xs
xsm
sm
md
lg

(มีคลิป) พบมัมมี่จีนอายุ 9,000 ปี ที่โบราณกว่ามัมมี่อินคา (7,000 ปี) และมัมมี่อียิปต์(4,500 ปี)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นักภาษาศาสตร์โบราณตั้งข้อสันนิษฐานว่า คำ mummy ที่เราใช้ในปัจจุบันมีรากศัพท์มาจากคำ mumia ในภาษาเปอร์เซีย ที่ผู้คนใช้เรียกของเหลวสีดำที่ไหลออกมาจากภูเขาลูกหนึ่งในอิหร่าน ให้ชาวบ้านได้ใช้เป็นยารักษาโรค แต่ก็มีบางคนที่คิดว่า คำๆ นี้อาจจะมาจากคำ mumiya ในภาษาอาหรับที่ใช้เรียกน้ำมันดินและยางมะตอย และมีอีกหลายคนที่เชื่อว่า คำนี้มาจากคำ mum ในภาษาอียิปต์โบราณ (Coptic) ที่ใช้เรียกโคลนดำ ซึ่งพบในทะเลสาบ Dead Sea 




ในอดีตเมื่อ 7,000 ปีก่อน คนอียิปต์โบราณมีวัฒนธรรมความเชื่อว่าดวงวิญญาณของคนตาย สามารถมาเกิดใหม่ได้ ถ้าศพของคน ๆ นั้นยังอยู่ในสภาพดี คือ ไม่เน่าเปื่อย ดังนั้นจึงได้คิดหากรรมวิธีและเทคโนโลยีนานารูปแบบขึ้นมาใช้ในการเก็บศพให้คงสภาพ ในเบื้องต้นได้นำศพไปทิ้งตามทะเลทราย เพื่อให้แสงแดดและความร้อนในทะเลทรายแผดเผาศพจนแห้ง แต่ก็ได้พบว่า แร้งและสุนัขมักจะมากัดกินซากศพจนเละหมด ดังนั้นจึงคิดหาวิธีเก็บโดยนำใส่ในโลงที่มาฝาปิด แล้วปรุงแต่งศพด้วยสมุนไพรและน้ำมันพืช


Herodotus (484–425 ปีก่อนคริสตกาล) นักประวัติศาสตร์กรีก ในสมัยพุทธกาล ได้เคยเขียนบันทึกเกี่ยวกับประเพณีต่าง ๆ ของชาวอียิปต์ เมื่อครั้งที่ได้ไปเยือนอียิปต์ว่า ได้เห็นวิธีการทำมัมมี่ โดยช่างทำจะผ่าศพ แล้วควักอวัยวะภายใน เช่น ปอด ลำไส้ ตับ ไต กระเพาะอาหาร ฯลฯ ออกจากศพ เพื่อนำไปบรรจุในไห จากนั้นนำศพไปแช่ในสารละลาย natron ซึ่งประกอบด้วยเกลือนานาชนิด เช่น เกลือ Na2CO3 10H2O (โซดาซักผ้า) NaCl, Na2SO4, NaHCO3 เพื่อชำระล้างไขมัน และทำความสะอาดศพ และให้เกลือรีดน้ำออกจากศพเป็นเวลานานประมาณ 6 สัปดาห์ จากนั้นก็นำศพไปลูบไล้ด้วยสมุนไพร เหล้าองุ่น น้ำหอม และยางไม้ชนิดต่าง ๆ ที่ผู้คนเชื่อว่า สามารถเก็บรักษาศพให้คงสภาพอยู่ได้ เช่น ใช้อบเชย มดยอบ ตลอดจนน้ำมันสน cedar จาก Lebanon น้ำมันสน pine จากเมือง Aleppo ใน Syria น้ำมันสน spruce จาก Türkiye และไขขี้ผึ้ง (beewax) เพื่อกันความชื้นจากสภาพแวดล้อม ไม่ให้เข้ามาซึมซับซากศพ


