xs
xsm
sm
md
lg

วิวัฒนาการของการพยากรณ์ จากความฝันถึงการคำนวณ (มีคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทุกวันนี้ ได้ทำให้เรามีวิธีคิดทฤษฎีและอุปกรณ์มากมายที่สามารถพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ดีถึงระดับหนึ่ง เช่น รู้โอกาสที่ดาวเคราะห์น้อย จะพุ่งชนโลก รู้ภัยโลกร้อนว่าเวลาน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงเพียงใด รู้เวลาที่พายุ tornado จะเกิด และรู้เส้นทางที่ลาวาร้อนจากการระเบิดของภูเขาไฟจะไหล รู้ผลกระทบที่จะเกิดเวลาโรงไฟฟ้าได้รับมหาพายุสุริยะจากดวงอาทิตย์ ฯลฯ

แต่ก็มีเหตุการณ์อีกนับล้าน ๆ เรื่อง ที่เรายังไม่สามารถทำนายอะไรได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ เรื่องที่เกี่ยวกับการทำนายพฤติกรรมของมนุษย์ ทั้งที่เป็นปัจเจกบุคคลและพฤติกรรมกลุ่ม เช่น เราไม่ทราบล่วงหน้าว่าใครจะเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ใครจะเป็นผู้ก่อการร้าย ไม่รู้โอกาสที่ใครคนใดคนหนึ่งจะเป็นโรคอะไร เมื่อไร และโรคนั้นจะร้ายแรงเพียงใด ฯลฯ เหล่านี้ คือ คำถามที่ใครๆ ก็ต้องการคำตอบ

ในสมัยโบราณเวลาคนธรรมดาสามัญต้องการจะรู้อนาคต เขามักจะพึ่งพาหมอดู โหร หลวงพ่อ บางคนที่ศรัทธาเรื่องดวงหรือกรรมก็อาจจะใช้ไพ่ ลูกเต๋า เซียมซี น้ำตาเทียน ปฏิทินจักรราศี ลูกแก้ว ความฝัน คัมภีร์ หรือสัตว์ ฯลฯ ช่วยในการพยากรณ์ เพราะเชื่อว่าโหรสามารถล่วงรู้อนาคตได้จริงๆ



ในตำนานสงครามกรุง Troy ที่เกิดขึ้นเมื่อ 3,200 ปีก่อน มีเรื่องเล่าว่า เจ้าหญิง Cassandra ซึ่งเป็นพระธิดาในกษัตริย์ Priam แห่ง Troy เป็นผู้ที่ทรงมีพระสิริโฉมงดงามมาก จนเทพแห่งดวงอาทิตย์นาม Apollo ทรงหลงรัก แต่นางทรงไม่สน Apollo จึงทูลเสนอสินบนว่า ถ้านางทรงรับรัก พระองค์จะทรงประทานพรให้นางเป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้า มหาสมุทร และทันทีที่ Cassandra ทรงตอบเยส Apollo ก็ทรงประทานพร แต่ต่อมา Cassandra ทรงตระบัดคำมั่นสัญญา คือ ทรงรับพร แต่ทรงไม่ยินยอมที่จะรัก ด้วยเหตุนี้ Apollo จึงประทานคำสาปแช่งให้ทุกคำพูดที่ Cassandra ทรงเปล่งออกจากพระโอษฐ์ จะไม่มีใครเชื่อเลย


ดังนั้นเมื่อนางได้ทอดพระเนตรเห็นม้าไม้ที่ทหารกรีกสร้าง นางได้ตรัสเตือนชาวเมือง Troy ไม่ให้ลากม้าไม้เข้าเมือง แต่ไม่มีใครเชื่อนาง (ตามคำสาป) เมื่อม้าไม้ถูกลากเข้าเมืองแล้ว เหล่าทหารที่ซ่อนตัวอยู่ในม้าไม้ก็ออกมาฆ่าฟันชาวเมือง Troy ในที่สุดกรุง Troy ก็แตก กษัตริย์ Agamemnon จึงทรงรับตัว Cassandra ไปเป็นพระสนม แต่ในที่สุดเมื่อ Agamemnon ทรงถูกพระมเหสี Clytemnestra ลอบสังหาร Cassandra ก็ถูกสำเร็จโทษตามไปด้วย ซึ่งนางก็ได้ “เห็นเหตุการณ์ที่ตนกำลังจะต้องถูกนำตัวไปฆ่า” เป็นการรู้เรื่องความตายล่วงหน้า ถึงจะรู้ แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะตนไม่มีอำนาจ

