาวอังคารมีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ด้วย
คำพยากรณ์ของ Kuiper ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ปี 1992 เมื่อ David C. Jewitt (1958-ปัจจุบัน) แห่งมหาวิทยาลัย Hawaii กับ Jane X. Luu (1963-ปัจจุบัน) แห่งมหาวิทยาลัย Harvard ในสหรัฐอเมริกา ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีเลนส์ ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 2.2 เมตร พร้อมอุปกรณ์ถ่ายภาพ CCD (Charge Coupled Device) ซึ่งกล้องนี้ตั้งอยู่ที่ยอดเขา Mauna Kea ซึ่งสูง 4,200 เมตร บนเกาะ Hawaii Jewitt กับ Luu ได้เห็นจุดสว่างขนาดเล็ก ที่มีความสว่างน้อยกว่าดาวฤกษ์ทั่วไป ประมาณ 6 ล้านเท่า เคลื่อนที่อย่างช้า ๆ เพราะมันมีความเร็วน้อยมากจากการที่โคจรอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มาก คือ อยู่ที่ระยะห่าง 41.2 AU โดยใช้เวลานานประมาณ 294 ปี จึงจะโคจรไปได้ครบหนึ่งรอบ ดาวดวงนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวประมาณ 250 กิโลเมตร และเมื่อความเข้มของแสงอาทิตย์ที่ดาวดวงนี้ได้รับจากดวงอาทิตย์แปรผกผันกับระยะทางยกกำลังสอง และแสงที่สะท้อนจากผิวดาวถึงโลกก็มีความเข้มที่แปรผกผันกับระยะทางยกกำลังสองเช่นกัน ความเข้มแสงที่นักดาราศาสตร์เห็นจึงมีน้อยมาก เพราะแปรผกผันกับระยะทางยกกำลังสี่
ผลงานนี้ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ใน วารสาร Astrophysical Journal Vol.109 ปี 1992 และดาวได้รับการตั้งชื่อในเบื้องต้นว่า 1992QB1 (แต่ปัจจุบันชื่อนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็น 15760 Albion แล้วตัวเลข 15760 แสดงลำดับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการของดาว) โดยมีวงโคจรเป็นวงรี ที่มีครึ่งแกนเอก (semi-major axis) ยาวประมาณ 44 AU และมีระนาบการโคจรที่เอียงทำมุม 2 องศากับระนาบวงโคจรของดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ที่ผ่านในแนวเส้นศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์
การค้นพบนี้ได้นำไปสู่การพบดาวขนาดเล็กอีกเป็นจำนวนมาก ที่ล้วนมีวงโคจรอยู่นอกวงโคจรของดาวเคราะห์ Neptune นักดาราศาสตร์จึงเรียกกลุ่มดาวเหล่านี้ว่า Trans-Neptunian Object (TNO) ซึ่งได้แก่
50000 Quaoar (ควาโอวาร์) ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 1,000 กิโลเมตร
120347 Salacia (ซาลาเซีย) มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 850 กิโลเมตร และมีดวงจันทร์ขนาดเล็กหนึ่งดวงเป็นบริวาร
20000 Varuna (วรุณะ) มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 900 กิโลเมตร
และ 90482 Orcus (ออร์คัส) กับ 136472 Makemake (มาคีมาคี) ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 480 กิโลเมตร และ 715 กิโลเมตร ตามลำดับ เป็นต้น
