xs
xsm
sm
md
lg

เครือข่ายขนาดใหญ่ของกล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ Chile (มีคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในปี 1931 วิศวกรไฟฟ้าชาวอเมริกัน นามว่า Karl Guthe Jansky (1905–1950) แห่งห้องปฏิบัติการ Bell Telephone Laboratories ที่รัฐ New Jersey สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก จากผลงานการประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์โดย John Bardeen, William Shockley และ Walter Houser Brattain เมื่อปี 1947 กับผลงานประดิษฐ์เลเซอร์โดย Theodore H. Maiman ในปี 1960 และการเสนอทฤษฎีสารสนเทศ (Information Theory) โดย Claude Shannon เมื่อปี 1948 ขณะ Jansky กำลังพยายามค้นหาแหล่งที่ส่งคลื่นวิทยุมารบกวนการสื่อสารโทรคมนาคมข้ามมหาสมุทร เขาก็ได้พบว่าที่ใจกลางของกาแล็กซีทางช้างเผือกมีแหล่งปล่อยคลื่นวิทยุพลังงานสูงออกมาตลอดเวลา




การค้นพบครั้งนั้นจึงแสดงให้เห็นว่า ในอวกาศนอกโลกนอกจากจะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งเป็นแสงที่ตาเห็นแล้ว ก็ยังมีคลื่นวิทยุด้วย เพราะคลื่นวิทยุที่วัตถุต่าง ๆ ในอวกาศเปล่งออกมา สามารถแปรเป็นภาพให้เราเห็นวัตถุได้ ทั้งๆ ที่ตาเปล่ามองวัตถุนั้นไม่เห็น นักดาราศาสตร์จึงสามารถศึกษาเอกภพได้มากขึ้นและสมบูรณ์ขึ้น

ผลงานนี้ ทำให้ Jansky ได้รับการยอมรับว่าเป็น บิดาของวิทยาการดาราศาสตร์วิทยุ (radio astronomy)


ต่อจากนั้น Grote Reber (1911–2002) ซึ่งเป็นวิศวกรชาวอเมริกัน ก็ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ขึ้นเพื่อรับคลื่นวิทยุโดยเฉพาะกล้องนี้ เป็นอุปกรณ์ที่มีโครงสร้างเป็นจานโค้งรูป parabola ซึ่งมีปากจานกว้าง 9 เมตร มีสายอากาศยาว 9 เมตร และมีเครื่องขยายสัญญาณด้วย Reber ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่เขาสร้างนี้ ศึกษาบริเวณต่าง ๆ ในอวกาศที่ปล่อยคลื่นวิทยุ และพบว่าคลื่นวิทยุมิได้มาจากกาแล็กซีทางช้างเผือกเพียงแหล่งเดียว แต่มาจากแทบทุกภาคส่วนของท้องฟ้า และคลื่นวิทยุเหล่านี้มีความถี่และความเข้มต่างๆ กัน

ผลงานของ Reber ที่ลงเผยแพร่ในวารสาร Astrophysical Journal ปี 1940 ซึ่งได้พบว่าคลื่นวิทยุจากทางช้างเผือกมีความถี่ 160 MHz จึงยืนยันให้โลกรู้ว่า วิชา radio astronomy เป็นวิทยาการแขนงใหม่ ในช่วงเวลานั้น Reber เป็นนักดาราศาสตร์วิทยุเพียงคนเดียวที่โลกมี

มรดกทางความคิดของ Jansky และ Reber ได้รับการสืบสานและต่อยอดโดย B.F. Burke (1928–2018) แห่งสถาบัน Massachusetts Institute of Technology (MIT) ซึ่งได้พบในปี 1955 ว่า เมฆที่ปกคลุมดาวพฤหัสบดีอย่างหนาแน่น ก็เป็นแหล่งปล่อยคลื่นวิทยุได้ด้วย และอีก 6 ปีต่อมา ทีมวิจัยของ NASA ก็ได้ประสบความสำเร็จในการส่งคลื่นเรดาร์ไปกระทบผิวดาวศุกร์ แล้วรับฟังเสียงสะท้อน การรู้เวลาที่คลื่นเรดาร์เดินทางไป-กลับ และการรู้ความเร็วของคลื่น (3x10^8 เมตร/วินาที) ทำให้นักดาราศาสตร์สามารถวัดระยะทางที่ดาวศุกร์อยู่ห่างจากโลกได้อย่างละเอียดและคำนวณวิถีโคจรของดาวศุกร์ได้ด้วย