อีก 800 ปีต่อมา เมื่อจักรพรรดิ Alexander มหาราช (356-323 ปีก่อนคริสตกาล) ทรงปราบอริราชศัตรูในอาณาจักร Persia, Syria, Palestine, Phoenicia และ Egypt ได้อย่างราบคาบแล้ว พระองค์ทรงปรารถนาจะได้รับการเทิดทูนเป็นฟาโรห์แห่งอาณาจักรอียิปต์ จึงตัดสินพระทัยไปขอคำยืนยันจากโหรแห่งเมือง Siwa ที่ประชาชนชาวอียิปต์นับถือมาก และโหร Siwa ก็ได้ทูลพระองค์ว่า พระองค์ทรงเป็นทั้งราชบุตรแห่ง Zeus ของกรีกและเป็นราชบุตรแห่งเทพ Ammon ของอียิปต์ด้วย ดังนั้นพระองค์จึงทรงเป็นองค์ฟาโรห์ที่สมควรจะได้ทรงปกครองอียิปต์จริงๆ

ด้วยเหตุนี้คำทำนายของโหร Siwa ที่เป็นจริง จึงมีส่วนช่วยให้โลกมีมหาวีรบุรุษนามว่า Alexander มหาราช


ในปี 1796 แม่ทัพ Napoleon Bonaparte (1769-1821) ในวัย 26 ปี ได้คุมกองทัพบุกอาณาจักร Austria เพื่อล้มล้างระบบการปกครองที่ Austria มีในอิตาลี และสามารถกำจัดอิทธิพลดังกล่าวได้หมด

ในขณะที่กองทัพ Austria กำลังเพลี่ยงพล้ำในการสู้รบอยู่นั้น บรรดานายพลของกองทัพ Austria ที่ใกล้จะหมดวิธีต่อต้านข้าศึกแล้ว ได้ตัดสินใจใช้หนูตัวเป็น ๆ ในการชี้นำทางรอด โดยได้นำหนูตัวหนึ่งมาวางบนแผนที่ที่แสดงสนามรบ แล้วจับตาดูว่าหนูจะคลานไปตามเส้นทางใด ก็จะเชื่อว่าเส้นทางนั้นเป็นทางรอด ถึงหนูจะเป็นสัตว์ “ศักดิ์สิทธิ์” แต่กองทัพ Austria ก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี

เมื่อหนูช่วยพยากรณ์เหตุการณ์อะไรไม่ได้ สัตว์อื่น ๆ นอกจากหนู ก็ถูกนำมาใช้ในการพยากรณ์ เช่น แมว ไก่ วัว หมึก หรือแม้แต่สุนัข


คนกรีกโบราณนับถือไก่ตัวผู้ (rooster) ว่าเป็นสัตว์แห่งเทพ Apollo ที่สามารถพยากรณ์อนาคตได้ จึงนำไก่มาวางลงบนกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ โดยกระดาษแผ่นนั้นมีรูปวงกลมวงหนึ่งที่ถูกแบ่งออกเป็น 24 ส่วนเท่ากัน (เป็นสามเหลี่ยมฐานโค้งที่มีมุมยอดเท่ากับ 15 องศา) จากนั้นก็นำเมล็ดข้าวโพดหรือเมล็ดข้าวสาลีมาวางลงในช่อง ๆ ละเม็ด (อักษรกรีก เช่น α ,β ,γ ,… มีทั้งหมด 24 ตัว) แล้วสังเกตดูว่า ไก่จะกินเมล็ดพืชจากช่องใดก่อน แล้วตามด้วยช่องใดไปเรื่อย ๆ


ลำดับอักษรที่ไก่เลือก จะถูกนำมาถอดความหรือแปล ทั้งนี้เพราะคนกรีกทุกคนเชื่อว่า ลำดับการเลือกอักษรของไก่ เป็นการแสดงเจตนารมณ์โดยตรงของพระเจ้า วิธีการนี้จึงนับเป็นการพยากรณ์อีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่าวิธีไก่พยากรณ์ (alectryomancy; alectro แปลว่า ไก่ และ mancy แปลว่า คำพยากรณ์)