ข้อมูลที่ Herodotus ได้บันทึกไว้นี้ คงไม่เป็นจริงได้ 100% เพราะ Herodotus เป็นคนแปลกหน้าในสังคมอียิปต์ การจะมาเห็นและล่วงรู้พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของการทำมัมมี่ จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ กระนั้นเราในปัจจุบันก็สามารถจะล่วงรู้องค์ประกอบของสารต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำมัมมี่ได้แล้ว โดยใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ เช่น mass spectrometer และ gas chromatography วิเคราะห์ชนิดของสารเคมีที่ช่างทำมัมมี่ใช้ หรือรู้ข้อมูลจากการอ่านจารึกบนกระดาษ papyrus เช่น จารึก Ebers ที่ Georg Ebers (1837–1898) ซึ่งเป็นนักโบราณคดีชาวเยอรมันที่ได้พบจารึกนี้ที่เมือง Thebes ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ว่า ได้ถูกเขียนขึ้นโดยแพทย์ชาวอียิปต์เมื่อ 1552 ปีก่อนคริสตกาล โดยกระดาษ papyrus นั้น มีตำหรับยาที่แพทย์ใช้ในการรักษาโรคมากมาย จารึกนี้จึงเป็นตำราที่แพทย์ชาวอียิปต์ กรีก และโรมันได้ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงตลอดมา ตำรายังมีการกล่าวถึงเศษขนมปังที่เต็มไปด้วยราสีเขียว (ซึ่งสร้างตัวยา penicillin ที่สามารถฆ่าแบคทีเรียได้) ว่าได้ถูกนำมาใช้ในการทำมัมมี่ด้วย

ครั้นเมื่อซากศพแห้งดีแล้ว ช่างมัมมี่ก็จะนำซากไปพันด้วยผ้าลินินหลายชั้น แล้วนำไปใส่ในโลง เพื่อนำไปฝังในสุสาน หรือในพีรามิดต่อไป

ตามปกติวัสดุที่ใช้ในการทำมัมมี่นั้น มักมีสูตรไม่ตายตัว เพราะชนิดของสารที่ใช้ขึ้นกับฐานะของครอบครัวผู้ตาย เช่น ถ้าคนตายมีฐานะดี หรือมีตำแหน่งสูงในสังคมในโลง ก็จะมีเครื่องใช้และทรัพย์สมบัติส่วนตัวที่ล้ำค่าของผู้ตายฝังรวมอยู่ด้วย เพื่อให้ผู้ตายได้นำวัสดุเหล่านี้ไปใช้ในภายภาคหน้า ในกรณีศพของเจ้าหญิงแห่งปราสาท Nes-Khon ซึ่งเป็นพระราชธิดาในเจ้าเมือง Thebes ที่ได้สิ้นพระชนม์เมื่อ 3,000 ปีก่อน ขณะทรงมีพระชนมายุเพียง 40 พรรษา มัมมี่ที่พบก็ยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก แต่ศพของ Horemkensi ซึ่งเป็นนักบวชวัย 60 ปี ที่มีหน้าที่รับผิดชอบการสร้างสุสานที่ Thebes ศพได้ถูกขโมยอารยธรรมขุดขึ้นมา เพื่อค้นหาสมบัติ และมัมมี่อยู่ในสภาพเละเทะ

สำหรับการค้นหาชื่อและประวัติของศพนั้น นักประวัติศาสตร์ปัจจุบันก็สามารถจะรู้ได้จากการอ่านจารึกที่เขียนอยู่บนฝาโลง ซึ่งมักเป็นอักษรภาพ hieroglyph การถอดความจากอักษรภาพทุกรูปเป็นอักษรโรมัน จะสามารถบอกชื่อและประวัติของผู้ตายได้ ดังในกรณีนักบวช Nesperennub ก็พบว่าเคยเป็นนักบวชประจำวิหารที่เมือง Karnak และมีบรรพบุรุษที่เคยทำงานถวายองค์สุริยเทพ Ra กับเทพธิดา Khons แห่งดวงจันทร์ เป็นต้น