ต่อจากนั้นพัฒนาการของวิชาดาราศาสตร์วิทยุก็ได้ก้าวหน้าตามลำดับ จนทำให้เรารู้ว่าในเอกภพยังมี “ดาวประหลาด” ในอวกาศอีกมากมาย เช่น pulsar, quasar, black hole รังสีไมโครเวฟภูมิหลัง (cosmic microwave background) โมเลกุลทั้งที่เป็นสารอินทรีย์และอนินทรีย์ ซึ่งลอยอยู่ในเมฆอวกาศ และเวลาโมเลกุลเปลี่ยนพลังงาน จะมีการปล่อยคลื่นวิทยุออกมา ด้วยความถี่ที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของโมเลกุลนั้น การรู้ชนิดของโมเลกุลและที่มาของคลื่นทำให้เรารู้โอกาสที่ดาวต่าง ๆ ซึ่งอยู่นอกระบบสุริยะจะมีสิ่งมีชีวิตหรือไม่มี


คลื่นวิทยุเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 1 มิลลิเมตรถึง 100 กิโลเมตร ดังนั้นจากสูตร c=fλ เมื่อ c คือ ความเร็วแสง (3x10^8 เมตร/วินาที) λ คือ ความยาวคลื่น และ f คือ ความถี่ของคลื่น เราก็จะได้ว่า คลื่นวิทยุมีความถี่ตั้งแต่ 3Hz ถึง 30 GHz (1GHz=10^9 Hz)

การสำรวจอวกาศตลอดเวลา 100 ปีที่ผ่านมานี้ได้พบว่า ในอวกาศมีแหล่งกำเนิดคลื่นวิทยุที่สำคัญ ได้แก่

(1) ดาวพฤหัสบดี ซึ่งส่งคลื่นวิทยุที่มีความถี่ 15-30 MHz (1 MHz = 10^6 Hz) เป็นคลื่นที่มีความถี่ต่ำ ซึ่งเกิดจากอันตรกิริยาระหว่างอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าบนดวงจันทร์ Io ซึ่งเป็นบริวารของดาวพฤหัสบดีกับอนุภาคที่อยู่ในบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี และคลื่นวิทยุอีกส่วนหนึ่งเกิดจากอิเล็กตรอนที่อยู่ในบรรยากาศมีการเคลื่อนที่ในลักษณะเป็นเกลียวไปในสนามแม่เหล็กที่มีความเข้มสูง มันจึงแผ่รังสี synchrotron ออกมาให้เห็นเป็นแสงเหนือ (aurora) และเป็นคลื่นวิทยุ

(2) ดาว pulsar ซึ่งจะเปล่งคลื่นวิทยุที่มีความถี่ 300-1400


เมื่อ Jocelyn Bell Burnell (1943-ปัจจุบัน) เห็นสัญญาณคลื่นที่เปลี่ยนแปลงเป็นคาบอย่างสม่ำเสมอในทุก 1.3 วินาที เมื่อปี 1967 ความคงเส้นคงวาของคลื่นทำให้เธอคิดว่ามันเป็นสัญญาณคลื่นจากมนุษย์ต่างดาว แต่ Antony Hewish (1924–2021) ได้พบว่ามันเป็นสัญญาณที่มาจากดาวนิวตรอน อันเป็นซากที่หลงเหลือจากการระเบิดของ supernova ซากนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวประมาณ 20 กิโลเมตร และมีความเข้มสนามแม่เหล็ก = 10^12 gauss (สนามแม่เหล็กของโลกมีค่า = 0.5 gauss) อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ด้วยความเร่งในสนามนี้จึงเปล่งคลื่นวิทยุออกมาได้

