เมื่อใดก็ตามที่เราให้ดินสอแก่เด็กเล็กๆ พวกเขามักใช้ดินสอลากเส้นไป - มาบน กระดาษ ทำให้เห็นเป็นลวดลายที่ดูแทบไม่มีความหมายอะไรเลย แต่สำหรับตัวเด็กเอง ลายขีดเขียนเหล่านั้น อาจจะมีความหมายบางอย่างสำหรับเขาก็ได้
ครั้นเมื่อเด็กเติบใหญ่ จิตวิญญาณของความเป็นศิลปินที่คนทุกคนมี (มากบ้าง น้อยบ้าง) ก็อาจดลใจให้คนบางคนวาดภาพสิ่งที่ตนประสบพบมาในชีวิต เช่น ภาพสัตว์ที่ตนเห็นและล่าเป็นอาหารในป่า ลงบนผนังหรือเพดานถ้ำ และเมื่อมนุษย์มีพัฒนาการทางศิลปะมากขึ้น ศิลปินก็มักแสดงความสามารถด้านนี้ ลงบนผนังหรือเพดานของศาสนสถานที่ชุมชนนับถือ เป็นรูปวาดทั้งที่เหมือนจริง หรือเป็นรูปในจินตนาการก็ได้
แต่เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนนี้ ได้มีชนเผ่าหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ที่นิยมรังสรรค์งานศิลป์ลงบนพื้นดิน ด้วยการขุดลอกผิวหน้าของดินที่มีสีคล้ำออก เพื่อให้เห็นผิวชั้นล่างของดินที่เป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาลอ่อน จนเกิดเป็นร่องลึก แล้วนำก้อนหินเล็ก ๆ มาเรียงในแอ่ง การขุดลอกดินเป็นลายเส้นตรงบ้างและเป็นเส้นคดบ้าง โดยลากให้เป็นเส้นทางยาวติดต่อกันนี้ ทำให้เกิดภาพสัตว์ คน ต้นไม้ ฯลฯ ที่บางภาพมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร จนทำให้คนธรรมดาที่ยืนดูภาพเหล่านี้บนพื้นดิน ไม่สามารถจะบอกได้ว่ามันเป็นภาพของอะไร ของแมงมุม หรือของนก ดอกไม้ หรือคน จนกระทั่งคน ๆ นั้นได้ขึ้นไปดูภาพจากที่สูง
ปัจจุบันโลกรู้จักลายเส้นที่วาดบนพื้นดินเป็นธรณีศิลป์นี้ ในนามลายเส้น Nazca ความอลังการงานสร้างที่ไม่มีใครในโลกสามารถทำได้เหมือน และที่ชาว Nazca ทำไปอย่างไม่เหมือนใครนี้ ได้ทำให้นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีทั้งหลายรู้สึกตื่นตา ตื่นใจ และประทับใจในผลงานมาเป็นเวลานานกว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว เพราะทุกคนต่างก็สนใจใคร่จะรู้และเข้าใจว่า ใครเป็นคนสร้างศิลาศิลป์ สร้างขึ้นเมื่อใด และเพื่อใคร
ความยิ่งใหญ่และสำคัญของลายเส้น Nazca ได้ทำให้องค์การ UNESCO ประกาศยกย่องและยอมรับเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1994
สำหรับความเป็นมาของการพบลายเส้น Nazca มีดังนี้ คือ
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อนายพล Francisco Pizarro (1478-1541) แห่งสเปน กับกองทหารล่าอาณานิคม บุกเข้ายึดครองอาณาจักร Inca ได้อย่างง่ายดาย โดยได้สังหารจักรพรรดิ Atahualpa เมื่อปี 1532 ด้วยการใช้กองทหารสเปนเพียง 200 คน และใช้วิธีปลุกปั่นให้ชาว Inca แตกสามัคคีกัน ครั้นเมื่อได้รับแรงสนับสนุนจากชนพื้นเมืองอื่น ๆ ที่ถูกทหาร Inca กดขี่ อาณาจักร Inca จึงล่มสลาย แต่ในที่สุด Pizarro ก็ถูกศัตรูลอบสังหารในปี 1541 แต่ตลอดเวลาที่สเปนยึดครองอาณาจักร Inca นายพล Pizarro มิได้เคยเอ่ยถึงธรณีศิลป์ของชาว Nazca เลย