เมื่อครั้งที่กองทัพนักรบในสงคราม Crusade เดินทางกลับจากดินแดนตะวันออกกลางถึงยุโรปในคริสตวรรษที่ 12 คนเหล่านี้ได้นำเรื่องอารยธรรมต่างแดนมาเล่าให้คนยุโรปฟัง ทำให้ความสนใจในเรื่องมัมมี่เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะนักประวัติศาสตร์และชาวบ้านก็ต้องการจะรู้ประวัติของคนที่เสียชีวิตว่า ตายเพราะเหตุใด ด้วยโรคระบาด หรือถูกฆาตกรรม และต้องการจะรู้ว่ามัมมี่ที่อยู่ในสุสานเดียวกัน มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร และเมื่อก่อนจะเสียชีวิต แพทย์ได้จัดการรักษาผู้ตายโดยใช้ยาอะไร และคนตายได้เสียชีวิตตั้งแต่เมื่อใด ด้านแพทย์เองก็ต้องการจะรู้ว่า เมื่อ 7,000 ปีก่อน DNA ของเชื้อโรคต่าง ๆ ณ เวลานั้น มีความแตกต่างหรือเหมือนกับเชื้อโรคสายพันธุ์เดียวกันในเวลาต่อมาหรือไม่


คำถามเหล่านี้ ล้วนเป็นปริศนาที่สามารถจะหาคำตอบได้จากการวิเคราะห์และวินิจฉัยด้วยวิทยาศาสตร์ โดยใช้เทคโนโลยี CT scan (Computerized Tomography scan) ที่นักโบราณคดีปัจจุบันนิยมใช้ในการถ่ายภาพภาคตัดขวางของมัมมี่ โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัวมัมมี่ จึงเป็นวิธีสืบจากศพ โดยไม่มีการทำลายศพเลยแม้แต่น้อย จากนั้นภาพถ่าย X-ray จำนวนนับพัน ก็จะถูกนำมาเรียงกันเป็นรูปสามมิติ เพื่อให้นักวิจัยได้เห็นภาพอวัยวะภายใน โดยไม่จำเป็นต้องเปิดศพออกดู เพราะถ้าเปิดศพมัมมี่นั้นก็อาจจะถูกทำลายไป เพราะมันมักมีสภาพที่เปราะมาก

การศึกษามัมมี่ จึงทำให้เรารู้ประวัติศาสตร์ โบราณคดี วิทยาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ รวมทั้งรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เกิดขึ้นในอดีต โดยที่ผู้คน ณ เวลานั้น อาจจะไม่รู้ความเป็นไปอะไรๆ เลย นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก สำหรับคนที่สนใจและใฝ่รู้ เพื่อจะได้เข้าใจอารยธรรมโบราณ


นอกจากมัมมี่คนแล้ว คนอียิปต์โบราณก็ยังนิยมทำมัมมี่แมว มัมมี่จระเข้ และมัมมี่สิงโตด้วย เพราะแมวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งที่คนอียิปต์ในอดีตนับถือมาก โดยมีกฎหมายกำหนดว่า ใครที่ฆ่าแมวจะถูกลงโทษหนักให้ตายตาม และเวลาเจ้าของแมวเสียชีวิต บรรดาญาติก็อาจจะนำแมวตัวโปรดของคนตายมาทำเป็นมัมมี่ เพื่อนำไปฝังรวมกับเจ้าของด้วย สำหรับเทพธิดาแมวของชาวอียิปต์มีชื่อว่า Bast หรือ Bastet ซึ่งจะประทับอยู่ในวิหารเมือง Saqqara ที่มีมัมมี่แมวจำนวนนับพันซาก เช่น ในปี 2019 ที่สุสาน Bubasteum ในเมือง Saqqara ซึ่งอยู่ห่างจากกรุง Cairo ไปทางใต้ เป็นสุสานของมัมมี่สิงโตและมัมมี่แมวโดยเฉพาะ


ในส่วนของมัมมี่สิงโตก็ได้มีการพบ 2 ซาก โดยที่สิงโตแต่ละซากมีลำตัวยาวประมาณ 1 เมตร การวัดอายุของซากทำให้เรารู้ว่า ในอดีตเมื่อ 664-325 ปีก่อนคริสตกาล อียิปต์เคยมีสิงโตเพราะสิงโตเป็นสัตว์ที่แข็งแรงและซื่อสัตย์ ดังนั้นชาวอียิปต์จึงมีเทพสิงโตที่มีนามว่า Maakes และ Sekhmet เป็นเทพคุ้มครอง และเป็นที่นับถือของฟาโรห์ มัมมี่สิงโตจึงเป็นหลักฐานที่ใช้แสดงว่า คนอียิปต์ในสมัยนั้นนิยมเลี้ยงสิงโตเพื่อแพร่พันธุ์ และนำไปถวายแด่เทพเจ้า Sekhmet ให้เฝ้าวิหาร


