เทพนิยายของชาวอาหรับเรื่อง “หนึ่งพันหนึ่งราตรี” (One Thousand and One Nights) มีการกล่าวถึงการผจญภัยในดินแดนมหัศจรรย์ของกะลาสี Sinbad ที่ต้องเผชิญสัตว์อสูรมากมายหลายชนิด เช่น งูทะเลยักษ์ มนุษย์กินคน วาฬ กับนกยักษ์ และทุกครั้งที่เข้าตาจน Sinbad จะสามารถเอาตัวรอดได้ด้วยความกล้าหาญ และด้วยสติปัญญาที่ชาญฉลาดของตนเอง เช่น เมื่อครั้งที่ต้องเผชิญนกยักษ์ Roc ที่มีขนาดใหญ่มาก จนกรงเล็บของมันสามารถจับช้างทั้งตัวไปกินเป็นอาหารได้ Sinbad ซึ่งได้ทำให้ Roc โกรธ เพราะเพื่อนกะลาสีที่เดินทางมาด้วยกันได้ไปทำลายไข่ของนกยักษ์ จึงต้องแอบใช้เชือกผูกตัวเองเข้ากับขานก เพื่อให้พาบินหนีออกจากเกาะนรก
นกยักษ์ที่มีในเทพนิยายเป็นนกที่บินเก่ง เพราะใครๆ ก็เชื่อว่า อะไรก็ตามที่ขึ้นชื่อว่านก จะต้องบินได้ แต่นกยักษ์ในโลกของความเป็นจริง บินไม่ได้ (ตัว pterosaur เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีปีกและบินได้ จึงไม่ใช่นก)
ในอดีต โลกเคยมีนกยักษ์หลายชนิด เช่น นกโมอา (moa) ที่สูงประมาณ 3.5 เมตร (คนธรรมดาสูงไม่เกิน 2 เมตร) และหนักประมาณ 230 กิโลกรัม นกชนิดนี้เคยตั้งถิ่นอาศัยอยู่ที่เกาะ New Zealand ส่วน นกช้าง (elephant bird) ที่สูงประมาณ 3 เมตร และหนักประมาณ 500 กิโลกรัมนั้น เคยอาศัยอยู่ที่เกาะ Madagascar
โดยนกทั้งสองชนิดนี้ ได้สูญพันธุ์ไปเป็นเวลานานมากแล้ว เช่น นกโมอา ได้สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ประมาณปี 1400 และนกช้างตัวสุดท้ายก็ได้ตายจากโลกไปตั้งแต่ปี 1000 คงเหลือทิ้งไว้แต่ซากกระดูกจำนวนมากให้โลกได้ดูต่างหน้า
สำหรับนกช้างนั้นยังได้ทิ้งไข่นกที่มีขนาดยาวถึง 34 เซนติเมตร และมีเส้นรอบวงที่ยาว 1 เมตร จึงคิดเป็นปริมาตร 8.5 ลิตร ซึ่งนับว่ามีขนาดใหญ่เทียบเท่าปริมาตรของไข่ไก่ 150 ฟอง ไว้เป็นอนุสรณ์
การศึกษาประวัติความเป็นมาของนกโมอานั้น ได้มีการบันทึกว่าที่หุบเขาพีระมิด (Pyramid Valley) ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคตอนกลางของเกาะใต้ และมีชื่อเรียกว่า Canterbury ได้อยู่ห่างจากเมือง Christchurch ประมาณ 80 กิโลเมตร ปัจจุบันเป็นดินแดนที่มีชื่อเสียงมากว่า เป็นสถานที่มีสิ่งน่าสนใจทางธรณีวิทยาและบรรพชีวินวิทยามาก เพราะได้มีการพบฟอสซิลของพืชและสัตว์ดึกดำบรรพ์หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ เป็นสุสานขนาดใหญ่ของซากนกโมอา (moa) จำนวนมาก และเป็นแหล่งชุมนุมในอดีตของนกหลายสายพันธุ์
ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1938 เมื่อ Joseph Hogden กับบุตรชาย Robert ซึ่งเป็นเกษตรกร ขณะกำลังขุดหลุมใกล้หนองน้ำ เพื่อฝังศพม้าเลี้ยงที่ได้ตายลง คนทั้งสองได้เห็นกองกระดูกจำนวนมาก ที่ล้วนมีรูปร่างประหลาด แต่ไม่ใช่กระดูกคน จึงคิดไปว่าคงเป็นกระดูกไดโนเสาร์ จินตนาการในลักษณะนี้ได้ชักนำ Hogden ทำรายงานเสนอต่อเจ้าหน้าที่ของสมาคมชีววิทยาแห่งนิวซีแลนด์ให้จัดส่งคนมาวิเคราะห์กระดูก