จนกระทั่งถึงปี 1553 Pedro Cieza de Leon (1518-1554) ซึ่งเป็นนายทหารสเปนอีกท่านหนึ่ง ได้ริเริ่มการสำรวจศึกษาสภาพทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมของชาวอินเดียนเผ่าต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ในหนังสือ “Chronicle of Peru” ที่นายทหาร de Leon เรียบเรียงเมื่อปี 1540 นั้น มีการกล่าวถึงประวัติของอาณาจักร Inca หลังจากที่ถูกทหารสเปนเข้ายึดครอง ตลอดจนถึงการศึกษาสภาพทางภูมิศาสตร์ของดินแดนต่าง ๆ ในแถบนั้น และได้อ้างถึงประโยชน์ของลายเส้น Nazca ที่เขาได้เห็นเป็นครั้งแรกว่า เป็นเส้นทางเดิน (ถนน) ของชาวอินคา
แต่ก็ไม่มีใครสนใจกับข้อสังเกตนี้ จนกระทั่งปี 1927 นักประวัติศาสตร์ชาวเปรู ชื่อ Toribio Mejía Xesspe (1896-1983) ก็ได้เป็นบุคคลแรกที่ลงมือศึกษาลายเส้น Nazca อย่างจริงจัง ด้วยการเดินสำรวจลายเส้นจริง ตลอดจนได้ศึกษาอารยธรรมของชนเผ่าอื่น นอกเหนือจากอารยธรรม Nazca เช่น อารยธรรม Paracas กับ Chavín ที่อยู่ใกล้เคียง
งานวิจัยนี้ได้รับการสืบสานต่อโดย Maria Reiche (1903–1998) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันที่มีความสนใจรองทางด้านโบราณคดี เพราะเธอเคยทำงานร่วมกับ Paul August Kosok (1896-1959) อย่างได้ประสบความสำเร็จดีมาก จนทำให้โลกรู้จัก Nazca Lines และอารยธรรมของชนโบราณที่เคยอาศัยอยู่ในเปรูตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน
Nazca เป็นชื่อของดินแดนที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ Peru และอยู่ทางเหนือของ Chile ชายฝั่งทางตะวันตกของดินแดนนี้อยู่ติดกับมหาสมุทร Pacific และพรมแดนทางตะวันออกอยู่ติดกับเทือกเขา Andes จึงมีพื้นที่ทั้งหมดโดยประมาณ 500 ตารางกิโลเมตร และเป็นดินแดนที่แห้งแล้งมาก เพราะที่นี่มีฝนตกน้อยกว่า 3 เซนติเมตร/ปี อันเป็นผลสืบเนื่องจากการมีเทือกเขา Andes คั่นลมมรสุมที่พัดพาฝนจากลุ่มแม่น้ำ Amazon มิให้นำฝนมาตกที่ Nazca แต่การมีแม่น้ำ Río Grande, Río Nazca และ Río Palpa ไหลผ่าน ได้ทำให้ชุมชน Nazca สามารถสร้างอารยธรรมของตนได้ดี
ชาว Nazca รู้จักการทำเกษตรกรรม ปลูกฝ้าย เลี้ยงสัตว์ เช่น ตัว llama, alpaca และ vicuna ตลอดจนเป็ด หมู รู้จักทอผ้าฝ้ายสำหรับสวมใส่ รู้จักใช้ยาสมุนไพร ปลูกมันฝรั่ง ถั่ว quinoa สับปะรด ปลูกต้น coca และรู้จักทำเบียร์จากข้าวโพด (chicha)
ข้อสังเกตหนึ่งเกี่ยวกับผลงานหัตถศิลป์ของชาว Nazca คือ มีสไตล์ที่นับว่าโดดเด่นละเอียดและแปลกมาก เพราะช่างทอผ้าชาว Nazca ทอผ้าฝ้ายด้วยฝีมือที่ดีกว่าช่างทอชาวยุโรปในคริสตศตวรรษ์เดียวกันที่ 16 เสียอีก โดยสีที่ใช้ย้อมผ้านั้นมีมากถึง 190 สี และผ้าที่ทอมีรายละเอียดและลวดลายที่สวยงามสำหรับสวมใส่ ตามปกติชาว Nazca นิยมใช้ผ้าห่อศพหรือพันรอบตัวมัมมี่เป็นผ้าที่มีลายทอสวยงาม นอกจากนี้ก็รู้จักทำเครื่องปั้นดินเผา โดยการวาดภาพลงบนภาชนะเป็นลวดลายที่แสดงวิถีชีวิต ตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดา (ผู้หญิงตั้งครรภ์จะใช้วิธีคุกเข่าคลอด) และภาพที่วาดก็เหมือนกับภาพลายเส้น Nazca ด้านทหารนิยมใช้หอกในการทำสงคราม โดยเวลารบชนะศึก แม่ทัพ Nazca มักจะตัดศีรษะของผู้นำกองทัพของศัตรู และนิยมผลักเหล่าเชลยที่กระด้างกระเดื่องให้ตกจากหน้าผาสูง