อันความเชื่อที่ว่า เทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายสามารถสื่อสารบอกความประสงค์ถึงคนธรรมดาได้ โดยใช้สัตว์นี้ ได้แพร่กระจายและยอมรับไปทั่วโลกในยุคกลาง (1000-1500) ด้วยการทำให้ผู้คนเชื่อว่า บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็สามารถติดต่อสื่อสารถึงลูกหลานได้โดยการเข้าฝัน และเวลาเทพเจ้าจะทรงประสงค์ให้ใครทำอะไร ก็จะมาเข้าฝันคน ๆ นั้น เช่น บอกเลขนำโชค เพื่อให้ไปซื้อลอตเตอรี่ที่จะออกใน งวดต่อไป หรือบอกชื่อคนที่กำลังคบอยู่ว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าฝันเห็นงูเลื้อยรัดตัวนั่นแปลว่า คนฝันจะพบเนื้อคู่ ฝันเห็นเลือดแสดงว่าจะได้โชคลาภ ฝันว่าฟันหน้าหัก ญาติผู้ใหญ่จะเสียชีวิต ฝันว่าเหาะได้ จะได้เลื่อนตำแหน่ง และถ้าฝันเห็นศพ จะได้ลาภลอย เป็นต้น

บางคนก็ใช้อุปกรณ์ช่วยในการพยากรณ์ เช่น ไพ่ทาโรต์ (tarot) หรือลูกเต๋า และถ้าโยนลูกเต๋า 2 ลูกพร้อมกัน และได้แต้มรวมเป็น 3 แสดงว่าความลับจะถูกเปิดเผย ถ้าได้แต้ม 5 แสดงว่าจะได้รับข่าวดีจากแดนไกล หรือถ้าได้เลข 8 ก็แสดงว่าจะมีคนคิดร้ายลับหลัง การใช้ลูกเต๋าในการพยากรณ์เป็นวิชาที่มีชื่อเรียก cleomancy ส่วนไพ่ทาโรต์นั้นก็เป็นที่นิยมเล่นกันมากในคริสต์ศตวรรษที่ 14 จากไพ่ทั้งหมด 78 ใบ หน้าไพ่แต่ละใบแสดงภาพของเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น การแต่งงาน ความร่ำรวย ความกล้าหาญ ความสุขุมรอบคอบ ความสำเร็จ การถูกทรยศหักหลัง อุบัติเหตุ ความตาย ความรุนแรง การล้มป่วย ฯลฯ พูดง่าย ๆ คือ ภาพแสดงทุกมิติของการดำเนินชีวิต


จากนั้นก็ให้คนที่ต้องการจะดูดวงสับไพ่ พร้อมกันนั้นก็ตั้งจิตอธิษฐานขอความศักดิ์สิทธิ์ แล้ววางหน้าไพ่คว่ำหน้าลงตามตำแหน่งที่เรียก ต้นไม้แห่งชีวิต (Tree of Life) ตามความเชื่อของชาว Hebrew

ซึ่งเลข 1….10 จะบอกคุณลักษณ์ของชีวิตในแต่ละด้าน เช่น

เลข 1 บอกความเฉลียวฉลาด

เลข 2 บอกความคิดสร้างสรรค์

เลข 3 บอกความรอบรู้

……………

เลข 9 บอกสุขภาพ

และ เลข 10 บอกสภาพความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว

ดังนั้นเวลาเปิดหน้าไพ่ ภาพที่อยู่บนไพ่กับตำแหน่งที่ไพ่อยู่ จะเป็นคำทำนายร่วมที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นทันที เช่น ถ้าเปิดช่อง 9 แล้วมีภาพคนถูกแขวนคอ ก็แสดงว่า “อีกไม่นาน คนที่ต้องการคำทำนายก็จะถูกลงโทษจนตาย” เป็นต้น

ความหมกมุ่นงมงายของคนทั่วไปในเรื่องดวง เรื่องโชค เรื่องเคราะห์กรรม เรื่องบาปที่ทำในชาตินี้ และกรรมที่มีในชาติก่อน ก็ยังคงมีอยู่จนทุกวันนี้

จนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ความรู้วิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีบทบาทในการพยากรณ์มากขึ้น เช่น การรู้สภาพอากาศล่วงหน้าก่อนจะออกเดินทางในทะเล นับเป็นเรื่องที่มีความสำคัญระดับคอขาดบาดตาย สำหรับชาวประมงที่เดินเรือในทะเลนั้น ถ้าเห็นโลมาเล่นน้ำ หรือเห็นวาฬพ่นน้ำ หรือเห็นอีกาบิน นั่นเป็นสัญญาณที่แสดงว่า ทะเลกำลังจะมีพายุ


แต่ Robert FitzRoy (1805-1865) แห่งราชนาวีอังกฤษ ผู้เคยนำเรือรบหลวง Beagle ที่มี Charles Darwin (1809-1882) เป็นผู้โดยสารไปสำรวจโลก ครั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางครั้งนั้น FitzRoy ได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการกองอุตุนิยมวิทยาของอังกฤษ ซึ่งมีหน้าที่สำรวจสภาพดินฟ้าอากาศในทุกภาคส่วนของประเทศ ข้อมูลสภาพอากาศ ณ เวลาต่าง ๆ ที่ FitzRoy วัดได้สามารถใช้พยากรณ์อากาศได้ และ FitzRoy ก็ได้อ้างว่า ตนสามารถล่วงรู้สภาพอากาศล่วงหน้าได้ จากการสังเกตดูลูกแก้ววิเศษ (แก้วพายุ หรือ storm glass) ที่ตนมี คือ ถ้าในวันใด ภายในลูกแก้วดูขุ่นมัว อากาศในวันนั้นจะเลวร้าย แต่ถ้าภายในลูกแก้วดูใส นั่นแสดงว่าอากาศในวันนั้นจะดี แต่ลูกแก้วนั้นมิใช่แก้วธรรมดา เพราะภายในมีสารเคมี เช่น การบูร (camphor), potassium nitrate, ammonium chloride กับ alcohol บรรจุอยู่ ดังนั้นเวลาอุณหภูมิของลูกแก้วเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาระหว่างสารเคมีที่อยู่ภายใน จะทำให้เกิดสารประกอบต่าง ๆ ให้ FitzRoy เห็น


ในปี 1854 คนทั่วไปและบรรดานักวิชาการหลายคนได้ปฏิเสธไม่เชื่อคำพยากรณ์ที่เกี่ยวกับสภาพดินฟ้าอากาศของ FitzRoy แม้ FitzRoy จะได้ขอร้องให้ Michael Faraday (1791-1867) มาช่วยสนับสนุนตน แต่ Faraday ก็ปฏิเสธ ในที่สุด FitzRoy บุรุษผู้มีส่วนช่วยให้ Charles Darwin ได้มีชื่อเสียงระดับอมตะนิรันดร์กาล ก็ทนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ จึงล้มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และทำอัตวินิบาตกรรม ในปี 1865 ขณะอายุ 59 ปี

เมื่อถึงวันนี้โลกได้พัฒนาก้าวหน้าไปมากในทุกสาขาวิชาการ จากในอดีตเมื่อ 2,900 ปีก่อน ที่นักดาราศาสตร์ชาว Babylon สามารถพยากรณ์เหตุการณ์การเกิดจันทรุปราคาล่วงหน้าได้ ว่าจะเกิดเมื่อใด และผู้คน ณ สถานที่ใดสามารถจะเห็นอุปราคาได้ โลกก็ได้เริ่มก้าวออกจากยุคมืด เพราะหลายคนเริ่มเข้าใจที่มา สาเหตุ และผลกระทบของเหตุการณ์ต่างๆ ดีขึ้น


อีก 2,500 ปีต่อมา Galileo Galilei (1564–1642), Johannes Kepler (1571-1630) และ Isaac Newton (1642-1727) ก็ได้ร่วมกันสร้างและพัฒนาวิชากลศาสตร์ ด้วยการพบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้อธิบายเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา และอนาคตที่จะเกิดขึ้นในระบบกลศาสตร์ต่าง ๆ ได้ จนมีผลทำให้ Pierre Simon de Laplace (1749–1827) อ้างว่า ถ้าใครสามารถรู้ตำแหน่งและความเร็วของอนุภาคทุกตัวในเอกภพได้อย่างสมบูรณ์ เขาคนนั้นก็จะรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยใช้กฎการเคลื่อนที่และกฎแรงดึงดูดระหว่างมวลของ Newton เช่น รู้ว่าพายุจะเกิดเมื่อไร และแผ่นดินจะไหวเมื่อใด เป็นต้น

