xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) นักเดินเรือชาวเอเชียและยุโรป ในโลกโบราณ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในปี 1982 Philip Beale หนุ่มอังกฤษวัย 30 ปี ได้เดินทางไปทัศนศึกษาที่ประเทศอินโดนีเซีย และได้แวะไปเยือนมหาวิหารพุทธศาสนาใหญ่ที่สุดในโลก ณ เมือง Magelang ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Yogyakarta มาก มหาวิหาร Borobudur(บุโรพุทโธ) นี้ได้ถูกสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยพระราชบัญชาในกษัตริย์แห่งอาณาจักร Shailendra




ตัววิหารได้ถูกทิ้งร้าง และถูกเถ้าภูเขาไฟทับถมเป็นเวลานานหลายร้อยศตวรรษ จนกระทั่งปี 1814 เมื่อ Sir Thomas Stamford Raffles (1781–1826) ได้ทราบข่าวจากชาวพื้นเมืองว่า มีโบราณสถานขนาดใหญ่ถูกฝังลึกอยู่ใต้ดิน จึงให้วิศวกรชื่อ H.C. Cornelius ไปขุด และได้พบโบราณสถานที่โลกลืม จากนั้นรัฐบาลอินโดนีเซียก็ได้จัดการบูรณะ จนทำให้ Borobudur ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก โดยองค์กร UNESCO ในปี


ตัววิหารมีโครงสร้างเป็นชั้นๆ โดยแบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก คือ

ชั้นล่างสุดเป็นฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ผนังมีภาพสลักนูนต่ำ ซึ่งบรรยายเรื่องราวที่เกี่ยวกับสไตล์การดำเนินชีวิตของชาวชะวาในสมัยนั้น

ชั้นกลางมี 5 ชั้น บนผนังมีภาพแกะสลักจากหินภูเขาไฟที่เล่าเรื่องราวซึ่งเกี่ยวกับพุทธประวัติ และมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่โดยรอบ

และชั้นบนสุด มีเจดีย์ทรงระฆัง เป็นสถูปใหญ่

ในภาพรวมโครงสร้างของบุโรพุทโธได้ถูกสร้างขึ้นเหมือนเป็นโครงสร้างของจักรวาล โดยเริ่มจากโลก ซึ่งเป็นพื้นฐานที่เต็มไปด้วยกิเลส ไปสู่ชั้นสูงสุด ซึ่งเป็นโลกของการตรัสรู้ และการพ้นทุกข์

ปริศนาที่น่าสนใจของบุโรพุทโธนี้ คือ จากหินภูเขาไฟจำนวนประมาณ 2 ล้านก้อนที่ถูกนำมาสร้างมหาวิหารนี้ ไม่ปรากฏว่ามีคำจารึกใด ๆ ที่แสดงว่า ใครเป็นผู้สร้างวิหาร สร้างขึ้นเมื่อใด และเพื่อจุดประสงค์ใด

กระนั้นการล่วงรู้อายุของ Borobudur ก็สามารถจะกระทำได้ โดยอาศัยการเปรียบเทียบศิลปะการสร้างกับศาสนสถานที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง


ขณะที่ Beale ทอดสายตาดูภาพสลักนูนต่ำจำนวนมากมาย ที่ปรากฏอยู่รายรอบส่วนฐานของมหาวิหารนี้ เขาได้เห็นรูปแกะสลักรูปหนึ่ง เป็นรูปเรือโบราณที่ชาวชะวาในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ได้ใช้ในการเดินทางและดำรงชีพ ตัวเรือมีโครงสร้างที่บอบบาง มีใบเรือ และหัวเรือที่ยกสูง กราบเรือมีแผ่นไม้ที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลาย

ภาพที่เห็นนี้ได้ทำให้ Beale ซึ่งเป็นนักโบราณคดีสมัครเล่นรู้สึกสะดุดใจ จึงต้องการจะศึกษาความเป็นมาของภาพเรือลำนี้ ว่าใครเป็นคนสร้าง และได้อย่างไร ตลอดจนถึงถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อันใด เพราะ Beale ได้รู้จากการอ่านบันทึกของผู้เฒ่า Pliny (ค.ศ.23–79) ซึ่งเป็นปราชญ์และนักประวัติศาสตร์ชาวโรมัน ที่ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือ “Natural History” ซึ่งถูกตีพิมพ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ว่า ชาวเรือจากดินแดนเอเชียตะวันออก ได้ใช้เรือเดินทางข้ามมหาสมุทรอินเดียไปจนถึงทวีปแอฟริกา เพื่อนำเครื่องเทศ เช่น อบเชย กานพลู วานิลลา ขิง ขมิ้น และพริกไทย ฯลฯ ไปขาย แล้วนำงาช้าง หนังสัตว์ และเหล็กจากแอฟริกากลับ เป็นการแลกเปลี่ยนสินค้า


Beale จึงมีจินตนาการว่า นี่คงเป็นเรือโบราณที่ชาวชะวาในสมัยก่อนใช้ในการเดินทาง เขาจึงตัดสินใจว่า จะต้องสร้างเรือที่มีรูปทรงเดียวกับเรือที่เห็นในภาพสลักนูนต่ำนั้น เพื่อใช้ในการเดินทาง ซึ่งถ้าเขาทำได้สำเร็จ เรือก็จะเป็นหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นสำคัญที่แสดงให้โลกเห็นว่า คนชะวาโบราณเป็นนักเดินเรือที่เก่ง กล้า และมีความสามารถมาก จนได้ประสบความสำเร็จในการเดินเรือข้ามมหาสมุทร ก่อนชาวยุโรปหลายร้อยปี เพราะ Vasco da Gama (1460 –1524) ซึ่งเป็นนักเดินเรือชาวโปรตุเกสก็ “เพิ่ง” ประสบความสำเร็จในการเดินทางจากยุโรปโดยทางเรือถึงอินเดียในช่วงปี 1497-1499 ด้วยการเดินเรืออ้อมแหลม Good Hope แทนการใช้การเดินทางบกตามเส้นทางสายไหม (Silk Road) และการบุกเบิกเส้นทางในครั้งนั้น ก็ได้เปิดเอเชียให้เข้าสู่ยุคการถูกล่าเป็นอาณานิคม


ครั้นเมื่อ Beale เดินทางกลับถึงลอนดอนแล้ว เขาก็ยังมีความมุ่งมั่นจะสร้างเรือในฝันของเขาให้จงได้ แม้จะเป็นคนที่มีประสบการณ์เดินเรือในทะเลค่อนข้างน้อย เพราะเคยเป็นทหารเรือแห่งราชนาวีอังกฤษเพียงไม่นาน แต่ Beale ก็มีจิตวิญญาณของนักผจญภัยเต็มตัว

ยิ่งเมื่อได้อ่านผลงานที่นักโบราณคดียุคปัจจุบันได้พิสูจน์ให้เห็นว่า คนที่เดินทางถึงเกาะ Madagascar ในมหาสมุทรอินเดีย เป็นนักเดินทางที่มาจากเอเชียอาคเนย์ คือ เป็นชาวอินโดนีเซีย โดยอาศัยหลักฐานที่ได้จากการเปรียบเทียบ DNA ของคนบนเกาะกับชาวอินโด การใช้ภาษา และการร้องเพลง ก็ได้พบว่า หลักฐานทางพันธุกรรมและหลักฐานทางวัฒนธรรมของชาว Madagascar กับชาวอินโดนีเซียมีความคล้ายคลึงกันมาก

Beale จึงตัดสินใจว่า ความเชื่อของตน มีเหตุและผลเพียงพอ ที่จะเป็นหลักฐานที่ใช้สนับสนุนว่า ชาวอินโดได้เคยเดินทางข้ามมหาสมุทรอินเดีย เมื่อ 1,200 ปีก่อนจริง

งานที่เขาต้องทำในขั้นต่อไป คือ การรู้วิธีที่ชาวชะวาโบราณใช้ในการสร้างเรือ ว่าใช้เทคโนโลยีรูปแบบใด สามารถเดินเรือให้ถูกทิศทางได้อย่างไร และใช้อุปกรณ์อะไรในการสร้าง