(3) จากแก๊ส hydrogen


ในปี 1951 เมื่อ Harold Ewen (1922–2015) กับ Edward Purcell (1912-1997) ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ปี 1952 จากการพัฒนา NMR วัดความถี่ของคลื่นวิทยุที่ถูกส่งมาจากกาแล็กซีทางช้างเผือกและพบว่ามีค่า 1420 MHz หรือ 1.42 GHz ซึ่งถ้าคิดเป็นความยาวคลื่นก็ได้ค่า λ = 21 เซนติเมตร โดยคลื่นนี้มาจากอะตอมไฮโดรเจนที่ประกอบด้วยอนุภาคโปรตอนและอิเล็กตรอน ซึ่งต่างก็มีสมบัติควอนตัมที่เรียกว่า spin โดย spin ของอนุภาคทั้งสองอาจจะชี้ในทิศเดียวกันหรือสวนทางกันก็ได้ ถ้า spin ทั้งสองชี้ในทิศเดียวกันระบบจะมีพลังงานสูง แต่ถ้าชี้ทิศสวนกัน ระบบจะมีพลังงานต่ำ ดังนั้นเวลาอะตอมไฮโดรเจนพุ่งชนกัน การกลับทิศ spin ของอิเล็กตรอนก็อาจจะเกิดขึ้นได้จากทิศขนานกับโปรตอนมาเป็นทิศสวนกับโปรตอน การเปลี่ยนระดับพลังงานเช่นนี้ จะทำให้อะตอมไฮโดรเจนปล่อยคลื่นวิทยุที่มีความยาวคลื่น 21.1 เซนติเมตรออกมา แม้ว่าโอกาสการเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้จะมีค่อนข้างน้อยมาก แต่การมีอะตอมไฮโดรเจนเป็นจำนวนมาก สัญญาณคลื่นลัพธ์ที่ถูกส่งออกมา ก็จะช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถรับคลื่นได้

การศึกษาคลื่นวิทยุที่ความยาวคลื่นนี้ ได้ช่วยให้นักดาราศาสตร์รู้ปริมาณของ hydrogen ที่มีในกาแล็กซี วัดอัตราเร็วในการหมุนรอบตัวเองของกาแล็กซี เห็นโครงสร้างของกาแล็กซี ตลอดจนสามารถเห็นการถือกำเนิดของเอกภพในระยะแรกๆ ด้วย

นอกจากอะตอม hydrogen แล้ว นักดาราศาสตร์วิทยุก็ยังสามารถศึกษาอนุมูล hydroxyl (OH) ที่แตกตัวจากโมเลกุลน้ำ (H2O) และปลดปล่อยคลื่นวิทยุที่มีความถี่ 1660-1670 MHz การพบคลื่นนี้ จึงสามารถบอกได้ว่า บนดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจะมีหรือไม่มีน้ำได้

(4) จากรังสีไมโครเวฟภูมิหลัง (Cosmic Microwave Background; CMB)


ในปี 1963 Arno A. Penzias (1933–2024) กับ Robert Wilson (1936- ปัจจุบัน) แห่ง Bell Telephone Laboratories ได้ใช้โพรงไมโครเวฟติดตามสัญญาณจากดาวเทียมในอวกาศ และได้พบว่า ไม่ว่าเขาทั้งสองจะหันปากโพรงไปทางทิศใดหรือเวลาใด ก็มีคลื่นวิทยุมารบกวนตลอดเวลา และคลื่นนี้เดินทางมาจากทุกทิศทาง อย่างไม่มีใครรู้แหล่งที่มาของคลื่นรบกวน


ก่อนหน้านี้เล็กน้อย Robert Dicke (1916–1997) กับ James Peebles (1935-ปัจจุบัน) แห่งมหาวิทยาลัย Princeton ได้เคยเสนอความคิดว่า ถ้าเอกภพมีเหตุการณ์ Big Bang เกิดขึ้นจริง ในการระเบิดครั้งนั้น จะต้องมีรังสีไมโครเวฟหลงเหลือให้เราเห็น และขณะ Dicke กำลังเตรียมตัวจะค้นหารังสี microwave ดังกล่าว เขาก็ได้ข่าวว่า Penzias กับ Wilson ได้พบรังสี CMB แล้ว Dicke จึงอุทานออกมาด้วยความเสียใจว่า เขาได้ถูกปาดหน้าเค้ก และพลาดจากการได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์