ในปี 2005 Michael E. Brown (1965-ปัจจุบัน) แห่งสถาบัน California Institute of Technology ได้พบดาว TNO ดวงหนึ่งชื่อ Eris ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า Pluto เล็กน้อย แต่มีมวลมากกว่า (โดย Eris มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 2,326 กิโลเมตร และ Pluto มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 2,376 กิโลเมตร)
ข้อมูลนี้ทำให้วงการดาราศาสตร์มีปัญหาในการจัดประเภทของดาวเคราะห์ เพราะ Eris มีศักดิ์ศรีในด้านมวลและขนาดที่เทียบเท่ากับดาว Pluto ดังนั้นมันจึงควรจะเป็นดาวเคราะห์ด้วย และนั่นก็หมายความว่าโลกดาราศาสตร์อาจจะมีดาวเคราะห์ที่มีขนาดและมวลประมาณ Eris อีกเป็นจำนวนนับร้อยดวง และระบบสุริยะก็จะมีดาวเคราะห์อีกนับร้อยดวง ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเกินไป
ดังนั้นในปี 2006 สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (International Astronomical Union; IAU) จึงได้จัดประชุมที่กรุง Prague ใน Czechoslovakia เพื่อให้คำจำกัดความประเภทของดาวเคราะห์ชนิดใหม่ว่า ดาวเคราะห์แคระซึ่งจะต้องมีสมบัติต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
(1) ต้องโคจรรอบดวงอาทิตย์
(2) ต้องมีลักษณะกลม คือ มีมวลที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมากพอจะทำให้มันมีรูปทรงที่สมดุลเป็นทรงกลม
(3) ต้องมีวงโคจรเป็นอิสระ ที่แยกจากวงโคจรของดาวดวงอื่น ๆ แต่อาจจะมีบริเวณโคจรใกล้เคียงกับดาวเคราะห์แคระดวงอื่น ๆ ที่มีขนาดไล่เรี่ยกัน
(4) ไม่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์ดวงใด
ตามเกณฑ์ดังกล่าวนี้ Eris กับ Pluto จึงเป็นดาวเคราะห์แคระ
ด้วยเหตุนี้ ที่ประชุมจึงลงมติลดสถานภาพของดาวเคราะห์ Pluto ให้เป็นดาวเคราะห์แคระ (dwarf planet) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และนี่ก็คือเหตุการณ์ที่ทำให้วงการดาราศาสตร์เกิดความแตกแยก เพราะมีนักดาราศาสตร์หลายคนที่ยังยึดถือชื่อเดิม และทำใจไม่ได้ที่จะเปลี่ยนชนิดของ Pluto ซึ่งก็เป็นไปตรงตามชื่อของเทพธิดา Eris ซึ่งเป็นเจ้าแม่แห่งการแตกความสามัคคี เพราะในเทพนิยายกรีกโบราณได้กล่าวถึง Eris ว่า เมื่อเธอไปที่ไหน วงก็แตกที่นั่น
ดังที่มีเรื่องเล่าว่า เมื่อมีราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างกษัตริย์ Peleus กับ Thetis ซึ่งเป็นพระราชบิดาและพระราชมารดาของวีรบุรุษ Achilles และเทพธิดา Eris ทรงไม่ได้รับคำเชิญให้มาร่วมในงาน นางจึงวางแผนให้เกิดความวุ่นวายในงาน โดยการประกาศว่าจะทรงมอบแอปเปิลทองคำให้แก่เทพธิดาผู้ทรงความงามเลอโฉมที่สุด อันได้แก่ Hera, Athena กับ Aphrodite และเทพธิดาทั้งสามต่างก็สัญญาจะมอบสินบนให้แก่เจ้าชาย Paris ซึ่งเป็นผู้ตัดสิน สำหรับเทพธิดา Aphrodite นั้น ทรงสัญญาจะมอบเจ้าหญิง Helen แห่งกรุง Troy ให้เป็นพระชายา แต่เจ้าหญิง Helen ทรงเป็นพระมเหสีในกษัตริย์ Menelaus อยู่แล้ว การลักพาตัวของเธอ ทำให้สงครามเกิดขึ้น เป็นสงครามแห่งกรุงทรอย (Trojan War) ทันที ความพิโรธของเทพธิดา Eris จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมหาสงคราม
ในปี 2015 ยานอวกาศของ NASA ชื่อ New Horizons ได้โคจรผ่าน Pluto ที่ระยะใกล้ 12,500 กิโลเมตร และได้เห็นผิวดาวมีโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่สลับซับซ้อน อีกทั้งผิวดาวที่มีสารเคมี tholin ซึ่งทำให้ผิวมีสีแดง และมีแผ่นทวีปเป็นรูปหัวใจ ดังนั้นถึง Pluto จะเป็นดาวเคราะห์แคระ แต่ก็เป็นดาวที่มีความสำคัญ คือ ไม่แคระเหมือนชื่อ
ด้าน ดาว 136199 Eris ซึ่งเป็นดาวเคราะห์แคระที่สำคัญอีกดวงหนึ่งนั้น อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 10,000 ล้านกิโลเมตร (68 AU) มีคาบโคจรเท่ากับ 558 ปี มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 2,328 กิโลเมตร และมีระนาบการโคจรที่เอียงทำมุม 44 องศากับระนาบวงโคจรของดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ทั้งหมด อีกทั้งมีดวงจันทร์บริวารดวงหนึ่งชื่อ Dysnomia (ซึ่งในตำนานเป็นเจ้าหญิงแห่งการไม่เคารพขนบธรรมเนียม ประเพณี กฎเกณฑ์ เพราะเป็นพระราชบุตรีในเทพธิดา Eris) และ Eris มีอุณหภูมิที่ผิวสูงประมาณ 30 องศาสัมบูรณ์ ผิวดาวปกคลุมด้วย methane แข็ง และ nitrogen แข็ง มีวงโคจรเป็นวงรีมาก โดยมีระยะใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ที่ระยะทาง 38 AU และอยู่ไกลที่สุดที่ระยะทาง 97 AU
นอกจากแถบ Kuiper จะเป็นถิ่นที่อยู่ของบรรดาดาว TNO แล้ว มันก็ยังเป็นถิ่นอาศัยของดาวหางที่มีคาบโคจรสั้น (คือ มีคาบสั้นกว่า 200 ปี) อีกเป็นจำนวนมากด้วย ดาวหางที่มีต้นกำเนิดในแถบ Kuiper ซึ่งโลกรู้จักดี ได้แก่
ดาวหางดวงแรก คือ Halley ที่จะเข้ามาปรากฏให้ชาวโลกได้เห็นในทุก 75 - 76 ปี และเป็นดาวหางดวงเดียวเท่านั้นที่คนๆ หนึ่งจะมีโอกาสได้เห็นซ้ำ (เพราะดาวหางส่วนใหญ่จะเห็นได้เพียงครั้งเดียว) มีขนาด 15x8x8 กิโลเมตร มีผิวสะท้อนแสงได้ 0.04% และ Halley ได้มาปราฏตัวเข้ามาให้ชาวโลกได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี 1986 และจะมาปรากฏตัวให้เห็นอีกในเดือนกรกฎาคม ปี 2061
ชื่อ Halley ของดาวหาง ตั้งตามชื่อของ Edmond Halley (1656-1742) ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่ตระหนักว่า ดาวหางที่เคยปรากฏตัวเมื่อปี 1531, 1607 และ 1682 เป็นดาวหางดวงเดียวกัน Halley จึงได้พยากรณ์ว่า ดาวหางดวงนี้จะมาปรากฏตัวอีกในปี 1758 ซึ่งเมื่อดาวหางปรากฏตัวจริง ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของ Newton ก็ได้รับการยืนยันว่าถูกต้องเป็นครั้งแรก
ดาวหางดวงที่สองในแถบ Kuiper ชื่อ Borrelly ก็เป็นดาวหางอีกดวงหนึ่ง ที่มีคาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์นาน 6.86 ปี ซึ่งถูกพบโดย Alphonse Borrelly (1842–1926) เมื่อปี 1904 และมีขนาด 8x4x4 กิโลเมตร มีระนาบวงโคจรที่เอียงทำมุม 30 องศากับระนาบวงโคจรของดาวเคราะห์อื่นๆ ทั้งหมด ดาวหางดวงนี้มีกำหนดจะมาปรากฏตัวให้โลกเห็นอีกในปี 2028
