ในฤดูใบไม้ร่วงของปี 1925 ที่ Werner Heisenberg (1901-1976) ได้เสนอทฤษฎีกลศาสตร์เมทริกซ์ (matrix mechanics) เพื่อใช้อธิบายเหตุผลที่อะตอมไฮโดรเจนมีเสถียรภาพ โดยได้ชี้นำให้นักฟิสิกส์ใช้เมทริกซ์ในการศึกษาธรรมชาติของอะตอม ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์และวิธีคำนวณที่แตกต่างไปจากทฤษฎีฟิสิกส์ยุคเก่าอย่างสิ้นเชิง
อีกครึ่งปีต่อมา (ปี 1926) Erwin Schrödinger (1887-1961) นักฟิสิกส์ชาวออสเตรีย ก็ได้นำเสนอทฤษฎีกลศาสตร์คลื่น (wave mechanics) เพื่อใช้ศึกษาอะตอมไฮโดรเจนบ้าง โดยมีรูปแบบการคำนวณที่ใช้สมการอนุพันธ์ย่อย (partial differential equation) ซึ่งถ้าดูผิวเผิน ทฤษฎีทั้งสองนี้มีรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ในเวลาต่อมา Schrödinger ก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า โครงสร้างทั้งสองรูปแบบนี้มีสภาพสมมูลย์ (equivalence) กัน และให้คำตอบค่าเดียวกัน
ในมุมมองของคนทั่วไป กลศาสตร์คลื่นของ Schrödinger เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายกว่า เพราะคนทั่วไปรู้จักคลื่นน้ำ คลื่นเสียง คลื่นแสง คลื่นวิทยุ คลื่นแผ่นดินไหว คลื่นสึนามิ ฯลฯ และเคยชินกับการใช้สมการคลื่น ยิ่งกว่าการใช้ matrix ในการคำนวณค่าต่างๆ
แต่ในกรณีของอิเล็กตรอนที่อยู่ในอะตอมนั้น โลกก็ได้รู้จักคลื่นสสาร (matter wave) เพิ่มเติม ซึ่งเป็นคลื่นชนิดใหม่ที่ Prince Louis-Victor Pierre Raymond de Broglie (1892-1987) ได้นำเสนอเป็นคนแรก จากนั้น Schrödinger ก็ได้นำความรู้เรื่องคลื่นสสารนี้ไปพัฒนาต่อ จนได้ทฤษฎีกลศาสตร์คลื่น ซึ่งเป็นอีกแขนงหนึ่งของวิชากลศาสตร์ควอนตัม (quantum mechanics)
de Broglie เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ปี 1892 ที่เมือง Dieppe ในมณฑล Seine-Marne ของฝรั่งเศส บรรพบุรุษของตระกูลเป็นขุนนางที่เคยถวายงานรับใช้ราชวงศ์ฝรั่งเศสมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้า Louis ที่ 14 เมื่อเกิดการปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่ในปี 1789 แม้สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลได้ถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตีน แต่ชาวฝรั่งเศสทั่วไปก็ยังยอมรับว่า de Broglie เป็นตระกูลหนึ่งที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์ของชาติ
ในวัยเด็ก de Broglie ได้เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียน Lycée Janson ในเมือง Sailly ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กที่ครอบครัวมีฐานะดี จึงมีความสนใจในวิทยาการหลากหลายสาขา การมีชาติตระกูลสูงทำให้ de Broglie ได้ไปศึกษาต่อทางด้านประวัติศาสตร์ในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย Sorbonne เพราะสนใจจะรู้และเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตของฝรั่งเศสมาก
จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง พี่ชาย Maurice de Broglie (1875–1960) ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ที่เชี่ยวชาญเรื่องรังสีเอกซ์ และเป็นเลขานุการของที่ประชุม Solvay Conference ซึ่งได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมือง Solvay ในเบลเยียม เมื่อปี 1911 ได้นำรายงานการประชุมมาให้น้องชาย Louis de Broglie อ่าน
ทันทีที่ได้อ่านผลงานของ Albert Einstein (โนเบลฟิสิกส์ปี 1921) Max Planck (โนเบลฟิสิกส์ปี 1918) และ Marie Curie (โนเบลฟิสิกส์ปี 1903) จิตใจของ Louis de Broglie ก็เริ่มเปลี่ยน จากที่เคยชอบประวัติศาสตร์มาเป็นฟิสิกส์ จึงตัดสินใจเรียนฟิสิกส์เป็นวิชาเอกแทน
ปี 1914 เป็นเวลาใกล้จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 de Broglie ได้เข้ารับราชการเป็นทหาร ในตำแหน่งวิศวกรที่มีหน้าที่รับ-ส่งคลื่นวิทยุที่หอ Eiffel ในกรุง Paris จนกระทั่งสงครามโลกยุติในปี 1918 de Broglie จึงได้กลับเข้าเรียนฟิสิกส์ระดับปริญญาเอกต่อที่ Sorbonne และทำวิทยานิพนธ์เรื่อง “Recherches sur la théorie des Quanta” (Research on the Theory of Quanta) ในวิทยานิพนธ์เล่มนั้น de Broglie ได้นำเสนอองค์ความรู้เรื่อง คลื่นสสาร เป็นครั้งแรก และผลงานนี้ในเวลาต่อมาได้ทำให้ de Broglie ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ประจำปี 1929
ความแปลกใหม่และยิ่งใหญ่ของความคิด แต่มีสูตรที่ง่ายไม่ซับซ้อนมาก ทำให้ Paul Langevin (1872–1946) ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของ de Broglie ส่งผลงานนี้ไปให้ Albert Einstein อ่าน เพื่อขอความคิดเห็น
ทันทีที่ Einstein อ่านจบ เขาก็ตระหนักในความยิ่งใหญ่และสำคัญของความคิด จึงเขียนรายงานให้คนในวงการฟิสิกส์ได้รับรู้เรื่องนี้ และได้ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าคลื่นสสารของ de Broglie มีจริง นักทดลองก็จะต้องหาหลักฐานมายืนยัน หรืออาจจะเป็นการทดลองที่แสดงให้เห็นว่า คลื่นสสารสามารถแสดงปรากฏการณ์เลี้ยวเบน และแทรกสอดได้เหมือนคลื่นอื่นๆ
ต่อมาในปี 1927 Clinton Davisson (1881-1958) กับ Lester Germer (1896-1971) นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันได้ทดลองพบว่า อะตอมในผลึกนิกเกิลสามารถทำหน้าที่เป็น grating ให้อิเล็กตรอนที่พุ่งมาตกกระทบแสดงพฤติกรรมเลี้ยวเบนได้ และในเวลาไล่เลี่ยกัน George P. Thomson (1892-1975) ซึ่งเป็นลูกชายของ J.J. Thomson (1856–1940) ซึ่งเป็นผู้พบอิเล็กตรอนในปี 1897 ก็ได้ทดลองยิงอิเล็กตรอนผ่านแผ่นอะลูมิเนียมบางๆ และพบว่า ลำอิเล็กตรอนก็แสดงปรากฏการณ์เลี้ยวเบนได้เช่นกัน
การทดลองที่แสดงให้เห็นว่า อิเล็กตรอนซึ่งเป็นอนุภาคสามารถแสดงสมบัติคลื่นได้ ทำให้ Davisson กับ Thomson ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ประจำปี 1937 ร่วมกัน
เมื่อ Davisson กับ Germer และ Thomson สามารถพิสูจน์ได้ว่า คลื่นสสารมีจริง ในปี 1929 Einstein จึงได้เสนอชื่อให้ de Broglie ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ คำรับรองของ Einstein ทำให้ de Broglie ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ประจำปี 1929