ความฝันของ Beale ได้เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เมื่อได้พบกับ Nick Burningham ซึ่งเป็นนักโบราณคดีชาวออสเตรเลียที่สนใจเทคโนโลยีการสร้างเรือโบราณ และได้ทำวิจัยเรื่องประวัติศาสตร์การเดินเรือทะเลของชาวเอเชียอาคเนย์ Beale จึงติดต่อขอให้ Burningham ออกแบบเรือ และให้ Assad Abdullah เป็นวิศวกรสร้างเรือ โดยให้ยึดภาพสลักนูนต่ำที่ผนังมหาวิหาร Borobudur เป็นหลัก และ Abdullah ก็ได้ใช้ไม้ 7 ชนิดที่มีพบบนเกาะชะวา เมื่อ 1,200 ปีก่อน โดยใช้ตะปูไม้แทนตะปูเหล็กในการยึดตัวเรือให้แข็งแรง และให้เรือมีเสถียรภาพ จนทำให้เรือมีความเร็วสูงสุดที่ 14 กิโลเมตร/ชั่วโมง


เมื่อถึงวันที่ 15 สิงหาคม ปี 2003 เรือ Borobudur ก็ได้ออกเดินทางโดยมีประธานาธิบดีสตรี Megawati Sukarnoputri เป็นประธานในพิธีปล่อยเรือออกเดินทาง เรือที่มีชื่อเป็นทางการว่า Samudra Raksa (สมุทรรักษา) ได้ออกเดินทางจาก Indonesia ไปถึง Madagascar กับ Ghana ในทวีปแอฟริกา เพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า ชาวแอฟริกาและชาวเอเชียอาคเนย์ได้เคยมีความสัมพันธ์ทางการค้าทางทะเลมาตั้งแต่สมัยโบราณ และการเดินทางของเรือ Samudra Raksa ในครั้งนั้น ได้ทำให้ชาวอินโดนีเซียทุกคนรู้สึกภาคภูมิใจมากว่า คนอินโดโบราณเป็นคนเก่ง กล้า และมีความสามารถในการเดินเรือข้ามมหาสมุทรก่อนที่ Christopher Columbus (1451–1506) จะพบอเมริกาในปี 1492 และก่อนที่ Ferdinand Magellan (1480–1521) จะเดินทางรอบโลกในปี 1519


เรือ “สมุทรรักษา” ได้เดินทางจาก Jakarta ถึง Madagascar เป็นระยะทางไกลประมาณ 6,000 กิโลเมตร และต่อไปจนถึง Ghana เป็นการเดินทางที่ยากลำบากมาก เพราะลูกเรือต้องเผชิญลม คลื่น และพายุฝนที่รุนแรงตลอดเวลา ในขณะที่เรือไม่มีดาดฟ้าจะปกป้องคนจากแสงแดด สายฝน และเวลาทะเลไร้ลม ลูกเรือจำนวน 16 คนบนเรือก็ต้องพายเรือ ต้องใช้วิธีดูดาวเพื่อนำทาง ต้องดื่มน้ำจืดที่ได้จากฝน และอาหารส่วนใหญ่ก็ได้จากการจับปลาในทะเล

แต่เมื่อเรือสมุทรรักษาประสบความสำเร็จ ผลกระทบที่เกิดตามมาก็นับว่ามากมหาศาล เพราะเรือได้ทำให้โลกรู้ว่า นักเดินเรือชาวอินโดในสมัยโบราณมีเทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างเรือเดินทางข้ามมหาสมุทรได้ เพื่อทำการค้าพาณิชย์กับคนแอฟริกา และสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และได้รับรู้อารยธรรมอื่น ๆ ก่อนชาวยุโรปในยุค Renaissance เสียอีก เรือโบราณยังได้เผยแพร่พุทธศาสนาไปยังในดินแดนต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่รายรอบมหาสมุทรอินเดียด้วย

ณ วันนี้ เรือ “สมุทรรักษา” ลำนั้น ได้ถูกนำไปประดิษฐานอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ในสวนสาธารณะ Borobudur ในฐานะที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ได้ทำให้ชาวอินโดรู้สึกภาคภูมิใจมาก


หลังจากที่ได้ประสบความสำเร็จแล้ว Philip Beale นักผจญภัยก็ยังต้องการจะพิสูจน์อีกว่าชาว Phoenician ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของทะเล Mediterranean (เลบานอน ซีเรีย และอิสราเอล) ที่เคยเจริญรุ่งเรืองเมื่อ 1,500-300 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีเมืองสำคัญ ชื่อ Tyre และ Sidon ก็เป็นชนชาติที่เดินเรือเก่ง และมีบทบาทมากในการส่งต่ออารยธรรม Phoenician ไปสู่ชาติอื่นๆ ในโลกโบราณ ด้วยการติดต่อกันทางเรือ

