องค์การอนามัยโลก (WHO) ร่วมกับ บริษัท IQAir บริษัทตรวจสอบคุณภาพอากาศของสวิตเซอร์แลนด์ เผยข้อมูลด้านคุณภาพภาพอากาศล่าสุด พบว่าในปี 2024 ที่ผ่านมา มีเพียง 7 ประเทศทั่วโลกเท่านั้น ที่มีคุณภาพอากาศเป็นไปตามมาตรฐาน โดยมีค่าเฉลี่ยรายปีของ PM 2.5 ไม่เกิน 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ได้แก่ ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, บาฮามาส, บาร์เบโดส, เกรเนดา, เอสโตเนีย และ ไอซ์แลนด์ และคณะนักวิจัยได้เตือนว่าการรับมือกับมลพิษทางอากาศอาจยากขึ้น หลังจากที่สหรัฐฯ ยุติโครงการติดตามคุณภาพอากาศทั่วโลก
นักวิจัยได้มีการเตือนว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังมีส่วนทำให้มลพิษทางอากาศรุนแรงขึ้น โดยอุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจส่งผลให้เกิดไฟป่าที่รุนแรงและยาวนานขึ้นในบางพื้นที่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอเมริกาใต้ ขณะที่การปิดโครงการติดตามคุณภาพอากาศของสหรัฐฯ อาจทำให้ 34 ประเทศขาดข้อมูลด้านมลพิษที่เชื่อถือได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมาตรการรับมือในอนาคต
ในปัจจุบันการขาดแคลนข้อมูลด้านคุณภาพอากาศในหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียและแอฟริกา อาจส่งผลให้การประเมินสถานการณ์มลพิษทั่วโลกไม่ชัดเจน เนื่องจากหลายประเทศกำลังพัฒนามีการอาศัยเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศจากสนับสนุนจากประเทศสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันได้ถูกยุติโครงการดังกล่าวด้วยเหตุผลด้านงบประมาณ และยังมีการลบข้อมูลคุณภาพอากาศที่เก็บรวบรวมมานานกว่า 17 ปี ออกจากเว็บไซต์ airnow.gov ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศที่ไม่มีแหล่งข้อมูลอื่น
องค์การอนามัยโลกยังเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า ประเทศชาด และ บังกลาเทศ ถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีมลพิษทางอากาศสูงที่สุดในโลก โดยระดับหมอกควันเฉลี่ยสูงกว่ามาตรฐานของ WHO ถึง 15 เท่า
ข้อมูล – รูปอ้างอิง
- reuters.com (Only seven countries met WHO air quality standards in 2024, data shows)
- theguardian.com (Only 7 countries worldwide meet WHO dirty air guidelines, study shows)