จากนั้น Erwin Schrödinger ก็ได้อาศัยความคิดของ de Broglie นำไปสร้างวิชากลศาสตร์คลื่นต่อไป ในขณะที่ J.J. Thomson ได้พบว่า อิเล็กตรอนแสดงพฤติกรรมเป็นอนุภาค G.P. Thomson ผู้เป็นลูกกลับพบว่า อิเล็กตรอนแสดงพฤติกรรมเป็นคลื่น และสองพ่อลูกก็ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ แต่ในคนละปีกัน
ในด้านชีวิตส่วนตัว de Broglie เป็นคนมีนิสัยสุภาพและจริงใจ ชอบใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและสงบเหมือนนักบวช แม้จะมีชาติตระกูลสูง เพราะได้รับฐานันดรศักดิ์เป็น Duc de Broglie เมื่อพี่ชาย Maurice เสียชีวิต แต่ Louis de Broglie ก็ยังทำงานวิจัยวิทยาศาสตร์ที่ตนชอบ และเขียนบทความวิทยาศาสตร์ให้คนทั่วไปอ่าน จนได้รับรางวัล Kalinga Prize ขององค์การ UNESCO เมื่อปี 1952
นอกเหนือจากรางวัลโนเบลฟิสิกส์แล้ว de Broglie ก็ยังได้รับเหรียญ Henri Poincaré ในปี 1932 ด้วย ได้รับเลือกเป็นสมาชิกผู้ทรงเกียรติของสถาบัน Académie Française ซึ่งมีสมาชิกจำนวนจำกัดที่ 40 คนเท่านั้น โดยการคัดเลือกจากนักประพันธ์ กวี นักปรัชญา นักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ และรัฐบุรุษ โดย de Broglie ได้รับเลือกในปี 1944 เขาจึงเป็นนักวิทยาศาสตร์คนที่สามที่ได้เป็นสมาชิกตามหลัง Henri Poincaré และ Marcellin Berthelot
เมื่อถึงวันที่ 19 มีนาคม ปี 1987 de Broglie ก็ได้เสียชีวิตลงในวัย 94 ปี ที่เมือง Louveciennes ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ Paris โดยได้ทิ้งมรดกทางความคิดที่ยิ่งใหญ่ คือ คลื่นสสาร (หรือ คลื่น de Broglie) ให้นักฟิสิกส์ได้ใช้ในการเปลี่ยนโลก
สูตรคลื่นสสารของ de Broglie คือ
ประวัติวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่า de Broglie ได้ความคิดเรื่องคลื่นสสาร จากผลการทดลองของ Arthur Holly Compton (1892–1962) นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ซึ่งได้พบปรากฏการณ์ Compton ที่เกิดขึ้นเมื่อ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เช่น รังสีเอกซ์) ตกกระทบอิเล็กตรอนอิสระ (คือ อิเล็กตรอนที่อยู่โดด ๆ ภายนอกอะตอม) แล้วรังสีได้กระเจิง (scatter) ไปในทิศทางต่าง ๆ และ Compton ก็ได้พบว่า แทนที่รังสีกระเจิงจะมีความยาวคลื่นเท่าเดิม ตามทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าของ Maxwell รังสีกระเจิงกลับมีความยาวคลื่นเพิ่มขึ้น และความยาวคลื่นที่เพิ่มขึ้นนี้ ขึ้นอยู่กับมุมกระเจิงเท่านั้น
การได้เห็นแสงตกกระทบ (Compton effect) ที่มีความยาวคลื่นสั้นสีน้ำเงิน เปลี่ยนเป็นแสงที่มีความยาวคลื่นยาวสีแดงนี้ เป็นปรากฏการณ์ Compton
ในการได้มาซึ่งสมการนี้ Compton ได้ใช้สูตรของ Planck ที่เกี่ยวกับพลังงานแสงว่า
กับใช้หลักการทรงพลังงาน และการทรงโมเมนตัมในทิศทางต่าง ๆ เช่น พลังงานของอนุภาคแสง (photo) ที่มีค่า