ครั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ได้ศึกษา สำรวจ และวิเคราะห์หลักฐานทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ก็ได้ข้อสรุปว่า มันเป็นโครงกระดูกของนก moa ที่ได้สูญพันธุ์ไปจากแผ่นดินนิวซีแลนด์ตั้งแต่เมื่อหลายศตวรรษก่อนนี้ นอกจากจะได้พบโครงกระดูก 183 โครง แล้วนักบรรพชีวินวิทยาก็ยังได้พบโครงกระดูกของสัตว์อื่น ๆ เช่น เพนกวินยักษ์และปลาโบราณด้วย สำหรับกระดูกที่ Hogden พบนั้น เป็นของนก moa สายพันธุ์ Dinornis giganteus ซึ่งเป็นนกโมอาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่กระดูกส่วนหัวของซากนกได้หายไป คงเป็นเพราะถูกนกอินทรี Haast จิกกัดและกินจนหมด ขณะเท้านกโมอาเคราะห์ร้ายตัวนั้นตกหลุมโคลนในบริเวณใกล้หนองน้ำ
การค้นพบครั้งนั้นนับเป็นการค้นพบทางชีววิทยาที่สำคัญมากที่สุดครั้งหนึ่ง การวิเคราะห์ซากอย่างละเอียด ทำให้นักวิชาการในปัจจุบันรู้ว่า ตัวนกโมอาตามปกติมีความสูงตั้งแต่ 4 ถึง 4.5 เมตร และหนักตั้งแต่ 180 ถึง 250 กิโลกรัม ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ และนกโมอาไม่มีปีกที่จะใช้บิน และไม่มีแม้แต่กระดูกปีก การไม่มีปีกทำให้บินไม่ได้ แต่มันก็สามารถหลบหนีศัตรูได้ โดยใช้วิธีวิ่งหนี เพราะมันมีขา 2 ขาที่แข็งแรง และขาแต่ละข้างมีนิ้วเท้า 3 นิ้ว ขนนก moa มีสีน้ำตาล ลำคอที่ยาวและยืดได้เหมือนยีราฟ ทำให้มันสามารถกินใบไม้ที่อยู่สูง-ต่ำได้หลายระดับ ไข่นก moa ยาว 24 เซนติเมตร และกว้าง 18 เซนติเมตร จึงมีปริมาตรประมาณ 7 ลิตร และไข่หนักตั้งแต่ 4 ถึง 5 กิโลกรัม จึงมีขนาดใหญ่กว่าไข่นกกระจอกเทศเสียอีก ตามปกติ moa ชอบทำรังบนพื้นดิน และวางไข่ครั้งละฟอง เมื่อลูกนกอายุยังน้อย พ่อแม่นกจะช่วยกันดูแล และหาอาหารมาเลี้ยง
ปริศนาที่ค้างคาใจคนทั้งโลกเกี่ยวกับ moa คือ นกชนิดนี้สูญพันธุ์ด้วยสาเหตุใด
คำตอบสำหรับเรื่องนี้มีได้หลายสาเหตุ โดยแต่ละสาเหตุได้มีบทบาทมากและน้อยแตกต่างกัน ตามกาละและเทศะของเหตุการณ์
กระนั้นสาเหตุหลักก็มาจากข้อจำกัดทางชีววิทยา เพราะนก moa ตัวเมียวางไข่ครั้งละฟอง และมันต้องมีอายุอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป จึงจะวางไข่ได้ และจะเจริญพันธุ์ขณะอายุไม่เกิน 12 ปี การให้กำเนิดลูกนก moa ที่มีจำนวนที่น้อยเช่นนี้ และการที่นกต้องใช้เวลานานกว่าจะสืบพันธุ์ได้เต็มที่ ทำให้จำนวนลูกนกที่เกิดใหม่ไม่สามารถเทียบเคียงได้กับจำนวนพ่อแม่นกที่ถูกฆ่าไปตลอดเวลา โดยชาวพื้นเมือง Maori ชอบนำเนื้อนก moa เนื้อแมวน้ำ และเนื้อเพนกวิน ไปบริโภคเป็นอาหาร
ด้วยเหตุนี้ จากนก moa ที่เคยมีจำนวนมากนับแสนตัว ผลการคำนวณโดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ แสดงให้เห็นว่า ถ้ามีชาว Maori 1,000 คน และทุกคนฆ่านกทุกสัปดาห์ นก moa ก็จะสูญพันธุ์ภายในเวลาเพียง 160 ปี เท่านั้นเอง
เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้นก moa ต้องสูญพันธุ์ก็คือ มันเป็นนกที่ไม่เคยเผชิญมนุษย์มาก่อน ดังนั้นมันจึงไม่เคยมีประสบการณ์ร้ายกับมนุษย์ ทำให้เวลาชาวพื้นเมืองเดินมาหาเพื่อทำร้าย มันก็ไม่เคยคิดจะวิ่งหนี การไล่ล่าฆ่ามันจึงเป็นเรื่องง่าย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อกัปตัน James Cook (1728–1779) เดินทางด้วยเรือ Endeavour ถึง New Zealand ในปี 1769 Cook จึงไม่ได้รายงานการเห็นนก moa บนเกาะ ทั้งนี้ก็เพราะมันได้สูญพันธุ์ไปแล้วนั่นเอง
ในปี 2002 R.N. Holdaway แห่งพิพิธภัณฑ์ Canterbury ใน New Zealand ได้เรียบเรียงหนังสือชื่อ “The Lost World of the Moa: Prehistoric Life of New Zealand” ซึ่งได้กล่าวถึงบรรดาสิ่งมีชีวิตและสภาพธรรมชาติของ New Zealand ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ เพื่อค้นหาสาเหตุการสูญพันธุ์ของนก moa และได้พบว่าสาเหตุสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การระเบิดของภูเขาไฟบนเกาะ การสูญเสียป่า ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยโดยฝีมือของมนุษย์ และเมื่อ 7 ล้านปีก่อน โลกเคยมี moa มากถึง 26 สายพันธุ์ แต่ปัจจุบันจำนวนสายพันธุ์ที่โลกมี ได้ลดลงเหลือเพียง 9 สายพันธุ์เท่านั้นเอง
ใน วารสาร New Zealand Journal of Geology and Geophysics ฉบับวันที่ 10 เมษายน 2025 Daniel Thomas แห่งมหาวิทยาลัย Auckland ได้รายงานว่าที่อ่าว Mosquito ซึ่งตั้งอยู่ที่เกาะเหนือ ทีมวิจัยของเขาได้พบฟอสซิลที่แสดงรอยตีนของนกโมอายุคดึกดำบรรพ์ที่มีอายุ 1 ล้านปี จำนวน 5 รอย ปรากฏอยู่บนหินทรายบนชายหาด ข้อมูลที่ได้ ณ วันนี้แสดงให้เห็นว่า มันอาจจะเป็นนก moa สายพันธุ์ใหม่ที่โลกยังไม่รู้จักมาก่อนก็ได้
การวิเคราะห์ฟอสซิลได้ช่วยให้นักชีววิทยารู้ว่า นก moa เจ้าของรอยตีนดังกล่าว มีความสูงประมาณ 80 เซนติเมตร หนักประมาณ 29 กิโลกรัม และเดินได้เร็วประมาณ 1.7 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (คือ เดินเร็วกว่าคนเพียงเล็กน้อย) นี่จึงเป็นความเร็วในการเดินเล่นตามชายหาดของนก moa
ข้อมูลอายุของรอยตีนยังแสดงให้เรารู้อีกว่า เหตุการณ์เดินของนก moa ที่อ่าวยุงในครั้งนั้นได้เกิดขึ้น ณ เวลาปลายยุคน้ำแข็ง Pleistocene เมื่อ 11,700 ปีก่อน ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่า นก moa ในยุคนั้นได้เคยใช้ชีวิตร่วมกับชาว Maori จนกระทั่งถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17
หนทางเดียวที่จะขจัดข้อกังขาทั้งหมดได้ว่ามันเป็นนก moa สายพันธุ์ใหม่หรือไม่ คือ นักชีววิทยาต้องหาซากรอยตีนนก moa เพิ่มเติม รวมทั้งหาโครงกระดูกนกใหม่ ๆ แต่จะได้จากที่ใดหรือเมื่อใด ไม่มีใครสามารถจะบอกได้
นอกจากนกยักษ์ moa ที่เคยมีถิ่นอาศัยอยู่ที่ New Zealand แล้ว ในอดีตโลกก็มีนกช้าง (elephant bird) ที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะ Madagascar และนกช้างก็ได้สูญพันธุ์ไปนานแล้วเช่นกัน