เมื่อ Paul Kosok (1896-1959) นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน เริ่มศึกษาวิธีการทำเกษตรกรรม โดยใช้ระบบชลประทานของชาว Peru โบราณ ในปี 1939 นั้น เขาใช้วิธีการถ่ายภาพพื้นดินจากที่สูง และได้บังเอิญเห็นลายเส้น Nazca จำนวนมาก ปรากฏเป็นรูปอยู่บนเนินทรายและเนินเขา จึงคิดว่าเส้นทางการวางตัวของเส้นตรงเหล่านี้ ชี้บอกวันเวลาที่สำคัญทางดาราศาสตร์ จึงได้กล่าวปรารภว่า ลายเส้น Nazca คงเป็นปฏิทินทางดาราศาสตร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเป็นแน่
ผลงานการเรียบเรียงเป็นหนังสือชื่อ “Life, Land and Water in Ancient Peru” ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 1965 นับเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่สุดของ Kosok
ในเวลาต่อมา การร่วมมือกับ Maria Reichen ได้ทำให้การศึกษา Nazca Lines อย่างละเอียดเป็นงานทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ชิ้นหนึ่งของเปรู จนทำให้รัฐบาลเปรูได้ประกาศให้ลายเส้น Nazca เป็นมรดกสำคัญของชาติ และเมื่อถึงปี 1994 UNESCO ก็ได้ประกาศยกย่อง Nazca Lines ว่าเป็นมรดกโลก
การศึกษาความสำคัญของลายเส้น Nazca ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาได้ข้อมูลว่า ลายเส้นที่ปรากฏเป็นรูปเรขาคณิตมีประมาณ 400 รูป (รูปสามเหลี่ยม, สี่เหลี่ยมผืนผ้า และสี่เหลี่ยมคางหมู ฯลฯ) และอีกประมาณ 220 รูป เป็นรูปสัตว์กับพืช
โดยรูปที่มีชื่อเสียง ได้แก่ รูปนก hummingbird แมงมุม วาฬเพชรฆาต สุนัข นกเค้าแมว จิ้งเหลน ตัว llama และต้นไม้ รูปเหล่านี้มีขนาดใหญ่ต่าง ๆ กัน รูปที่เป็นเส้นตรงอาจจะมีความยาวถึง 10 กิโลเมตร และรูปส่วนใหญ่มีขนาดกว้างตั้งแต่ 15-400 เมตร รูปเหล่านี้สามารถคงสภาพอยู่ได้ เพราะอยู่ในทะเลทราย อันเป็นสถานที่ที่ไม่ค่อยมีนักทัศนาจรมายุ่งเกี่ยว อีกทั้งอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งมาก มักทำให้ไม่มีฝนตก ภาพลายเส้น Nazca จึงคงสภาพอยู่ได้นานนับพันปี
ในปี 1953 William Duncan Strong (1899–1962) ได้ใช้เทคโนโลยีคาร์บอน-14 (C-14) วัดอายุของรูปต่าง ๆ ของลายเส้น Nazca และพบว่า ลวดลายต่างๆ ได้ถูกสร้างขึ้น ณ เวลาที่ต่างกัน เช่น รูปปลา ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 800 ปีก่อนคริสตกาล รูปเกลียวก้นหอย เมื่อประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล และรูปสาหร่าย เมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล นอกจากนี้ชาว Nazca ก็ยังรู้จักวิธีสร้างลายเส้นเป็นภาพสัตว์ ก่อนจะรู้จักวิธีสร้างลายเส้นรูปเรขาคณิตด้วย