นี่คือสูตรที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของอนุภาคกับสมบัติของคลื่นที่ de Broglie เป็นคนพบคนแรก
นั่นคือ รัศมีวงโคจรแรก จะมีค่าประมาณ 1/6 ของความยาวคลื่นของอิเล็กตรอนในวงนั้น
พัฒนาการขั้นต่อไป คือ การหาสมการเคลื่อนที่ของคลื่นสสาร ขณะคลื่นเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่มีสนามศักย์กระทำ
ในปี 1834 William Rowan Hamilton (1805-1865) ซึ่งนักฟิสิกส์และนักคณิตศาสตร์ชาวไอริชได้พบว่า เส้นทางโคจรของอนุภาคกับเส้นทางเดินของแสงแบบเรขาคณิตในตัวกลางเป็นคนละเรื่องเดียวกัน นั่นคือ เราสามารถหาวิถีโคจรของอนุภาคได้ ด้วยการหาเส้นทางการเคลื่อนที่ของแสงเชิงเรขาคณิต คือ โดยไม่ต้องพิจารณาสมบัติด้านคลื่นของแสง และนี่ก็คือ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่ Schrödinger ได้นำมาใช้ในการคำนวณหาเส้นทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในตัวกลาง
Erwin Schrödinger เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม เมื่อปี 1887 ที่กรุง Vienna ในออสเตรีย ในครอบครัวที่บิดามารดาสนใจวิทยาการทั้งศาสตร์และศิลป์ Schrödinger ได้เข้าเรียนฟิสิกส์ระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย Vienna จนจบการศึกษาระดับปริญญาเอก เมื่ออายุ 23 ปี และได้ย้ายที่ทำงานหลายแห่ง เช่น ที่เมือง Jena และ Stuttgart ในเยอรมนี, Zurich ในสวิตเซอร์แลนด์และมีความสนใจในการวิจัยเรื่องทฤษฎีสีของแสง กลศาสตร์สถิติ กับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป Schrödinger เริ่มรู้จักและสนใจคลื่นสสาร เมื่อได้อ่านคำชื่นชมของ Einstein ที่มีต่อความคิดของ de Broglie
ผลงานที่โดดเด่นและสำคัญที่สุดของ Schrödinger คือ การตีพิมพ์งานวิจัย 4 เรื่อง “Quantization as an Eigenvalue Problem” ลงในวารสาร Annalen der Physik vol 79, 80 และ 81 เมื่อปี 1926
ในปี 1927 Schrödinger ได้เดินทางไปครองตำแหน่งศาสตราจารย์ฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Berlin ในเยอรมนี เมื่อ M. Planck เกษียณอายุทำงาน แต่ในเวลาต่อมา Schrödinger ก็ต้องหลบหนีทหารนาซี เพราะ Schrödinger มีความคิดต่อต้านระบบการปกครองของ Hitler เพื่อไป Oxford ในอังกฤษ แล้วไป Graz ในออสเตรีย แล้วไป Dublin ในไอร์แลนด์
ในปี 1933 Schrödinger ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ร่วมกับ P.A.M. Dirac จากผลงานที่ทำให้โลกรู้จักกลศาสตร์คลื่น และกลศาสตร์คลื่นเชิงสัมพัทธภาพพิเศษ
ในปี 1944 Schrödinger ได้เรียบเรียงหนังสือชื่อ “What is Life?” ซึ่งเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลมากต่อความนึกคิดของนักวิทยาศาสตร์กายภาพในสมัยนั้น ให้ใช้ความรู้ฟิสิกส์ศึกษาระบบชีวภาพ
Schrödinger เสียชีวิตด้วยวัณโรค เมื่อวันที่ 11 มกราคม ปี 1961 ที่กรุง Vienna สิริอายุ 73 ปี