ดังที่นักประวัติศาสตร์กรีกชื่อ Herodotus (484–425 ปีก่อนคริสตกาล) ได้เคยบันทึกไว้ว่า ในอดีตเมื่อ 6,000 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรอียิปต์ในยุคของราชวงศ์ Saite มีกษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่า Necho II ได้ทรงส่งเสริมชาวอียิปต์ให้มีการสำรวจทางทะเล เช่น ทะเลแดง (Red Sea) และทะเล Mediterranean อีกทั้งทรงสนับสนุนนักเดินเรืออียิปต์ให้พยายามเดินเรืออ้อมทวีปแอฟริกา แต่ชาวอียิปต์โบราณทำไม่ได้ จึงทรงโปรดให้นักเดินเรือชาว Phoenician แสดงฝีมือแทน และปรากฏว่าพวกเขาสามารถทำได้


เมื่อ Beale ได้อ่านประวัติศาสตร์เรื่องนี้ เขาก็มีดำริอีกว่า ชาว Phoenician ก็คงสามารถเดินเรือได้ในทำนองเดียวกับชาวอินโดโบราณ ดังนั้นในวันที่ 8 สิงหาคม ปี 2008 Beale กับลูกเรือ 20 คน จึงลงเรือที่เขาสร้างในสไตล์ชาว Phoenician ออกเดินทางจากเกาะ Arpad ใน Syria มุ่งหน้าสู่ทะเลแดง แล้วลัดเลาะไปตามชายฝั่งด้านตะวันออกของแอฟริกา จนถึงแหลม Good Hope ในเดือนมกราคมปี 2009 จากนั้นก็เดินทางอ้อมแหลม Good Hope ไปจนถึงเมือง Alexandira ในอียิปต์ ในฤดูร้อนของปีเดียวกัน

ตัวเรือที่ยาว 21 เมตรนี้ ได้รับการออกแบบให้เหมือนซากเรือของชาว Phoenician ที่พบจมน้ำ ตัวเรือสร้างด้วยไม้สนที่ตัดจากเมือง Aleppo ในซีเรีย เรือมีคนแจวเรือข้างละ 10 คน ใบเรือเป็นผ้าลินินรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส จึงแล่นใบได้ดีเวลาแล่นตามลม

ความสำเร็จของ Beale ในการเดินเรือครั้งนั้น จึงแสดงให้เห็นว่าชาว Mediterranean โบราณก็สามารถสร้างเรือเดินทะเลได้ และได้ใช้เรือในการติดต่อค้าขาย และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับคนทั่วดินแดน Lebanon, Israel, Tunisia และ Egypt ตั้งแต่เมื่อ 2,600 ปีก่อน

คนทั่วไปมักจะมีคำถามอีกหนึ่ง คือ ต้องการจะรู้คำตอบว่า มนุษย์เราได้อพยพเคลื่อนย้ายออกจากผืนแผ่นดินใหญ่ (ทวีป) ไปสู่เกาะน้อยใหญ่ในทะเลและมหาสมุทรได้อย่างไร ด้วยวิธีใด และบรรพบุรุษของชาวไต้หวัน ชาวฟิลิปปินส์ ชาวฮาวาย ชาวออสเตรเลีย ชาวญี่ปุ่น ฯลฯ มาจากที่ใด และคนเหล่านี้ได้ไปอยู่บนเกาะเหล่านั้นตั้งแต่เมื่อใด

คำตอบสั้น ๆ คือ มนุษย์ Homo sapiens ได้ออกจากแอฟริกาเมื่อ 60,000-80,000 ปีก่อน โดยได้เดินทางผ่านตะวันออกกลางไปเอเชีย จนถึงดินแดนที่เป็นชายฝั่งทะเล จากนั้นก็ได้สร้างแพ หรือเรือลำเล็กๆ เพื่อเดินทางไปยังเกาะเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ฝั่ง