Madagascar เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก คือ รองจาก Greenland New Guinea และ Borneo เกาะนี้มีพื้นที่ประมาณ 6 แสนตารางกิโลเมตร มีช่องแคบ Mozambique ที่กว้างประมาณ 425 กิโลเมตร คั่นระหว่างเกาะ Madagascar กับทวีปแอฟริกา ปัจจุบันนี้เกาะมีชื่อเสียงว่าเป็นดินแดนที่มีฟอสซิลสัตว์ดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่จำนวนมาก เช่น ไดโนเสาร์ ตัว lemur (ทั้ง lemur ยักษ์และ lemur แคระ) มีกบมะเขือเทศ (tomato frog) และกบต้นไม้ (tree frog) ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ตลอดเวลา และได้มีการพบฟอสซิลของนกช้างด้วย ดังนั้น Madagascar จึงอาจเปรียบเทียบได้กับเกาะ Galapagos ในมหาสมุทรแปซิฟิก
เมื่อนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศสชื่อ Philibert Commerson (1727–1773) เดินทางถึง Madagascar เป็นครั้งแรกในปี 1771 เขาถึงกับอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า นี่คือดินแดนที่มนุษย์ไม่เคยมาเยือนมาก่อน คือ เป็นเกาะที่ถูกโลกลืม เพราะบนเกาะมีพืชและสัตว์หลายชนิดที่นักชีววิทยาไม่สามารถพบเห็นได้ในดินแดนอื่น นอกจากที่ Madagascar เพียงแห่งเดียว นี่เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นเพราะเกาะ Madagascar ได้ตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวตามลำพังเป็นเวลานานหลายล้านปี จึงไม่ถูกสัตว์ร้ายจากผืนแผ่นดินใหญ่มาบุกรุก ด้วยเหตุนี้สัตว์ที่อาศัยอยู่บนเกาะ จึงมีเส้นทางวิวัฒนาการการดำรงชีวิตของมันได้อย่างราบรื่น โดยไม่มีสัตว์ใดมารบกวน
หลักฐานทางธรณีวิทยาที่พบบนเกาะได้แสดงให้เห็นว่าในยุค Mesozoic (เมื่อ 252-200 ล้านปีก่อน) เกาะ Madagascar เคยอยู่ติดกับมหาทวีปใหญ่ Gondwana และการเลื่อนตัวของเปลือกทวีปในเวลาต่อมา ได้ทำให้ Madagascar แตกแยกออกไปจากทวีปใหญ่ จนถึงยุค Cretaceous คือ เมื่อ 130 ล้านปีก่อน Madagascar จึงได้เคลื่อนตัวมาตั้งอยู่ที่เส้นรุ้ง 30 องศาใต้ จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบัน ตำแหน่งของ Madagascar ก็คือ ที่เส้นรุ้ง 16 องศาใต้
ดังนั้นการอพยพย้ายถิ่นอาศัยของมนุษย์จากทวีป Africa ไปยังเกาะ Madagascar ก็เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2,400 ปีก่อน การเริ่มทำเกษตรกรรมและการตัดไม้ทำลายป่าของชาวเกาะได้เริ่มรบกวน และทำลายถิ่นอาศัยของสรรพสัตว์บนเกาะ ซึ่งเหตุการณ์นี้นับว่ามีผลกระทบมาก จนทำให้นกช้างและตัว lemur ยักษ์ต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุด
นกช้าง (Aepyornis maximus) เป็นนกที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก เพราะหนักถึง 450 กิโลกรัม ซากโครงกระดูกของนกช้างที่นักชีววิทยาขุดพบ ได้แสดงให้เห็นว่ามันมีขาใหญ่ ที่แข็งแรง และตีนแต่ละข้างมี 3 นิ้ว ขาที่แข็งแรงแสดงว่า มันสามารถวิ่งได้ไกล แต่ปีกที่มีขนาดเล็ก ทำให้มันบินไม่ได้ อนึ่งเวลาวิ่ง มันจะไม่กระพือปีกไป-มาเหมือนไก่ ชาวบ้านเรียกนกช้างว่า borombe และมีความเชื่อว่า ใครที่ได้พบเห็นไข่นกช้าง แล้วไม่แตะต้องไข่ แม่ของคนที่เห็นไข่เป็นคนแรก จะเสียชีวิตในเวลาอีกไม่นาน และถ้าใครพบไข่แล้ว ไม่นำไข่นั้นไปถวายเทพ Zanakary พ่อของคนที่พบไข่ ก็จะตาย อนึ่งในพิธีเทพบูชา คนที่จัดพิธีต้องฆ่าไก่ แกะ และวัวอย่างละตัว เพื่อนำเลือดไปราดบนไข่ แล้วทุกคนในหมู่บ้านก็จะอยู่เย็นเป็นสุข