สำหรับจระเข้ ก็มีการนิยมนำมาทำเป็นมัมมี่เช่นกัน เพราะแม่น้ำไนล์มีจระเข้เกลื่อนกลาด ชาวอียิปต์จึงมีเทพเจ้าจระเข้ Sobek แห่งความอุดมสมบูรณ์ โดยชาวอียิปต์มักนิยมเลี้ยงจระเข้ในสระ เพื่อบูชาและแพร่พันธุ์

ไม่เพียงแต่ชาวอียิปต์โบราณเท่านั้นที่รู้วิธีทำมัมมี่ ชาวอเมริกันอินเดียนในอเมริกาใต้ก็รู้วิธีทำมัมมี่เช่นกัน เพราะเชื่อในชีวิตหลังความตายเหมือนกัน การมีเทือกเขา Andes ที่สูงเทียมเมฆและมีบริเวณกว้างใหญ่ นับเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งได้ทำให้ชาวอเมริกันอินเดียนในสมัยโบราณเชื่อว่า ยอดเขาสูงเป็นสถานที่สิงสถิตแห่งดวงวิญญาณของผู้ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว

การค้นคว้าทางมนุษยวิทยาในเวลาต่อมา ได้แสดงให้เห็นว่าผู้คนในทวีปอเมริกาใต้ นิยมประกอบพิธีกรรมส่งดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่โลกใหม่ โดยในพิธีจะมีเครื่องเซ่นไหว้เทพยดาและดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ สำหรับเครื่องนุ่งห่มที่ซากศพสวมนั้น ก็นับเป็นปัจจัยจำเป็นสำหรับการเดินทางของดวงวิญญาณ ไปดำรงชีวิตหลังความตาย โดยสิ่งเหล่านี้จะถูกจัดเตรียมให้อยู่ในโลงศพด้วย ด้านลวดลายที่ปรากฏอยู่บนเครื่องนุ่งห่มของศพ ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนความนึกคิดและความเชื่อที่ผู้คนได้คิดขึ้นเพื่อพิธีการนี้โดยเฉพาะ

มัมมี่ที่ขุดพบ จึงไม่เพียงแต่แสดงศิลปะการตบแต่งเท่านั้น แต่ยังแสดงแง่มุมความรู้ทางชีววิทยา ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองที่สร้างมัมมี่ ณ สถานที่นั้น และในเวลาต่างๆ กัน


มัมมี่ที่พบใน Chile ส่วนใหญ่เป็นมัมมี่ที่ถูกสงวนเก็บไว้โดยธรรมชาติ เช่น ถูกพบอยู่ในเขตทะเลทราย Atacama ที่ร้อนและแห้งแล้ง หรือบนเทือกเขา Andes ที่หนาวจัด ชนชาว Chinchorro ซึ่งเป็นต้นตระกูลของอารยธรรมอินคาที่เคยอาศัยอยู่ทางตอนเหนือสุดของ Chile ก็รู้วิธีทำมัมมี่ ซึ่งมีผลทำให้มัมมี่ Chinchorro มีอายุประมาณ 7,000 ปี


ตามปกติชาว Chinchorro มีอาชีพเป็นชาวประมงที่จับปลาในมหาสมุทรแปซิฟิก และได้พบวิธีทำมัมมี่ โดยการนำเอาอวัยวะภายในออกจากร่างกายคนตาย แล้วแล่เนื้อออกจนเหลือแต่กระดูก แล้วนำโครงกระดูกมายึดเข้ากับโครงไม้ จากนั้นก็นำใยพืชที่เป็นเส้นมาถักทอ เพื่อพันเข้ากับแกนกระดูก ครั้นเมื่อประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เป็นรูปร่างแล้ว ก็จะมีการนำแผ่นผิวหนังของศพ และเส้นผมที่ถูกทอถักเป็นเปียอย่างประณีตมาประกอบกลับเข้าไป จากนั้นใบหน้าที่มีแก้มซูบตอบ ก็จะถูกพอกด้วยดินเหนียว แล้วช่างมัมมี่จะใช้เปลือกหอย หรือแผ่นวัสดุกลม ๆ เพื่อทาสีแล้วนำไปประกอบบนใบหน้าแทนดวงตา