การเดินทางของดาวหางที่อยู่ในแถบ Kuiper เข้าสู่ดวงอาทิตย์ เพื่อให้ชาวโลกได้เห็นเกิดขึ้น เมื่อดาวหางถูกอิทธิพลแรงโน้มถ่วงของดาว Neptune และ Uranus ดึงดูดให้ดาวพุ่งเข้าหามัน เป็นวิถีโค้ง ทำให้มันมีคาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ที่น้อยกว่า 200 ปี
ส่วนดาวหางที่มีคาบโคจรนานกว่า 200 ปีนั้น มักมาจากแหล่งกำเนิดที่อยู่ในเมฆ Oort ซึ่งบริเวณนี้อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ตั้งแต่ 2,000 ถึง 10,000 AU ในบริเวณเมฆ Oort มีวัตถุอวกาศประมาณ 10^12 ดวง และเป็นที่พักอาศัยของดาวหางที่มีคาบโคจรยาว เช่น Hale-Bopp ซึ่งได้มาปรากฏเมื่อปี 1995 และถูกพบเป็นครั้งแรกโดย Alan Hale (1958-ปัจจุบัน) กับ Thomas Bopp (1949–2018) โดยมีคาบโคจรนาน 2,533 ปี อีกทั้งเป็นดาวที่นักดาราศาสตร์ได้พบอินทรีย์โมเลกุล เช่น glycine และแก๊สที่แตกตัวเป็น ion ปรากฏเป็นหางดาวสองหางสีขาว-เหลือง และสีน้ำเงิน และในอนาคต Hale-Bopp จะมาปรากฏตัวให้เห็นอีกในปี 4,380
ดาวหางที่มีคาบโคจรนานกว่า 200 ปีนี้ มีต้นกำเนิดในเมฆ Oort ซึ่งเป็นกลุ่มวัตถุอวกาศที่พบโดย Jan Hendrik Oort (1900-1992) ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์ชาวดัทช์ อาณาบริเวณของเมฆ Oort เป็นทรงกลม นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ดาวหางในบริเวณนี้ เวลาพุ่งเข้าหาดวงอาทิตย์จะปรากฏว่ามาจากทุกทิศทุกทาง คือ ไม่ใช่มาจากระนาบวงโคจรของดาวเคราะห์ดังเช่น ดาวหางที่มีคาบการโคจรสั้น
การศึกษาวัตถุท้องฟ้าทั้งในเมฆ Oort และในแถบ Kuiper จึงช่วยให้เรารู้สถานภาพของระบบสุริยะทั้งในอดีต ปัจจุบัน และล่วงรู้อนาคต ว่าเหตุใดดาวเคราะห์บางดวงจึงมีระนาบวงโคจรที่เอียงทำมุมต่าง ๆ กับระนาบวงโคจรของดาวเคราะห์ทั้งหลาย และในอดีตที่นานมากแล้ว ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ต่าง ๆ เช่น ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ยูเรนัส เนปจูน ซึ่งให้กำเนิดดาวหางนั้น โคจรอยู่ ณ ที่ใด ตลอดจนถึงได้ช่วยให้เรารู้สภาพทางกายภาพของระบบสุริยะที่จะเป็นในอนาคตด้วย
แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ จะช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ 9, 10, 11, … ได้ โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ทั้งที่ติดตั้งอยู่บนโลกและที่ลอยอยู่ในอวกาศดู เช่น
(1) กล้อง Pan-STARRS (Panoramic Survey Telescope and Rapid Response System) ซึ่งอยู่ที่หอดูดาว Haleakala บนเกาะ Maui ในฮาวาย โดยกล้องโทรทรรศน์นี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางของเลนส์ยาว 1.8 เมตร และกล้องนักดาราศาสตร์ใช้นี้พบวัตถุ Kuiper จำนวนมาก อีกทั้งยังได้พบวัตถุอวกาศที่มาจากนอกระบบสุริยะเป็นครั้งแรก ซึ่งมีชื่อว่า โอมูอามูอา (Oumuamua) เมื่อปี 2017 ด้วย
