xs
xsm
sm
md
lg

สวทช. นำทัพ วช. ยกระดับกำลังคน ดันไทยสู่ยุคเทคโนโลยีที่ยั่งยืน ในการประชุมวิชาการ TAIST-Science Tokyo

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดการประชุมวิชาการ “TAIST-Science Tokyo วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพัฒนากำลังคนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” ณ ห้อง Eternity โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 1 - 3 กันยายน 2568 โดยในวันที่สองของการจัดงาน ดร. สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต้อนรับผู้ร่วมงานและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเวทีในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและทิศทางโลก พร้อมทั้งขอบคุณ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่ให้การสนับสนุนทุนโครงการ ตลอดจนขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมสนับสนุนให้การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์


นอกจากนี้ นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการ วช. ยังได้ร่วมกล่าวสนับสนุนในพิธีเปิด ตอกย้ำบทบาทของ วช. ในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศและสร้างความยั่งยืนในอนาคต


ภายในงานยังมีการบรรยายพิเศษ (Keynote Speakers) โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เริ่มจาก ศาสตราจารย์ ดร.สนอง เอกสิทธิ์ กล่าวในหัวข้อ “นโยบายการวิจัยและพัฒนากำลังคนของประเทศกับ TAIST-Science Tokyo” โดยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในการผลักดันการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ และได้กล่าวถึงกิจกรรมสำคัญที่ วช. ดำเนินการเพื่อส่งเสริมและสร้างเวทีให้แก่นักวิจัยและเยาวชนรุ่นใหม่ เช่น Thailand Research Expo ที่ถือเป็นมหกรรมงานวิจัยระดับชาติ รวมผลงานนวัตกรรมจากทั่วประเทศมาเผยแพร่ และกิจกรรม Thailand Researcher Day (หรือวันนักวิจัยแห่งชาติ) ที่เป็นเวทีเชิดชูเกียรติและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักวิจัยทุกระดับ นอกจากนี้ วช. ยังให้ความสำคัญกับ ความร่วมมือระหว่างประเทศ ผ่านการจับมือกับหน่วยงานวิจัยและสถาบันการศึกษาในต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้างเครือข่ายนักวิจัย และเปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยได้เข้าถึงประสบการณ์ระดับนานาชาติ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการ TAIST-Science Tokyo ที่มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรคุณภาพสูงเพื่อรองรับความท้าทายของโลกอนาคต


จากนั้น ศาสตราจารย์ ดร.ปรินทร์ ชัยวิสุทธางกูร ได้กล่าวในหัวข้อ “บทบาทของคณะวิทยาศาสตร์ในการสร้างนักวิจัยและนวัตกรรุ่นใหม่ของประเทศ” โดยชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาทของคณะวิทยาศาสตร์ในสถาบันอุดมศึกษา โดยคณะวิทยาศาสตร์ต้องก้าวสู่บทบาทใหม่ในฐานะ “ตัวขับเคลื่อนนวัตกรรม” ที่ไม่เพียงแต่สร้างองค์ความรู้เชิงทฤษฎี แต่ยังต้องเชื่อมโยงไปสู่การแก้ปัญหาจริงของสังคมและอุตสาหกรรม เช่น การรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ต้องบูรณาการวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมกับวิศวกรรม หรือการพัฒนายาและเวชภัณฑ์ใหม่ที่ต้องอาศัยการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และการผลิตเชิงวิศวกรรม ศาสตราจารย์ ดร. ปรินทร์ กล่าวเน้นย้ำถึง ความร่วมมือระหว่างคณะวิทยาศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ โดยผ่านการให้คำปรึกษาจากอาจารย์อาวุโส การกำกับดูแลแบบสหวิชา (joint supervision) รวมถึงการฝึกอบรมทักษะสำคัญ เช่น ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ การคิดเชิงนวัตกรรม (Design thinking) และ Soft skills อย่างการสื่อสาร การทำงานร่วมกันและภาวะผู้นำ อีกประเด็นสำคัญคือการสร้าง นวัตกรรุ่นใหม่ โดยการปลูกฝังวิธีคิดด้านนวัตกรรม การกล้าลองผิดลองถูก และการพัฒนาความยืดหยุ่นต่อความล้มเหลว พร้อมทั้งสนับสนุนระบบบ่มเพาะ (incubator) ภายในมหาวิทยาลัย เพื่อเปิดทางให้งานวิจัยก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัพและสร้างผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี


ปิดท้ายด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช กล่าวบรรยายในหัวข้อ “ทิศทางใหม่ของการศึกษาวิศวกรรม: เพื่อภาคอุตสาหกรรมที่แข่งขันได้ในระดับโลก” โดยชี้ให้เห็นว่าการศึกษาวิศวกรรมในศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องปรับตัวต่อเนื่อง เพื่อให้บัณฑิตสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและความต้องการแรงงานของอุตสาหกรรมที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ท่านยังเน้นถึง หลักสูตร Kosen แบบญี่ปุ่น ซึ่งออกแบบให้นักเรียนที่จบ ปวช. หรือเทียบเท่า เรียนต่อเนื่อง 5–6 ปี จบพร้อมปริญญาวิศวกรรมศาสตร์ โดยเน้นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติและฝึกงานจริง เพื่อสร้างวิศวกรที่มีทั้งความรู้ด้านทฤษฎีและทักษะการทำงาน พร้อมปรับตัวเข้ากับความต้องการของอุตสาหกรรมทันทีหลังสำเร็จการศึกษา และได้ยกตัวอย่างว่าหลักสูตรลักษณะนี้เริ่มนำมาปรับใช้ในไทยแล้วในบางสถาบัน เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดยเปิดโอกาสให้นักเรียน ปวช. หรือ ปวส. เข้าศึกษาต่อแบบต่อเนื่อง พร้อมฝึกงานและเรียนรู้เชิงปฏิบัติจริง การเรียนการสอนเชิงปฏิบัติและการทำวิจัยร่วมกับภาคเอกชนยังช่วยให้นักศึกษาเข้าใจปัญหาและความต้องการจริงของอุตสาหกรรม พร้อมสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งและพัฒนากำลังคนคุณภาพสูงที่พร้อมแข่งขันในระดับสากล


หลังจากนั้นเป็นเวทีเสวนา (Breakout Sessions) แบ่งเป็น 4 ห้องย่อย ได้แก่ 

ห้องหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์และระบบขนส่งขั้นสูง (Automotive and Advanced Transportation Engineering: A2TE) เรื่อง “ยานยนต์และระบบขนส่งขั้นสูง” 

ห้องหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Artificial Intelligence and Internet of Things: AIoT) เรื่อง “Next-Gen Workforce for AIoT Era: Competency, Collaboration, and Career” 

ห้องหลักสูตรพลังงานและทรัพยากรอย่างยั่งยืน (Sustainable Energy and Resources Engineering: SERE) เรื่อง “From Carbon to Chip: เชื่อมพลังไทยสู่เศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัล"

ห้องหลักสูตรวิศวกรรมชีวการแพทย์และปัญญาประดิษฐ์ (Biomedical Engineering and Artificial Intelligence: BIOMED & AI) เรื่อง “กำลังคนในเทคโนโลยีอนาคต Biomed and AI” โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ มหาวิทยาลัย และภาคอุตสาหกรรมร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์


นอกจากนี้ในช่วงบ่ายเป็นการนำเสนอผลงานวิชาการและงานวิจัยของนักศึกษาจากทั้ง 4 หลักสูตร โดยมีการนำเสนอแบบ Oral Presentation พร้อมข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อพัฒนาต่อยอดงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์จริง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นตัว ความร่วมมือระหว่างผู้เข้าร่วมและการแลกเปลี่ยนความรู้เชิงลึก ก่อนปิดท้ายของวันด้วยการสรุปผลการพิจารณาและข้อเสนอแนะ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจและแนวทางให้กับนักศึกษาและผู้เข้าร่วมทุกฝ่าย




กำลังโหลดความคิดเห็น