ชาว Chinchorro นิยมการทำมัมมี่ผู้ใหญ่ มัมมี่เด็กทารก และมัมมี่ทารกในครรภ์ โดยคนที่ทำจะมีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมด้วย เพื่อส่งดวงวิญญาณผู้ตายไปสวรรค์ และมีหลักฐานที่แสดงว่า ในพิธีศพได้มีการใช้ตุ๊กตาด้วย

นักโบราณคดียังได้พบอีกว่า ซากมัมมี่ที่ชาวบ้านสงวนรักษาไว้นั้น ได้รับการดูแลและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรออยู่เสมอ พิธีกรรมของชาว Chinchorro ได้แพร่หลายอย่างต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 2,000 ปี ไปตามบริเวณชายฝั่งที่แห้งแล้งทางภาคเหนือของ Chile ไปจนถึงเมือง Pizaqua ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของ Peru

ในปี 1917 Max Uhle (1856-1944) นักโบราณคดีชาวเยอรมัน ได้ขุดพบมัมมี่ที่สร้างขึ้นโดยอารยธรรม Chinchorro จำนวน 282 ซาก โดยได้พบที่เมือง Ilo ใน Peru ตามเส้นทางตลอดไปจนถึงเมือง Antofagasta ใน Chile 149 ซาก เป็นมัมมี่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือชาว Chinchorro ส่วนอีก 133 ซาก เป็นฝีมือที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ


ความรู้เกี่ยวกับมัมมี่ Chinchorro เพิ่งเริ่มเป็นที่รู้กันเมื่อประมาณ 30 ปีมานี้เอง เพราะนักโบราณคดีในสมัยก่อนสนใจเพียงสิ่งของที่ถูกฝังพร้อมซากศพ และไม่สนใจใยดีมัมมี่มาก อีกทั้งมักคิดว่าอารยธรรมโบราณในทวีปอเมริกาใต้เป็นอารยธรรมอินคา แต่ในเวลาต่อมา เมื่อนักมานุษยวิทยาได้พบอารยธรรม Chinchorro ที่มีความเก่าแก่ยิ่งกว่าอารยธรรมอินคาเสียอีก และผู้คนในอารยธรรมนี้ได้สร้างมัมมี่ก่อนอารยธรรมอียิปต์ถึง 2500 ปี โดยมัมมี่ที่สร้างก็ยังคงสภาพอยู่จนทุกวันนี้

มาบัดนี้ ข่าวใหญ่ล่าสุดได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ใน วารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ฉบับวันที่ 15 กันยายน ปี 2025 นี้ ได้มีรายงานว่าทีมวิจัยภายใต้การนำของ Peter Bellwood แห่งมหาวิทยาลัย Australian National University ที่ Canberra ใน Australia ได้พบมัมมี่ของมนุษย์ในสมัยก่อนยุคหินใหม่ ที่มีอายุตั้งแต่ 4,000-14,000 ปี


การขุดพบมัมมี่โบราณในสุสาน 54 แห่งของจีนตอนใต้ และในดินแดนเอเชียอาคเนย์ เช่น ฟิลิปปินส์ ลาว ไทย มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในแคว้น Guangxi Zhuang ซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองของจีน ได้พบมัมมี่อยู่ในสภาพนั่งยอง ๆ งอเข่า ย่อตัว และตามตัวมีร่องรอยของการถูกไฟรม ซึ่งเป็นกรรมวิธีที่ใช้ เพื่อให้ศพอยู่ในสภาพแห้ง ก่อนนำศพไปฝัง มัมมี่ที่พบนี้มีอายุ 9,000 ปี จึงนับว่ามีอายุมากกว่ามัมมี่ที่พบในชิลีและอียิปต์เสียอีก

โครงการขุดหามัมมี่ในจีน ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2017 โดยมีนักวิจัยเริ่มงานเพียง 2 คน แต่เมื่อถึงวันนี้จำนวนนักวิจัยได้เพิ่มเป็น 24 คนแล้ว และทีมวิจัยของจีนมี Hsiao-Chun Hung เป็นหัวหน้า ได้ขุดหามัมมี่ในบริเวณต่าง ๆ ทั่วจีน ซึ่งเจ้าของมัมมี่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ณ เวลาต่างๆ กัน โครงการนี้มีจุดประสงค์เพื่อจะรู้วัฒนธรรมและความเชื่อ ตลอดจนความผูกพันของคนจีนในสมัยโบราณที่มีต่อบรรพบุรุษของตน หลังจากที่บรรพบุรุษได้เสียชีวิตไปแล้ว