ผลกระทบที่เกิดตามมา คือ Penzias กับ Wilson ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ประจำปี 1978 และ Peebles ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ประจำปี 2019

เมื่อคลื่นวิทยุที่นักดาราศาสตร์สนใจมีมากมายและหลากหลายความถี่เช่นนี้ กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่นักดาราศาสตร์จะต้องใช้ในการรับคลื่นก็ย่อมมีรูปแบบและขนาดที่หลากหลายด้วย ในเวลาเดียวกันความเหมาะสมของสถานที่จะสร้างกล้องก็มีบทบาทและความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน คือ กล้องจะต้องให้คลื่นวิทยุจากอวกาศเดินทางตรงถึงตัวกล้องได้ โดยไม่ถูกไอน้ำหรือความชื้นในบรรยากาศโลกดูดกลืนไปมาก นอกจากนี้สถานที่ติดตั้งกล้องก็ควรอยู่ในบริเวณที่ปราศจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใด ๆ มารบกวน ไม่ว่าจะมาจาก smartphone หรือจากระบบ GPS ตลอดจนจากคลื่นวิทยุโทรทัศน์ใด ๆ อีกทั้งบรรยากาศเหนือกล้องก็ควรปราศจากเมฆฝน หมอก หรือความปั่นป่วนใดๆ

ข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้นักดาราศาสตร์ได้พบว่าประเทศ Chile มีหลายสถานที่ๆ เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการติดตั้งกล้องโทรทรรศน์วิทยุ เพราะประเทศนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ โดยมีดินแดนทางทิศตะวันติด Argentina ทิศตะวันตกจรดมหาสมุทร Pacific ทิศเหนือจรดประเทศ Peru และทิศใต้จรดดินแดน Patagonia พื้นที่ของประเทศจึงมีลักษณะเป็นแถบยาว 4,300 กิโลเมตร และกว้างประมาณ 180 กิโลเมตร


สภาพภูมิศาสตร์ของประเทศจึงมีความหลากหลายมาก คือ มีตั้งแต่ทะเลทราย Atacama ที่ร้อนมาก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือ บริเวณตอนกลางมีภูมิอากาศแบบ Mediterranean และดินแดนทางตอนใต้มีธารน้ำแข็ง (glacier)

เมืองหลวงของ Chile คือ Santiago ประเทศมีประชากร 18.5 ล้านคน ในอดีตประเทศเคยตกเป็นเมืองขึ้นของสเปน และได้รับเอกราชเมื่อปี 1810 มีทรัพยากรที่สำคัญ คือ แร่ lithium ที่ Chile มีมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ณ Salar de Atacama (ทะเลเกลืออาตากามา) Chile ยังมีกวีที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมถึง 2 คน คือ Gabriela Mistral (1889–1957) เมื่อปี 1945 และ Pablo Neruda (1904–1973) เมื่อปี 1971


ที่ราบสูง Llano de Chajnantor ใน Chile ตั้งอยู่ใกล้ทะเลทราย Atacama และอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 5,000 เมตร ที่ราบนี้อยู่ติดกับ Bolivia และ Argentina สถานที่นี้มีกล้องโทรทรรศน์วิทยุชื่อ ALMA (Atacama Large Millimeter/submillimeter Array) ซึ่งมีประสิทธิภาพมากที่สุดกล้องหนึ่งของโลก

ณ สถานที่อยู่สูงเช่นนี้ อากาศจะเจือจางมาก จนทำให้คนที่ไปเยือนหายใจได้อย่างยากลำบาก เพราะออกซิเจนมีความหนาแน่นน้อย (ประมาณ 50% ของที่ระดับน้ำทะเล) ดังนั้นการเคลื่อนไหวใด ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้คนนั้นบางคนเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ สมองมึน ปวดหัว และอาเจียน ดังนั้นผู้ที่ไปเยือนจึงต้องพกพาถังออกซิเจนส่วนตัวไปด้วย