ความเชื่อเช่นนี้ ได้มีส่วนทำให้ไข่นกเป็นจำนวนมากถูกนำไปบริโภค ซึ่งมีผลทำให้จำนวนประชากรนกช้างลดลง ๆ ตลอดเวลา จนได้สูญพันธุ์ไปในที่สุด เพราะนอกเหนือจากการใช้ไข่และเนื้อเพื่อบริโภคแล้ว เปลือกไข่นกช้างก็ยังสามารถใช้ทำภาชนะใส่อาหารและน้ำได้ หรือใช้ทำของที่ระลึกสำหรับขายนักท่องเที่ยวด้วย
ตามปกตินกช้างชอบกินพืช ผลไม้ และใบไม้เป็นอาหาร และชอบเดินหากินอย่างโดดเดี่ยว คือ ไม่ชอบออกหาอาหารแบบเป็นฝูง ได้สูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณปี 1600 นี้เอง
การวิเคราะห์ DNA ของนกช้าง แสดงว่า DNA ของมันมีความใกล้เคียงทางพันธุกรรมกับนก kiwi ซึ่งเป็นนกท้องถิ่นของ New Zealand ทั้ง ๆ ที่เกาะทั้งสองอยู่ห่างไกลกันประมาณ 10,000 กิโลเมตร
ในปี 2016 James Hansford นักบรรพชีวินวิทยา แห่งสมาคม Zoological Society of London (ZSL) ได้รายงานการเห็นรอยของมีคมบาดปรากฏอยู่บนกระดูกขา ที่ยาว 2 เมตรของนกช้าง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันเป็นรอยที่เกิดจากการกระทำของคน ขณะใช้ของมีคมหั่นเนื้อนกช้าง
การวัดอายุของกระดูกนก โดยใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ C-14 แสดงให้เห็นว่า กระดูกนกมีอายุประมาณ 10,500 ปี
นี่จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์กับนกช้าง ได้เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันบนเกาะเมื่อ 10,000 ปีก่อน และเพราะนกช้างได้สูญพันธุ์ในอีก 7,500 ปีต่อมา ตัวเลขเหล่านี้จึงแสดงให้เห็นอีกว่า มนุษย์มิได้เป็นตัวการสำคัญมากในการฆ่าสัตว์จนสูญพันธุ์
ในปี 1966 Paul Martin (1928–2010) แห่งมหาวิทยาลัย Arizona ในสหรัฐฯ ได้เสนอ overkill hypothesis ที่มีใจความว่า มนุษย์รุ่นแรก ๆ ที่เดินทางถึงทวีปอเมริกาเหนือ เป็นผู้ที่ทำให้สัตว์ใหญ่ เช่น แมมมอธ สลอธ (sloth) ต้องสูญพันธุ์ในปลายยุคน้ำแข็ง Pleistocene เมื่อ 13,000 ปีก่อน โดย Martin ได้ใช้คำว่า blitzkrieg ซึ่งแปลว่า การล่าสัตว์อย่างรวดเร็ว และฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมากจนเกินพอ เป็นกิจกรรมที่ได้ทำให้สัตว์สูญพันธุ์
ตามคำจำกัดความนี้ นกช้างจึงไม่ได้สูญพันธุ์ เพราะเหตุการณ์ blitzkrieg และสาเหตุหลักที่ทำให้นกช้างสูญพันธุ์ ก็คือการที่มนุษย์เก็บไข่นกไปบริโภคมาก จนทำให้จำนวนประชากรนกลดลงตลอดเวลา นอกจากนี้การมีประชากรชาวเกาะเพิ่มมากขึ้น ๆ ก็มีส่วนทำให้ที่อยู่อาศัยของนกในป่าถูกรบกวน จนมันไม่มีสถานที่จะสร้างรัง หรือเลี้ยงลูกอ่อน ส่วนกรณีที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจจะทำให้นกช้างสูญพันธุ์นั้น ไม่ปรากฏว่ามีหลักฐานใด ๆ สนับสนุน