สำหรับสาเหตุการสร้างลายเส้น Nazca นั้น นักโบราณคดีมีความเห็นตรงกันว่า ชาว Nazca มีจุดประสงค์สำคัญหลายประการ เช่น เพื่อเป็นปฏิทินทางดาราศาสตร์ เพื่อเป็นเส้นทางที่ชาว Nazca ใช้เดินในพิธีประกอบกรรมทางศาสนา อาทิเช่น สวดขอให้เทพเจ้าดลบันดาลให้ฝนตก ให้เกษตรกรทำเกษตรกรรมได้ผล เส้นทางเหล่านี้บางเส้นยังใช้ชี้ทางบอกตำแหน่งของแหล่งน้ำให้ชุมชน Nazca ได้ใช้บริโภคด้วย ส่วนของกองหินที่วางอยู่ตรงปลายเส้นทางเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แสดงความสำนึกในบุญคุณของบรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับไปแล้ว
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ยังแสดงให้เห็นอีกว่า เมื่อประมาณค.ศ.300-500 แม่น้ำหลายสายในดินแดน Nazca เริ่มแห้งขอด ชาว Nazca จึงต้องจัดพิธีบูชายัญ เพื่อทำพิธีขอฝนจากเทพเจ้าด้วยการฆ่าคน จากหลักฐานที่ Christina A. Conlee แห่งมหาวิทยาลัย Texas State ในสหรัฐอเมริกา ได้พบเมื่อปี 2004 ว่า ขณะอารยธรรม Nazca เริ่มจะล่มสลาย เพราะสภาพแวดล้อมในอาณาจักรได้เปลี่ยนแปลงไปมาก พิธีบูชายัญจึงต้องจัดขึ้นบ่อย ให้ชาว Peru โบราณที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย La Tiza มีการฆ่าคน ด้วยการตัดศีรษะของเหยื่อที่ถูกมัดมือ และเวลาเลือดพุ่งจากลำตัว ก็ได้นำภาชนะมารองรับเลือด
ครั้นเมื่อสภาวะอากาศทวีความเลวร้าย ทะเลทรายก็ได้เริ่มขยายอาณาบริเวณ จนชาว Nazca จำต้องอพยพหนีทราย และได้ถูกชนเผ่า Wari ยกทัพรุกราน จนในที่สุดก็ได้ครอบครองอาณาจักร Nazca อย่างสมบูรณ์เมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 6
เวลาศึกษาประวัติความเป็นมาของธรณีศิลป์ Nazca นักโบราณคดีในอดีตต้องใช้วิธีเดินสำรวจ ด้วยการสังเกตดู แล้วถ่ายภาพ และทำแผนที่แสดงตำแหน่งของภาพ ซึ่งต้องใช้เวลานานมาก และนักสำรวจต้องมีความอดทนสูง เพราะอากาศในทะเลทรายก็ร้อนมาก ดังนั้นความผิดพลาดในการสังเกตข้อมูลก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะลายเส้นบางลายอาจจะอยู่ไกลมาก หรือเป็นเส้นเลือนลาง จนทำให้ผู้สำรวจมองเห็นได้ไม่ชัด
แต่มาทุกวันนี้ นักโบราณคดียุคใหม่ได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น remote sensing ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการถ่ายภาพระยะไกล และเทคโนโลยี photogrammetry ที่บันทึกภาพถ่าย เพื่อแปลความหมายของภาพที่ได้ ตลอดจนใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วย และได้พบว่า เทคโนโลยีเหล่านี้ประสบความสำเร็จดีมาก คือ ได้ภาพลายเส้นเพิ่มอีก 303 ภาพ จากเดิม 380 ภาพ ภายในเวลา 6 เดือน ดังนั้นความลึกลับ และความลี้ลับต่าง ๆ ของลายเส้น Nazca ที่โลกไม่รู้มาก่อน จึงกำลังจะถูกเปิดเผยให้เราปัจจุบันได้เข้าใจโลกของชาว Nazca ในอดีตเมื่อ 2,000 ปีก่อนดีขึ้น และความรู้นี้จะช่วยให้เรามีวิธีอนุรักษ์มรดกโลกชิ้นนี้ ให้คงอยู่คู่โลกสืบต่อไป