แม้คนธรรมดาทั่วไปจะอยู่ที่นี่ได้อย่างอึดอัด แต่สถานที่นี้กลับเป็นสวรรค์บนดิน สำหรับนักดาราศาสตร์วิทยุ เพราะในปีหนึ่งๆ ท้องฟ้าเหนือ Llano de Chajnantor จะปราศจากเมฆหมอกประมาณ 300 วัน บรรยากาศมีความชื้นต่ำมาก และปราศจากพายุปั่นป่วน นอกจากคลื่นวิทยุที่กล้องโทรทรรศน์สามารถรับได้มากแล้ว บริเวณนี้ยังได้รับรังสีแกมมา X-ray และ ultraviolet ด้วย

กล้อง ALMA เป็นเครือข่ายกล้องที่มีการจัดเรียงกล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดเล็กเป็นแถว และเป็นแนวรวมทั้งหมด 66 จาน โดยจานรับแต่ละจานมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 7 เมตรบ้างและ 12 เมตรบ้าง ซึ่งจะวางเรียงรายในบริเวณกว้าง 10x10 ตารางกิโลเมตร ให้นักดาราศาสตร์จากสหภาพยุโรป European Southern Observatory (ESO) และนักดาราศาสตร์ของสหรัฐกับญี่ปุ่น มาทำงานร่วมกันโดยใช้งบประมาณ 12,000 ล้านบาทในการสร้าง


กล้อง ALMA ได้เริ่มทำงานตั้งแต่ปี 2011 และได้สังเกตเห็นแก๊ส ฝุ่น ในอวกาศขั้นตอนการเกิดกาแล็กซีขณะเอกภพถือกำเนิดใหม่ ๆ ด้วยการตรวจหาคลื่นวิทยุที่มีความยาวคลื่นระดับมิลลิเมตรหรือต่ำกว่า ทำให้สามารถเห็นวิวัฒนาการของการถือกำเนิดของดาวเคราะห์ได้ โดยกล้องทั้ง 66 กล้องเล็กๆ ได้ทำงานประสานกันเป็นอุปกรณ์แทรกสอด (interferometer) จึงสามารถทำงานได้เสมือนเป็นกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่เพียงกล้องเดียวที่จานรับคลื่นมีความกว้าง 16 กิโลเมตร จึงทำให้สามารถเห็นรายละเอียดของดาวได้ดีกว่ากล้องโทรทรรศน์แสงมาก

ผลงานที่สำคัญของ ALMA คือ ได้เป็นส่วนหนึ่งของกล้องโทรทรรศน์ Event Horizon Telescope (EHT) ที่ Reinhard Genzel และ Andrea Ghez ใช้ในการถ่ายภาพหลุมดำที่อยู่ในกาแล็กซี Messier 87 (M87) เมื่อเดือนเมษายน ปี 2017 และได้เปิดเผยภาพให้โลกเห็นเป็นครั้งแรกในปี 2019 ผลงานนี้ทำให้ทั้งสองคนได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ประจำปี 2020 ร่วมกับ Peebles โดยได้พบว่า หลุมดำนั้นอยู่ห่างจากโลก 35 ล้านปีแสง และมีมวล 6,500 ล้านเท่าของดวงอาทิตย์


กล้องโทรทรรศน์แสงที่สำคัญอีกกล้องหนึ่ง คือ กล้องโทรทรรศน์ Large Synoptic Survey Telescope (LSST) แต่ปัจจุบันกล้องนี้ได้รับการตั้งชื่อใหม่เป็น Vera C. Rubin Observatory ตามชื่อของ Vera Rubin (1928-2016) ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์สตรีผู้บุกเบิกวิธีศึกษาสสารมืดและพลังงานมืด

กล้องนี้ตั้งอยู่ที่ยอดเขา Cerro Pachón ที่ความสูง 2,672 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เพื่อทำแผนที่ 3 มิติของกาแล็กซีทางช้างเผือก ค้นหาที่มาและธรรมชาติของสสารมืดและพลังงานมืด ติดตามดูการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์น้อยที่โคจรใกล้โลก ค้นหาดาวเคราะห์ในแถบ Kuiper และศึกษาปรากฏการณ์เลนส์โน้มถ่วง