ข้อมูลมัมมี่จีน จะช่วยให้นักประวัติศาสตร์เข้าใจประเพณีและความคิดของคนจีนโบราณ รู้วิธีเก็บซากศพ รู้ประเพณีการเคารพนับถือบรรพบุรุษ และเข้าใจความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดใหม่ของคนจีน การศึกษามัมมี่ที่พบในดินแดนต่าง ๆ จะให้ข้อมูลสังคมและ DNA เชิงเปรียบเทียบ ทั้งในจีนตอนใต้ และในเอเชียอาคเนย์ เช่น ที่มณฑล Guangxi ในเมือง Liyupo กับเมือง Huiyaotian มีการพบมัมมี่ที่นั่น มีร่องรอยการถูกรมควัน โดยใช้ไฟอ่อน แทนที่จะรมโดยใช้ไฟแรง เพราะได้เห็นลักษณะการเปลี่ยนแปลงของกระดูก และการตรวจสภาพของกระดูกโดยเทคนิคการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ กับเทคโนโลยี Infrared Spectroscopy ได้แสดงให้เห็นว่า โครงสร้างของกระดูกที่รมควันได้เริ่มเปลี่ยนแปลงทีละน้อยอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาอันยาวนาน

โลกยังไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีการรมควันแบบอบแห้งนี้ เป็นประเพณีที่นิยมทำกันทุกหนแห่งของจีน หรือในเฉพาะบางพื้นที่


ความแตกต่างระหว่างมัมมี่จีนกับมัมมี่อียิปต์มีหลายประเด็น เช่น บุคคลที่นิยมนำมาทำเป็นมัมมี่ในจีน มักเป็นบรรพบุรุษ ซึ่งแสดงให้เห็นความผูกพันระหว่างคนในตระกูลเดียวกันหรือคนที่รู้จักกัน และในโลงศพมักจะมีอุปกรณ์เครื่องใช้ที่ทายาทนิยมใส่ไป เพื่อให้บรรพบุรุษได้นำไปใช้ในภายภาคหน้า และสามารถอยู่อย่างเป็นสุข แต่ในอียิปต์ เราจะพบมัมมี่ของบุคคลที่มีฐานะทางสังคมสูง เช่น ฟาโรห์หรือนักบวช และศพมักจะถูกนำไปฝังในพีระมิดหรือในวิหาร ตลอดจนมีการนิยมทำมัมมี่สัตว์ด้วย

ล่าสุดใน วารสาร “Proceedings of the National Academy of Sciences” (PNAS) 2025, DOI:10.1073/pnas. 2J15103122 นักวิจัย Hsiao-Chun Hung ได้รายงาน การพบกระดูกแขนของมัมมี่ที่มีอายุ 14,000 ปี ในเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งเกิดจากกระบวนการรมไฟอ่อนและควัน เพื่อให้ศพแห้งก่อนเน่า กระดูกแขนมีรอยไหม้ แสดงให้เห็นกระบวนการรมไฟ มิใช่การเผาศพ และเทคโนโลยี FTIR (Fourier Transform Infrared Spectroscopy) ก็ยืนยันกระบวนการนี้ว่าใช้ไฟอ่อนที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 400 องศาเซลเซียส

นี่จึงเป็นวิธีทำมัมมี่ที่โบราณที่สุดในโลก


อ่านเพิ่มเติม

1. Price, Campbell (23 May 2012). "Curator's Diary 23/5/12: 'Secret Egypt' and Ta-sheri-ankh". Egypt at the Manchester Museum. Retrieved 11 March 2025.

2. Handwerk, Brian (29 July 2013). "Inca Child Sacrifice Victims Were Drugged". National Geographic. Archived from the original on 3 December 2019. Retrieved 7 March 2024.

3. Mallory, J. P.; Mair, Victor H. (2000). The Tarim Mummies: Ancient China and the Mystery of the Earliest Peoples from the West. London: Thames & Hudson.


ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์
ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน,ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์




กำลังโหลดความคิดเห็น