(2) Large Synoptic Survey Telescope (LSST) ซึ่งปัจจุบันมีชื่อว่า กล้อง Vera C. Rubin ที่อยู่บนยอดเขา Cerro Pachón ในประเทศ Chile ยอดเขานี้สูง 2,700 เมตร เพื่อสำรวจอวกาศ โดยการทำแผนที่ท้องฟ้าและศึกษาวัตถุใกล้โลก (Near-Earth Objects; NEO) ด้วยเลนส์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 8.4 เมตร และมีกล้อง digital ที่ทำหน้าที่ถ่ายภาพ กล้องโทรทรรศน์ digital นี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สามารถถ่ายภาพโดยใช้ฟิล์มขนาดใหญ่ที่ถูกสแกนด้วยความละเอียดสูงถึง 3.2 gigapixel (1 gigapixel เท่ากับ 10^9 pixel) กล้องโทรทรรศน์ Vera C. Rubin หนัก 3 ตัน โดยในคืน ๆ หนึ่งจะถ่ายข้อมูลได้ 20 terabytes (1 terabytes เท่ากับ 10^12 ไบต์) ตลอดเวลา 10 ปี กล้องนี้จะให้ข้อมูลทั้งหมด 60 petabytes (1 petabytes เท่ากับ 10^15 ไบต์) นอกจากจะทำหน้าที่ค้นหา Planet Nine แล้ว กล้อง Vera C. Rubin ยังช่วยกันหาสสารมืด (dark matter) ด้วย
สำหรับการค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ของระบบสุริยะนั้น ก็มีสาเหตุสืบเนื่องมาจากการพบดาวเคราะห์ Neptune เมื่อปี 1846 โดยนักคณิตศาสตร์สองคน ชื่อ Urbain Le Verrier (1811-1877) ชาวฝรั่งเศสกับ John Couch Adams (1819-1892) ชาวอังกฤษ ซึ่งได้คำนวณพบว่า วงโคจรของดาว Uranus ว่า มิได้เป็นไปตามทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของ Newton 100% นักคณิตศาสตร์ทั้งสองจึงตั้งสมมติฐานว่า คงมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ยังไม่มีใครเคยพบเห็น และดาวดวงนี้ได้ส่งแรงโน้มถ่วงเข้ามารบกวนวิถีโคจรของดาว Uranus และคนทั้งสองได้ทำนายตำแหน่งของดาวเคราะห์ลึกลับดวงนี้ด้วย
ดังนั้นเมื่อ Johann Gottfried Galle (1812–1910) ได้เห็นดาว Neptune ปรากฏอยู่ ณ ตำแหน่งที่นักดาราศาสตร์ทั้งสองได้ทำนายไว้ Neptune จึงเป็นดาวเคราะห์ดวงแรกที่ถูกพบโดยการคำนวณ มิใช่ด้วยการใช้กล้องโทรทรรศน์
หลังจากนั้น Percival Lowell (1855–1916) นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน เมื่อได้วิเคราะห์วงโคจรของดาว Neptune ที่พบใหม่ และพบว่าไม่เป็นไปตามกฎของ Newton จึงได้เสนอความคิดว่า อาจมีดาวเคราะห์อีกหนึ่งดวงที่โคจรอยู่นอกวงโคจรของ Neptune และ Percival ได้เรียกดาวเคราะห์ดวงนั้นว่า Planet X (X ในที่นี้แทนค่าที่ไม่ทราบในวิชาพีชคณิต) มิได้แทนเลขโรมัน 10
หลังจากที่ Lowell เสียชีวิต การค้นหา Planet X ก็ยังดำเนินต่อไป
จนกระทั่งถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ปี 1930 เมื่อ Clyde Tombaugh (1906-1997) นักดาราศาสตร์หนุ่มชาวอเมริกัน ได้พบ Pluto ที่มีมวลน้อย คือ ไม่มากเท่ากับดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ปรากฏในกลุ่มดาว ทำให้ทุกคนรู้ว่า มันไม่ใช่ Planet X ของ Percival ที่โลกต้องการ และการรู้มวลที่แท้จริงของดาว Uranus ในเวลาต่อมาได้ทำให้ลักษณะการโคจรที่ดูผิดปกติของ Neptune นั้นหมดสิ้นไป
การค้นหา Planet X ซึ่งในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนไปเป็น Planet Nine อันเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 9 จึงดำเนินต่อไป