ทว่าความฝันและความเชื่อของ Laplace ในประเด็นนี้ ก็มิได้เป็นจริง เพราะตามปกติอนุภาคที่มีในระบบหนึ่ง ๆ จะมีมากนับ 10^24 อนุภาค และอนุภาคทุกตัวมีอันตรกิริยาต่อกัน ดังนั้นสมการการเคลื่อนที่ ๆ จะต้องใช้ในการพยากรณ์เหตุการณ์ ก็จะต้องมี 10^24 สมการด้วย และเมื่อสมการเหล่านี้เป็นสมการอนุพันธ์เชิงย่อยที่เชื่อมโยงกัน (coupled partial differential equations; coupled PDE) ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและซับซ้อนมาก จนแม้แต่ quantum computer ก็ยังมิบังอาจจะคิดแก้ เพราะต้องใช้เวลานานหลายชาติ และเหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ เราไม่จำเป็นจะต้องรู้รายละเอียดของอนุภาคทุกตัวในระบบ เพราะถึงจะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ดังนั้นการรู้เพียงว่า เมื่ออุณหภูมิต่ำกว่า 0°C น้ำบริสุทธิ์จะเป็นน้ำแข็งก็เพียงพอแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องรู้ว่าโมเลกุลน้ำตัวใดอยู่ ณ ที่ใด และเคลื่อนที่เร็วเพียงใด


พัฒนาการของความสามารถในการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดในระบบกายภาพได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ Ludwig Boltzmann (1844-1906) กับ James Maxwell (1831-1879) ได้นำแนวคิดเรื่องโอกาสความเป็นไปได้ที่อนุภาคจะมีสมบัติต่าง ๆ มาใช้ในการอธิบายและทำนายเหตุการณ์ เช่น ใช้หาค่าเฉลี่ย หาค่าโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์

ในปี 1872 Boltzmann ได้พัฒนาสมการ Boltzmann ขึ้นมา คือ แทนที่จะติดตามดูพฤติกรรมของอนุภาคแต่ละตัวในระบบ เขาใช้สมการของเขาพิจารณาสมบัติที่เป็นไปได้ของอนุภาค จนมุมมองทางสถิตินี้ นักทฤษฎีก็สามารถคำนวณหาโมเมนตัม และสภาพนำความร้อนของของเหลวได้ โดยไม่ต้องพิจารณารายละเอียดในการชนกันระหว่างอนุภาคทุกคู่

งานทฤษฎีขั้นต่อไป คือ การพิจารณาของไหลเป็นสสารที่ต่อเนื่อง คือ เป็นเนื้อที่มิได้ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็กจำนวนมาก การคำนวณในขั้นนี้ต้องใช้สมการ Euler กับสมการ Navier-Stokes จึงจะสามารถอธิบายลักษณะการไหลของของไหลได้ และสมบัติของมันได้ โดยไม่ต้องพิจารณาสมบัติของอนุภาคที่เป็นองค์ประกอบของของไหลเลย

ยิ่งเมื่อถึงยุคกลศาสตร์ควอนตัม ที่นักฟิสิกส์ใช้อธิบายและทำนายพฤติกรรมของระบบอะตอม นักวิทยาศาสตร์ก็ได้รู้เพิ่มเติมอีกว่า มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้ข้อมูลตำแหน่งและโมเมนตัมของอนุภาคใด ๆ ได้อย่างแม่นยำ 100% นี่เป็นหลักการสำคัญที่มีชื่อว่า หลักความไม่แน่นอนของ Heisenberg (Werner Heisenberg (1901-1976)) ฉะนั้นถ้ามีความผิดพลาดในข้อมูลตั้งต้นนี้ และข้อมูลถูกนำมาใช้ในระบบควอนตัมบางระบบก็อาจจะนำไปสู่ปรากฏการณ์อลวน (chaos) ที่เราไม่สามารถจะพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้แม่นยำ