ตัวกล้อง Vera C. Rubin มีกระจกโค้งที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 8.417 เมตร และเป็นที่ทุกคนคาดหวังว่า ภายในเวลา 10 ปี กล้องจะได้พบ supernova ดวงใหม่ ๆ ร่วม 1 ล้านดวง

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนปี 2025 นี้ ภาพถ่ายภาพแรกที่กล้อง Vera C. Rubin ถ่ายก็ได้มีการนำออกให้สาธารณชนได้ดูแล้ว


สำหรับกล้องโทรทรรศน์แสงขนาดเล็กที่ประเทศ Chile ยังมีอีก ได้แก่ กล้อง Paranal Observatory ซึ่งตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 2,650 เมตร ในทะเลทราย Atacama เพื่อทำหน้าที่ศึกษาอวกาศ โดยใช้คลื่น infrared และแสงที่ตาเห็น กล้องนี้ได้ดำเนินการสังเกตโดยนักดาราศาสตร์ในองค์การ European Southern Observatory (ESO) ตัวกล้องมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 8.2 เมตร จำนวน 4 ตัว ทำงานประสานกัน


และอีกกล้องหนึ่ง คือ กล้อง Extremely Large Telescope (ELT) ที่ Cerro Armazones ซึ่งอยู่ห่างจากกล้อง Paranal ประมาณ 20 กิโลเมตร ขณะนี้วิศวกรกำลังก่อสร้างกล้อง และคาดการณ์ว่าจะเสร็จในปี 2030 เป็นกล้องที่มีกระจกหกเหลี่ยมเล็ก ๆ ประกอบกันจำนวน 798 ชิ้น ทำงานโดยใช้ระบบ adaptive optics เพื่อปรับความยาวโฟกัสของเลนส์ ตามดัชนีหักเหของอากาศ


สำหรับ กล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ SKA ซึ่งจะเริ่มทำงานในปี 2028 มีชื่อย่อ SKA จากคำเต็มว่า Square Kilometre Array โดยจะอยู่ทั้งที่ประเทศแอฟริกาใต้ (South Africa) กับที่ออสเตรเลีย


ตามแผนกล้อง SKA จะมีพื้นที่รับคลื่นประมาณ 1 ล้านตารางเมตร เพื่อรับคลื่นที่มีความถี่ตั้งแต่ 70 MHz-10 GHz (70x10^6 ถึง 10x10^9 Hz) จึงมีประสิทธิภาพสูงกว่ากล้อง Five-hundred-meter Aperture Spherical radio Telescope (FAST) ของจีนที่ดีที่สุดในปัจจุบันถึง 10,000 เท่า


โดยสรุป จากกล้องโทรทรรศน์กล้องแรกของโลกที่เป็นท่อยาวมีเส้นผ่านศูนย์กลางของเลนส์ยาว 1 นิ้ว (2.5 เซนติเมตร) ถึงวันนี้กล้องได้ขยายขนาดเป็นกล้องขนาดมโหฬารเท่าโลก และมีสายอากาศมากถึง 131,000 สาย อีกทั้งมีจานรับคลื่น 197 จาน โดยจานรับคลื่นแต่ละจานมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 15 เมตร

โดยกล้องที่ออสเตรเลียนั้นจะรับคลื่นที่มีความถี่ตั้งแต่ 50 MHz – 350 MHz

ส่วนกล้องที่แอฟริกาใต้จะรับคลื่นที่มีความถี่ตั้งแต่ 350 MHz – 15.4 GHz

ในขณะที่นักดาราศาสตร์ทั่วโลกกำลังตั้งหน้าตั้งตาคอยดูภาพที่กล้องโทรทรรศน์วิทยุถ่ายได้ในอนาคตอีก 3-5 ปี บรรดานิสิตและนักเรียนที่ South Africa หลายคนกำลังตื่นตัวสนใจจะทำงานเป็นนักดาราศาสตร์มาก


อ่านเพิ่มเติมจาก "Vera Rubin: First celestial image from revolutionary telescope". BBC News. 2025-06-23. Retrieved 2025-06-23.


ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์
ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน,ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์




กำลังโหลดความคิดเห็น