ในปี 2014 นักดาราศาสตร์ Scott S. Sheppard (1977-ปัจจุบัน) กับ Chad Trujillo (1973-ปัจจุบัน) ได้สังเกตเห็นวัตถุอวกาศ TNO หลายดวง มีระนาบวงโคจรสะเปะสะปะในหลายทิศทาง ที่ไม่เป็นตามที่คาดคิด เพราะมีลักษณะเป็นวงรีมาก จึงเสนอความเห็นว่า คงมีดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่ยังไม่มีใครพบเห็น และเป็นดาวเคราะห์ที่ทำให้เกิดความไม่เป็นระเบียบในการโคจรของดาว TNO กลุ่มนี้ โดยแรงโน้มถ่วงของมัน
อีกสองปีต่อมา คือ ในปี 2016 Mike Brown (1965-ปัจจุบัน) กับ Konstantin Batygin (1986-ปัจจุบัน) แห่ง Caltech ได้ศึกษาวงโคจรของวัตถุ TNO จำนวน 6 ดวง ที่มีแกนเอกของวงโคจรชี้ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นน้อยมาก (คือ ประมาณ 0.007% เท่านั้นเอง) คนทั้งสองจึงตั้งสมมติฐานว่า การที่เป็นเช่นนี้ เพราะมีดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ซึ่งมีมวลตั้งแต่ 5 ถึง 10 เท่าของโลก การสร้างแบบจำลองโดย computer ที่ให้ข้อมูลว่า ถ้าตำแหน่งโคจรของดาวดวงนี้ระยะใกล้สุดอยู่ที่ระยะห่างตั้งแต่ 1,000 ถึง 1,200 AU จากดวงอาทิตย์ ตำแหน่งและมวลของดาวดวงนี้ก็จะสามารถอธิบายลักษณะการเกาะกลุ่มที่มีวิถีโคจรคล้ายคลึงกันเป็นกระจุกของดาว TNO ทั้ง 6 ได้
กล้องโทรทรรศน์ Subaru บนเกาะ Hawaii ก็ได้พยายามค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ 9 นี้ แต่ก็ยังไม่พบ
ล่าสุดในปี 2024-2025 นี้ กล้อง Vera C. Rubin (LSST) ก็กำลังไล่ล่าหา Planet 9 อยู่ โดยได้ตั้งสมมติฐานว่ามันมีคาบการโคจร 10,000-20,000 ปี และโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด 400-800 AU และไกลสุดที่ระยะทาง 1,000-1,200 AU อีกทั้งเป็นดาวเคราะห์ที่มีมวล 5-10 เท่าของโลก จึงเป็น super-Earth หรือ mini-Neptune และที่ระยะห่างนี้ ดาวเคราะห์ดวงที่ 9 จะมีอุณหภูมิประมาณ -220 °C (53 องศาสัมบูรณ์) มีระนาบวงโคจรที่เอียงทำมุม 15-30 องศากับแนวเส้นศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์ และมีความเบี้ยว (eccentricity) ตั้งแต่ 0.2-0.5 และดาวจะเปล่งแสงอินฟราเรด (infrared)
นอกจากกล้อง Vera C. Rubin แล้ว นักดาราศาสตร์ก็ยังใช้กล้อง Wide-field Infrared Survey Explorer (WISE), ดาวเทียม AKARI ของญี่ปุ่น, กล้อง Pan-STARRS และกล้อง Subaru ที่ Hawaii พยายามค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ด้วย
การเห็นดาวดวงนี้จะทำได้ยากมาก เพราะมันมีความสว่างน้อยกว่าดาว Pluto ประมาณ 1,000 เท่า และน่าจะอยู่ในกลุ่มดาววัว (Taurus), ดาววาฬ (Cetus) หรือดาวนายพราน (Orion)
อ่านเพิ่มเติมจาก Kornei, K. (2025), A survey of the Kuiper Belt hints at an unseen planet, Eos, 106, https://doi.org/10.1029/2025EO250344. Published on 16 September 2025.
ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์
ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน,ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์