ด้วยเหตุนี้คำพยากรณ์ในวิทยาศาสตร์จึงมีโอกาสที่ความผิดพลาดจะเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น เราไม่สามารถจะบอกได้อย่างมั่นใจ 100% ว่า อุณหภูมิของน้ำทะเลจะเพิ่ม 1.4-5.8 องศาเซลเซียส ภายในปี 2100 หรือเตาปฏิกรณ์ fusion ในโครงการ International Thermonuclear Experimental Reactor (ITER) จะเริ่มทำงานในปี 2050 อย่างแน่นอน ดังนั้นเวลาฟังคำพยากรณ์ใดๆ เราควรจะทราบที่มาและเหตุผลของการได้มาซึ่งคำพยากรณ์นั้น ด้วยว่า ได้มาจากใคร จากที่ใด และข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้นั้น ผ่านการวัดด้วยวิธีใด และคนพยากรณ์ได้ใช้วิธีการคำนวณเช่นไร ตลอดจนถึงควรจะรู้ด้วยว่าเปอร์เซ็นต์ของคำพยากรณ์นั้น มีความผิดพลาดมากเพียงใดด้วย

ตามปกติทั่วไป คำพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบที่ไม่มีชีวิตจะมีความแม่นยำถูกต้องดียิ่งกว่าคำพยากรณ์พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต ซึ่งการวิจัยในประเด็นหลังนี้กำลังเป็นความพยายามของนักวิชาการหลายคนที่กำลังดำเนินการอยู่


ตัวอย่างคำพยากรณ์ในระบบที่ไม่มีชีวิต ได้แก่ คำพยากรณ์ทางดาราศาสตร์ เช่นคำพยากรณ์ของ Edmond Halley (1656-1742) ซึ่งได้ทำนายว่า สุริยจักรวาลมีดาวหางดวงหนึ่งที่จะมาปรากฏตัวให้ชาวโลกได้เห็นในทุก 76 ปี

ซึ่งคำทำนายนี้ก็เป็นจริง และนับเป็นครั้งแรกที่มนุษย์ได้รู้ว่าดาวหางเป็นดาวที่มีวงโคจรเป็นวงรีที่แน่นอน และเป็นดาวบริวารดวงหนึ่งของดวงอาทิตย์ โดย Halley ได้ใช้กฎการเคลื่อนที่และใช้กฎแรงดึงดูดระหว่างมวลของ Newton ในการคำนวณ และได้ทำนายว่า ดาวหางดวงนี้จะมาปรากฏตัวให้โลกเห็น ประมาณวันคริสต์มาสของปี 1758 หรือต้นปี 1759

ครั้นเมื่อถึงวันคริสต์มาสของปี 1758 ชาวนาเยอรมันคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์สมัครเล่นด้วยชื่อ Johann Georg Palitzsch (1723-1788) ก็เป็นคนแรกที่เห็นดาวหางดวงที่ Halley ได้ทำนายไว้จริงๆ

ดังนั้นถึงแม้ Halley จะได้เสียชีวิตไปก่อนแล้วก็ตาม แต่โลกก็ได้ตั้งชื่อดาวหางดวงนั้นว่า ดาวหาง Halley เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน


การพยากรณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ได้เกิดขึ้นในปี 1915 เมื่อ Albert Einstein (1879-1955) ได้ใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปที่ตนสร้างในการทำนายว่า ถ้ารังสีของแสงจากดาวฤกษ์ที่อยู่เบื้องหลังดวงอาทิตย์ ผ่านใกล้ขอบของดวงอาทิตย์ที่มีมวลมหาศาล รังสีนั้นจะเดินทางเป็นเส้นโค้ง คือ จะเบี่ยงเบนออกจากแนวเส้นตรงเป็นมุมเล็ก ๆ ให้นักวิทยาศาสตร์สามารถจะวัดค่าได้ การเบนของแสงในลักษณะนี้ (gravitational lensing) จะทำให้เราสามารถเห็นดาวฤกษ์ที่อยู่เบื้องหลังดวงอาทิตย์ได้ โดยจะปรากฏตัวอยู่ ณ ตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งจริง และปรากฎการณ์นี้ Einstein ได้ทำนายว่าจะเห็นได้ชัดขณะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง

ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ในวันที่ 29 พฤษภาคม ปี 1919 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดเล็กน้อย Arthur Eddington (1882–1944) ได้ออกเดินทางไปที่เกาะ Principe ในอ่าว Guinea ของมหาสมุทร Atlantic เพื่อสังเกตดูและพบว่า แสงได้เดินทางเป็นเส้นโค้งจริง ๆ โดยได้เบนไปเป็นมุม 1.75 ฟิลิปดา (1 ฟิลิปดา มีค่าเท่ากับ 1/3,600 องศา) ตรงตามที่ Einstein ได้พยากรณ์ไว้ทุกประการ และค่านี้แตกต่างจากค่า 0.87 arcsecond ที่ Newton ทำนาย คือ มากเป็น 2 เท่า

นี่เป็นการยืนยันความถูกต้องครั้งแรกของคำพยากรณ์ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป และการพิสูจน์ครั้งนั้นก็ทำให้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปได้เข้ามาเป็นเสาหลัก 1 ใน 2 เสาของวิชาฟิสิกส์ยุคใหม่


ในวารสาร Nature Astronomy ฉบับวันที่ 4 เมษายน ปี 2025 นี้ James Munday แห่งมหาวิทยาลัย Warwick ในอังกฤษ ได้เสนอคำพยากรณ์ว่า จะมีดาวแคระขาว (white dwarf) คู่หนึ่ง ในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา ซึ่งขณะนี้ดาวแคระขาวคู่นั้นอยู่ห่างจากโลกประมาณ 150 ปีแสง และดาวคู่นี้จะพุ่งชนกันในอีก 23,000 ล้านปี (เอกภพมีอายุประมาณ 13,800 ล้านปี) ซึ่งจะทำให้เกิดดาว supernova ชนิด 1a

ตามปกติดาวแคระขาวจะมีมวลตั้งแต่ 0.6-1.4 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ (มวล 1.4 เท่าดังกล่าวเรียก Chandrasekhar limit) เพราะดาวแคระขาวที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 1.4 เท่า เมื่อเชื้อเพลิงนิวเคลียร์หมด จะระเบิดตัวเอง โดยการสลัดเปลือกดาวออกไปในอวกาศเป็น nebula และธาตุหนัก ส่วนแก่นดาวจะยุบตัวลงภายใต้แรงโน้มถ่วงเป็นดาวนิวตรอน ทั้งนี้เพราะเมื่อปฏิกิริยา fusion ในแก่นดาวหยุด ภายในดาวจะไม่มีแรงดันมากพอจะต้านแรงดึงดูดแบบโน้มถ่วงได้ ดาวจึงยุบตัว

แต่เหตุการณ์ดาวแคระขาวคู่มารวมตัวกันที่ระยะทางใกล้โลกแล้วยุบตัว จะเป็นครั้งแรกที่นักดาราศาสตร์ได้พบ โดยการสังเกตเห็นดาวแคระขาวที่มีรหัสชื่อว่า WDJ181058.67+311940.94 (ตัวเลขบอกตำแหน่งพิกัดของดาวในท้องฟ้า) ที่อยู่ห่างกันเป็นระยะทาง 2.5 ล้านกิโลเมตร (นับว่าใกล้กันมาก) และมีมวลรวมกัน 1.56 เท่าของดวงอาทิตย์ ซึ่งเกิน 1.4 เท่าของ Chandrasekhar limit โดยดาวคู่จะโคจรรอบกันและกัน โดยมีคาบเท่ากับ 14 ชั่วโมง และระยะห่างนี้กำลังลดลง ๆ ตลอดเวลา และดาวจะรวมกันเป็นดาว supernova ชนิด 1a ในอีก 23,000 ล้านปี

ดาวแคระขาวตามปกติเป็นดาวที่มีความหนาแน่นสูงมาก คือ 1 ล้านกรัม/ลบ.ซม. ในขณะที่น้ำมีความหนาแน่น 1 กรัม/ลบ.ซม.

นี่เป็นคำพยากรณ์ในระยะยาวมาก จึงอาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้มาก

อ่านเพิ่มเติมจาก วารสาร Nature Astronomy ฉบับวันที่ 4 เมษายน ปี 2025 ชื่อ “A super-Chandrasekhar mass type Ia supernova progenitor at 49 pc set to detonate in 23 Gyr”

ในโอกาสหน้า จะได้กล่าวถึงวิธีการพยากรณ์ในวิทยาศาสตร์สาขาอื่นๆ ตลอดจนถึงการพยากรณ์ในมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์


ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์
ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน,ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์




กำลังโหลดความคิดเห็น