ในปี 2004 Masato Sakai ศาสตราจารย์โบราณคดีชาวญี่ปุ่น แห่งมหาวิทยาลัย Yamagata ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอารยธรรมของชนเผ่าอินเดียนที่อาศัยอยู่บนที่ราบในเทือกเขา Andes ของทวีปอเมริกาใต้ ได้หันมาสนใจลายเส้น Nazca เป็นพิเศษ จึงได้ศึกษาเรื่องที่มาและความสำคัญของธรณีศิลป์นี้อย่างจริงจัง จนได้รับการอนุญาตให้จัดตั้งสถาบัน Nazca โดยเฉพาะขึ้น ที่กรุง Lima ใน Peru เพื่อนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning ควบคู่กับการนำโดรน (drone) ที่มีสมรรถภาพสูงในการถ่ายภาพ ทำให้ได้พบภาพลายเส้นเพิ่มเท่าตัว คือ (สถิติล่าสุด) 621 ภาพ จากเดิม 380 ภาพ
ผลงานนี้ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) ฉบับวันที่ 23 กันยายน ปี 2024
โดย Sakai ได้รายงานว่า บนที่ราบสูง Nazca (Nazca Pampa) ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 550 เมตร ทีมวิจัยของเขาได้รับความร่วมมือจากบริษัท IBM ในการค้นหาลายเส้น Nazca ใหม่ ในระหว่างเดือนกันยายน ปี 2022 ถึงกุมภาพันธ์ ปี 2023 ด้วยการป้อนข้อมูลตัวอย่างของลายเส้นที่ทุกคนรู้จักดี เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ AI สร้าง algorithm เพื่ออ่านภาพถ่ายที่มีความละเอียดสูง โดยใช้ภาพถ่ายจำนวนประมาณ 100,000 ภาพ
การวิเคราะห์ภาพถ่ายเหล่านี้ด้วย AI ได้รับการยืนยันว่ามีลายเส้นตัวจริงบนพื้นดิน เป็นภาพสัตว์ เช่น งูสองหัว วาฬเพชฌฆาต แมว ตัว llama และภาพแสดงพิธีกรรมต่าง ๆ ตลอดจนภาพที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์มากมาย โดยทีมวิจัยไม่ต้องลงมือขุดหาภาพลายเส้นเลย และภาพลายเส้นเหล่านี้ก็อยู่ไกลไม่เกิน 50 เมตร จากเส้นทางเดินเดิมๆ
สำหรับภาพศีรษะคนที่พบใหม่นั้น ก็ได้แสดงให้เห็นว่า เป็นภาพที่จำลองมาจากพิธีบูชายัญ ภาพทั้งหลายนี้จึงแสดงให้เรารู้ว่า ความเชื่อในเทพเจ้าเป็นเรื่องที่จริงจังมากของผู้คนในสังคม Nazca
ส่วนซากเครื่องปั้นดินเผาที่พบใหม่นั้น การวัดอายุของเครื่องใช้เหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่าชาว Nazca รู้จักทำเครื่องปั้นดินเผา และรู้จักวาดลวดลายลงบนผิวเครื่องปั้น ก่อนที่จะรู้จักสร้างลายเส้น และภาพต่าง ๆ ที่วาดบนเครื่องปั้นมักแสดงวิถีชีวิตของคนธรรมดาทั่วไป แต่ภาพลายเส้น Nazca มักเป็นภาพสัตว์ป่าที่ดุร้าย
นักโบราณคดียังได้พบอีกว่า ขณะประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ชาว Nazca จะเดินแถวมาหยุดตรงตำแหน่งในทะเลทรายที่มีภาพสัตว์ ก็เพื่อให้ภาพสัตว์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์
เราจึงได้ว่า ในอารยธรรม Nazca ผู้คนได้ผสมผสานความเชื่อในเทพเจ้ากับการขอพรให้เข้ากับธรรมชาติแวดล้อมด้วยการสร้างภาพสัตว์ที่แตกต่างกัน และให้ภาพเหล่านั้นมีขนาดใหญ่โดยเฉลี่ยเท่ากับ 20 เมตร