ครั้นเมื่อระดับน้ำทะเลของโลกเปลี่ยนแปลง เช่น ในยุคน้ำแข็ง ซึ่งระดับน้ำทะเลของโลกได้ลดลงมาก จนทำให้เกิดสะพานแผ่นดิน (land bridge) เชื่อมต่อระหว่างเกาะ เป็นทางเดินให้มนุษย์สามารถเดินจากเกาะสู่เกาะได้ ครั้นเมื่อยุคน้ำแข็งสิ้นสุด น้ำแข็งที่ละลายได้ทำให้ทะเลคืนสภาพ เกาะบางเกาะก็ยังเป็นเกาะที่ไม่มีการเชื่อมโยงติดกับเกาะอื่น ผู้คนที่ตกค้างอยู่บนเกาะจึงกลายเป็นชาวพื้นเมืองของเกาะนั้นไปโดยปริยาย

ดังในกรณีของทวีปออสเตรเลีย เมื่อ 60,000 ปีก่อน ดินแดนนี้เคยมีสะพานแผ่นดินเชื่อมโยงกับเกาะ Papua New Guinea ทำให้มนุษย์ H. sapiens บนเกาะ Papua สามารถอพยพไปตั้งถิ่นฐานเป็นชาว Aborigine ใน Australia ได้ ดังนั้นบรรพบุรุษของชาว Aborigine จึงอาจจะเป็นชาวอินโดในสมัยโบราณ

ครั้นเมื่อมนุษย์มีวิวัฒนาการ คือ มีความสามารถทางเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ความสามารถในการเดินทางในทะเลก็เพิ่มตามด้วย คือ สามารถเดินทางได้ไกลขึ้น ได้นานขึ้น การอพยพจากแผ่นดินใหญ่สู่ เช่น เกาะ Crete ในทะเล Mediterranean สู่เกาะญี่ปุ่น จากคาบสมุทรเกาหลี ก็ได้เกิดขึ้นเมื่อ 38,000 ปีก่อน ตลอดไปจนถึงการเดินทางไปอยู่ที่เกาะฟิลิปปินส์ เกาะ Papua New Guinea และเกาะ Sulawesi ในมหาสมุทรแปซิฟิกก็ได้เกิดขึ้น เมื่อประมาณ 118,000 ปีก่อน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนโบราณพากันอพยพนั้นก็คือ ได้มีความต้องการอาหารเพิ่ม เพราะจำนวนประชากรที่เพิ่มตลอดเวลา ทำให้อาหารไม่เพียงพอ หรือเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศที่ทำให้ความเป็นอยู่ของผู้คนยากลำบากขึ้น ดังนั้นผู้คนจึงต้องแสวงหาที่อยู่ใหม่ และสาเหตุสุดท้ายที่ทำให้ผู้คนอพยพ คือ หนีความขัดแย้งในสังคม ที่ตนเป็นสมาชิก

เหตุผลเหล่านี้ คือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้มนุษย์ได้แพร่กระจายเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลก ทั่วผืนแผ่นดินใหญ่ และจากแผ่นดินไปสู่เกาะ โดยการสร้างพาหนะทางน้ำ เช่น ขอนไม้ แพ และเรือ

ในวารสาร Journal of Archaeological Science ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2025 นี้ Riczar Fuentes และคณะ จากมหาวิทยาลัย Ateneo de Manila ในฟิลิปปินส์ ได้ท้าทายความคิดเดิม ๆ ที่ว่าเทคโนโลยียุคหินเก่า (Paleolithic period) ล้วนเป็นฝีมือของชาวยุโรปและชาวแอฟริกาโบราณเท่านั้น หาใช่ความสามารถของชาวเอเชียไม่

เพราะทีมวิจัยกลับได้พบว่า คนโบราณที่อาศัยอยู่บนเกาะฟิลิปปินส์ และเกาะต่าง ๆ ในเอเชียอาคเนย์ (Island Southeast Asia; ISEA) สามารถสร้างเรือ และมีเทคโนโลยีที่ใช้ในการเดินเรือได้ ตั้งแต่เมื่อ 40,000 ปีก่อน ก่อนที่โลกจะมี Ferdinand Magellan (1480–1521) และ Zheng He (1371-1434) เสียอีก