จึงเป็นว่าในขณะที่ blitzkrieg ใช้ได้ในการอธิบายสาเหตุการสูญพันธุ์ของนก moa แต่สมมติฐาน blitzkrieg นี้ กลับใช้ไม่ได้ในกรณีของนกช้าง ดังนั้นนักชีววิทยาจึงต้องหาหลักฐานกระดูกนกช้างมาเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านทฤษฎีการสูญพันธุ์ของสัตว์ใหญ่บนเกาะ
นกยักษ์อีกชนิดหนึ่งที่ได้สูญพันธุ์ไปแล้วเช่นกัน คือ เพนกวินยักษ์ ที่เคยอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ใน Antarctica และ New Zealand เมื่อ 60 ถึง 30 ล้านปีก่อน อันเป็นช่วงเวลาในยุค Paleocene-Eocene ที่ไดโนเสาร์เพิ่งสูญพันธุ์ไปไม่นาน
การพบฟอสซิลอายุ 36 ล้านปีของเพนกวินยักษ์ (Inkayacu paracasensis) ที่ได้รับฉายาว่าเป็น Water King เพราะมันสามารถว่ายน้ำได้เร็วและคล่องแคล่วมาก โดยทีมวิจัยแห่ง Museo de Historia Natural ที่เมือง Lima ใน Peru แสดงให้เห็นว่า มันสูงตั้งแต่ 1.6 ถึง 1.8 เมตร และหนักประมาณ 100 กิโลกรัม จึงนับว่าสูงประมาณ 2 เท่า และหนักประมาณ 4 เท่าของเพนกวินจักรพรรดิ (Emperor penguin) ในปัจจุบัน
สำหรับสาเหตุที่ทำให้มันต้องสูญพันธุ์นั้น ก็แตกต่างจากสาเหตุการสูญพันธุ์ของนก moa และนกช้าง เพราะมันชอบอาศัยอยู่ตามริมทะเลในแถบขั้วโลกใต้ที่มีน้ำแข็ง และอากาศหนาว ซึ่งเป็นถิ่นที่มนุษย์ไม่ชอบอาศัยอยู่ การชอบว่ายน้ำ และว่ายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มันสามารถหนีศัตรูได้ดี แต่มันก็ยังว่ายน้ำไม่ได้ดีและเก่งเท่าวาฬเพชฌฆาต ฉลาม โลมา และแมวน้ำ ดังนั้นมันจึงถูกสัตว์ที่คล่องแคล่วกว่าเหล่านี้แย่งอาหาร และกัดกินมันเป็นอาหาร ตลอดจนถึงกินไข่ของมันด้วย
ครั้นเมื่อสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิของอากาศเปลี่ยนแปลงมาก และน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น การเพิ่ม-ลดระดับน้ำทะเล มีผลกระทบต่อการหาอาหารและการสร้างครอบครัวของมันมาก
เหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้เพนกวินยักษ์สูญพันธุ์
สรุปว่าเราทุกวันนี้ก็ต้องทำใจและต้องยอมรับการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติรูปแบบหนึ่งที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องเผชิญ และต้องต่อสู้เพื่อการอยู่รอด ในเมื่อ 99% ของสิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่บนโลกนี้ ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว และสิ่งมีชีวิตที่เราเห็นในทุกวันนี้ก็เป็นเพียง 1% ของชีวิตที่เคยมีเท่านั้นเอง ทำนองมีเกิดก็มีดับ
อ่านเพิ่มเติมจาก Chinsamy, Anusuya; Angst, Delphine; Canoville, Aurore; Göhlich, Ursula B (1 June 2020). "Bone histology yields insights into the biology of the extinct elephant birds (Aepyornithidae) from Madagascar". Biological Journal of the Linnean Society. 130 (2): 268–295. doi:10.1093/biolinnean/blaa013. ISSN 0024-4066.
ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์
ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน,ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์