ในขณะที่กลศาสตร์เมทริกซ์ของ Heisenberg ไม่สนใจเรื่องเส้นทางโคจรของอิเล็กตรอน กลศาสตร์คลื่นของ Schrödinger ก็ไม่สนใจประเด็นเส้นทางโคจรของอิเล็กตรอนเช่นกัน แต่ Schrödinger ได้ทิ้งข้อมูลเส้นทางไว้ใน function ψ (psi) ซึ่งเป็นฟังก์ชันคลื่น (wave function) ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพทุกด้านของอิเล็กตรอนให้คำนวณ
ประวัติความเป็นมาของการพบสมการคลื่นนี้ระบุว่า ในฤดูหนาวของปี 1923 Schrödinger ได้เดินทางไปพักผ่อนกับคนรัก (ที่มิใช่ภรรยา) ในบ้านพักตากอากาศ (chalet) บนเทือกเขา Alps ที่อยู่ใกล้เมือง Aroza ในสวิตเซอร์แลนด์ และในเวลาเดียวกันก็ครุ่นคิดเรื่องอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนด้วย การแบ่งเวลาระหว่างความรักกับฟิสิกส์ควอนตัมได้อย่างเหมาะสม ทำให้ Schrödinger พบกลศาสตร์คลื่น ที่สามารถอธิบายโครงสร้างของอะตอม การถือกำเนิดของเส้นสเปกตรัมแสง อธิบายสาเหตุการเกิดปฏิกิริยาเคมี จนสามารถตอบได้ว่า ความจริงต่างๆ ที่มีในอะตอมสามารถคำนวณหาได้จากความรู้เรื่องคลื่นของความเป็นไปได้
คำถามหนึ่งที่มักเกิดขึ้นสำหรับคนทั่วไป คือ คำถามว่า อิเล็กตรอนเป็นคลื่นหรือเป็นอนุภาค
เมื่อครั้งที่ Heisenberg เสนอหลักความไม่แน่นอนนี้ ได้มีคนพูดกันว่า เขาสูบ cocaine ซึ่ง Heisenberg คงสูบเพื่อบรรเทาอาการป่วย เนื่องจากเป็นโรคภูมิแพ้ คงมิใช่เพื่อจะได้พบกฎฟิสิกส์
สมบัติอีกประการหนึ่งของการศึกษาระบบควอนตัม คือ การวัดหรือการสังเกตใด ๆ จะมีผลกระทบต่อสิ่งที่วัดหรือสิ่งที่สังเกตนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในชีวิตทั่วไป การสังเกตดูดาวบนฟ้า จะไม่มีวันทำให้สมบัติของดาวเปลี่ยนแปลง แต่ในระบบควอนตัม การสังเกตหรือการวัดทุกครั้งที่เรากระทำต่ออะตอม จะทำให้สมบัติของระบบควอนตัมนั้นเปลี่ยน เช่น เวลาเราต้องการจะศึกษาสมบัติของอิเล็กตรอน เราจำเป็นต้องให้แสงมาตกกระทบมัน การพุ่งชนของแสงทำให้โมเมนตัมของอิเล็กตรอนเปลี่ยน (ปรากฏการณ์ Compton) คือ สถานภาพของอิเล็กตรอนในเวลาต่อมาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นี่คือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างฟิสิกส์ควอนตัมกับฟิสิกส์ยุคเก่า
ในแบบจำลองอะตอมของ Bohr นั้น Bohr อิเล็กตรอนมีวงโคจรรอบอะตอมที่แน่นอน แต่ในกลศาสตร์ควอนตัมของ Schrödinger กับ Heisenberg วงโคจรดังกล่าวไม่มี เพราะอิเล็กตรอนสามารถจะอยู่ได้ทุกหนแห่งในบริเวณรอบอะตอม โดยแต่ละแห่งในเวลาเดียวกันมีโอกาส (probability) การอยู่ต่างกัน นี่คือโอกาสที่จะพบอิเล็กตรอน ซึ่งถ้ารวมโอกาสเหล่านี้ ณ บริเวณทุกหนแห่งเข้าด้วยกัน ก็จะได้ค่า 100%
ความสำคัญอีกประการหนึ่งของกลศาสตร์ควอนตัมก็คือ มีหลักการเติมเต็ม (Complementarity Principle) ที่จำเป็นต้องยอมรับและยึดถือ นี่เป็นการใช้หลักวิทยาศาสตร์ควบคู่กับหลักการทางด้านปรัชญา เพื่อเติมเต็มความรู้ให้กันและกัน
ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราใช้เลนส์นูนรับแสงจากดวงอาทิตย์ให้ไปโฟกัสที่กระดาษ ในเวลาอีกไม่นาน กระดาษก็จะลุกเป็นไฟ แสงในการทดลองนี้แสดงพฤติกรรมเหมือนเป็นอนุภาค photon ที่มีพลังงาน แต่ถ้าเราให้แสงอาทิตย์เดียวกันนี้ผ่านปริซึม ปริซึมก็จะแยกแสงออกเป็นแถบสี นั่นคือ แสงแสดงพฤติกรรมของคลื่นที่มีความยาวคลื่นต่าง ๆ กัน การทดลองทั้งสองนี้จึงแสดงให้เห็นว่า แสงเดียวกันสามารถแสดงคุณสมบัติได้สองด้าน ดังนั้นการศึกษาสมบัติของแสง จึงต้องมีการทดลองที่แสดงให้เรารู้สมบัติทั้งสองเป็นการเต็มเติมกัน เพื่อให้ได้ความรู้เกี่ยวกับแสงที่สมบูรณ์
โลกกลศาสตร์ควอนตัมยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่ยังไม่มีคำตอบ นั่นคือ เรื่องการแปลความหมายของฟังก์ชันคลื่นที่ใช้ในสมการของ Schrödinger เพราะจากฟังก์ชันคลื่นที่มีได้หลายสถานะ แต่เวลามีการสังเกตจริง ๆ คนสังเกตกลับได้ค่าฟังก์ชันคลื่นที่แสดงสถานะเดียว คำถามมีว่า คือ เหตุการณ์การยุบตัวของฟังก์ชันคลื่นอื่น ๆ เกิดขึ้นได้เพราะเหตุใด เพราะในสมการของ Schrödinger มิได้มีกลไกใด ๆ ที่บอกว่าการยุบตัวของฟังก์ชันคลื่นได้เกิดขึ้นเลย
อีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญมาก คือ ปัญหาเรื่องความพัวพัน (entanglement) ในระบบควอนตัมที่มีอนุภาคตั้งแต่สองตัวขึ้นไป และมีอันตรกิริยาต่อกัน แล้วในเวลาต่อมา อนุภาคเหล่านั้นถูกแยกจากกัน ไปอยู่ไกลกันจนอาจจะถึงขอบของเอกภพ และทันทีที่มีการวัดหรือสังเกตพฤติกรรมของอนุภาคตัวหนึ่ง พฤติกรรมการวัดหรือการสังเกตนี้จะมีผลต่ออนุภาคอื่น ๆ ทั้งหมดในทันทีทันใด เสมือนกับว่าข้อมูลการวัดได้เดินทางถึงกัน ด้วยความเร็วที่สูงยิ่งกว่าความเร็วแสง การสื่อสารข้อมูลนี้เป็นแบบ nonlocal ที่ Einstein ได้เรียกลักษณะการสื่อสารแบบนี้ว่า spooky action หรือที่อาจจะแปลได้ว่า เป็นการเชื่อมโยงที่ลี้ลับข้ามระยะทาง โดยไม่ต้องใช้เวลาและการศึกษาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งในอนาคต จะนำไปสู่การมีคอมพิวเตอร์ควอนตัม และปัญญาประดิษฐ์เชิงควอนตัม (Quantum Artificial Intelligence) ได้
ณ วันนี้ นักฟิสิกส์ส่วนใหญ่มีความรู้เรื่องอะตอมมากกว่านักฟิสิกส์โนเบลทุกคนที่เคยไปประชุมที่เมือง Solvay ในเบลเยียม เมื่อปี 1911 แล้ว ในอนาคตอีก 100 ปี เราก็คงมั่นใจว่านักฟิสิกส์ในเวลานั้น จะมีความรู้เกี่ยวกับอะตอมมากกว่าเราทุกคนในทุกวันนี้มากกว่ามาก เพราะสามารถตอบคำถามได้ว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ Einstein กับทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม สามารถรวมกันเป็นทฤษฎีหนึ่งเดียวได้หรือไม่
กลศาสตร์ควอนตัมจะทำให้เราสามารถจะเดินทางย้อนเวลาได้หรือไม่
คอมพิวเตอร์ควอนตัมที่มีองค์ประกอบเปราะบางจะเอาชนะการรบกวน (noise) ได้ และทำงานได้เร็วขึ้น อีกทั้งถูกต้องขึ้น ตามที่ทุกคนฝันเมื่อใด ฯลฯ
อ่านเพิ่มเติม Zwiebach, Barton (2022). Mastering Quantum Mechanics: Essentials, Theory, and Applications. MIT Press. ISBN 978-0-262-04613-8.
ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์
ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน,ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์