แม้ ISEA จะเป็นเกาะแก่งที่มิเคยเชื่อมโยงติดกับแผ่นดินใหญ่ด้วย land bridge ก็ตาม แต่นักโบราณคดีก็มีหลักฐานที่แสดงว่า ชาว Philippines, ชาว Indonesia และชาว Timor-Leste ได้สร้างอุปกรณ์ที่ทำด้วยหิน ซึ่งมีอายุ 40,000 ปี รู้จักสร้างเชือก ที่ทำด้วยเส้นใยพืช เพื่อใช้ในการทำแหตกปลา และใช้ในการมัดโยงเรือ หลักฐานที่พบบนเกาะ Mindoro และเกาะ Ilin ของฟิลิปปินส์ยังแสดงให้เห็นอีกว่า เทคโนโลยีการเดินเรือในทะเลของชาวเกาะฟิลิปปินส์โบราณก้าวหน้ามากถึงขนาดสามารถจับปลาทูนา และปลาฉลามน้ำลึกได้ ดังนั้นคนเหล่านี้จึงต้องมีเรือที่ใช้ในการเดินทางไกลไปในทะเลได้ บรรพบุรุษของชาวฟิลิปปินส์จึงน่าจะมีเทคโนโลยีการเดินเรือที่ดีมากพอ ๆ กับบรรพบุรุษของชาวอินโดนีเซียโบราณ

ในวารสาร Nature ฉบับวันที่ 12 มีนาคม ปี 2025 นี้ มีรายงานว่า เมื่อ 8,500 ปีก่อน ซึ่งเป็นยุคหิน ชาวยุโรปในสมัยนั้นได้เดินทางด้วยเรือแคนู ข้ามทะเล Mediterranean จากยุโรปไปแอฟริกา โดยการล่องเรือแพไประหว่างเกาะทีละน้อย ๆ จนถึงจุดหมายปลายทาง

นี่เป็นเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นก่อน Odysseus พระเอกในวรรณกรรมชื่อ “The Odyssey” ของ Homer (ประมาณ 8 ศตวรรษก่อนคริสตกาล) จะเดินทางไปและกลับกรุง Troy หลายพันปี

David Reich ซึ่งเป็นนักพันธุศาสตร์ประชากรจาก Harvard Medical School ที่ Boston รัฐ Massachusetts ในสหรัฐอเมริกา กับคณะวิจัยจาก Algeria และ Tunisia ซึ่งทำวิจัยเรื่องนี้ โดยได้รับแรงดลใจจากการพบว่า นักโบราณคดีทั้งในอดีตและปัจจุบันแทบไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของประชากรที่อาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทะเล Mediterranean เลย


ทีมวิจัยได้พบว่า ดินแดนที่มีชื่อ Maghreb ซึ่งครอบคลุมประเทศ Tunisia และ Algeria ในปัจจุบัน มีผู้คนซึ่งเมื่อ 8,000 ปีก่อน มีบรรพบุรุษเป็นชาวยุโรปที่เลี้ยงชีพเป็นพรานและนักเก็บของป่า (hunter-gatherer) โดยนักวิจัยได้วิเคราะห์ DNA ที่มีในกระดูกและฟันของคน 9 คน ที่ถูกฝังอยู่ในดินแดน Maghreb ซึ่งคนเหล่านี้เคยมีชีวิตอยู่เมื่อ 8,000-10,000 ปีก่อน และทุกคนมีบรรพบุรุษเป็น hunter-gatherer ที่มาจากยุโรป ซึ่งได้เดินทางข้ามช่องแคบ Gibraltar

โดยคนเหล่านี้หาเลี้ยงชีพโดยการล่าสัตว์ หอยทาก และเก็บผลไม้ป่า แล้วในเวลาต่อมาได้เริ่มทำเกษตรกรรม เลี้ยงแกะ แพะ และวัวควาย

มีคน ๆ หนึ่ง ที่พบในถิ่น Djebba ของประเทศ Tunisia คน ๆ นี้มี DNA 6% ที่เหมือนกับ DNA ของชาวยุโรปทุกประการ ข้อมูลนี้จึงแสดงว่าบรรพบุรุษของเขาเคยอาศัยอยู่ในยุโรป เมื่อ 8,500 ปีก่อน


อ่านเพิ่มเติมจาก Lipson, M. et al. Nature https://doi.org/10.1038/s41586-025-08699-4 (2025).


ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์




กำลังโหลดความคิดเห็น