ดังนั้นงานขั้นต่อไปของโครงการวิจัยโบราณคดีจากอวกาศนี้ คือ รัฐบาลต้องหาวิธีอนุรักษ์ลายเส้น Nazca ใหม่ ๆ ให้ดี และหาวิธีป้องกันไม่ให้นักทัศนาจรเดินเพ่นพ่านจนทำลายลายเส้นไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ในอดีตเมื่อปี 1982 นักโบราณคดีกรีกได้เคยใช้เทคโนโลยี remote sensing ช่วยในการพบซากเรือโบราณ Uluburun ในยุคสำริด ซึ่งได้อับปางในทะเล Mediterranean ที่ใกล้เมือง Kas ทางตอนใต้ของตุรกี ซึ่งจมอยู่ที่ระดับลึก 45-60 เมตร โดยนักประดาน้ำได้พบวัตถุโบราณมากมาย เช่น งาช้าง แร่ทองแดงหนัก 10 ตัน เงิน 1 ตัน ไข่นกกระจอกเทศ อาวุธ และไหเหล้าองุ่น การพบนี้ได้เปิดโลกการวิจัยด้านโบราณคดีใต้น้ำ เพราะได้พบความเกี่ยวโยงทางการค้าระหว่างอายธรรมต่าง ๆ เช่น อียิปต์ ไซปรัส Mycenaean และ Canaanite
ณ วันนี้ โครงการ AI ทางด้านโบราณคดีของประเทศ United Arab Emirates (UAE) ก็มีนักวิจัยที่กำลังศึกษาและวิเคราะห์ประวัติการทำเหมืองทองแดงของมนุษย์โบราณที่นั่น เมื่อปี 1270-800 ปีก่อนคริสตกาล
จึงเป็นว่าโลกการวิจัยด้านโบราณคดีกำลังจะเปลี่ยนไปมาก โดยอิทธิพลและความประเสริฐของเทคโนโลยี AI จากในอดีตเมื่อ 50 ปีก่อน ที่ได้มีการศึกษาโบราณคดีเชิงโมเลกุล ด้วยการวิเคราะห์ DNA และโครโมโซม เพื่อให้รู้ชนิดของอาหารที่มนุษย์โบราณบริโภค และโรคระบาด ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ในสมัยนั้นอาศัยอยู่ โดยใช้ทั้งเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อศึกษาไอโซโทปของอะตอม เพื่อจะได้รู้อายุของวัตถุโบราณ และผลลัพธ์หนึ่งที่สำคัญ ซึ่งได้จากการศึกษานี้ คือ การได้พบว่ามนุษย์ Homo floresiensis บนเกาะ Flores ในอินโดนีเซีย ที่เป็นมนุษย์แคระที่ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว และสูงประมาณ 1 เมตร อีกทั้งสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกได้ในเวลาเดียวกับมนุษย์ Homo sapiens การพบเมื่อปี 2003 ได้ทำให้นักธรณีชีววิทยาเข้าใจความหลากหลายด้านวิวัฒนาการของมนุษย์มากขึ้น
ในอนาคตอีกเช่นกัน การค้นหาโบราณสถานในป่าของประเทศกัมพูชาก็กำลังจะเกิดขึ้น โดยใช้ AI ที่ทำงานละเอียดและถูกต้องยิ่งขึ้น เพื่อให้งานที่ละเอียดนี้ลุล่วง โดยใช้เวลาน้อยลง ซึ่งจะทำให้เราปัจจุบันนั่งยานย้อนเวลาไปล่วงรู้และเข้าใจประวัติศาสตร์ของมนุษย์ในสมัยโบราณได้อย่างสมบูรณ์
อ่านเพิ่มเติมจาก “The Latest AI Innovations in Archaeology” ผ่านเว็บไซต์ https://www.historica.org/blog/the-latest-ai-innovations-in-archaeology โดย Tatiana But เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2024
ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์
ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน,ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์