xs
xsm
sm
md
lg

ทหารสเปนในยุคโคลัมบัส ผู้ตกเป็นทาสและเป็นเทพของชาวอินเดียนแดง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นช่วงเวลาที่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ได้ถือกำเนิดที่เมือง Florence, Milan และ Rome ในอิตาลี โดยมีอัจฉริยะบุคคล เช่น Leonardo Da Vinci (1452–1519), Michelangelo Buonarroti (1475–1564) ซึ่งได้แสดงความสามารถทางศิลปะ และการมีจินตนาการที่ล้ำยุค มาเนรมิตเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนในสังคม ส่วนในเยอรมนีก็มี Johannes Gutenberg (1398-1468) ซึ่งประดิษฐ์เทคโนโลยีการพิมพ์ ที่ใช้ในการเผยแพร่ความรู้ และความเข้าใจใหม่ ๆ ให้สังคมได้รับรู้ความก้าวหน้าทางวิชาการอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ และในสเปนก็มีการรวบรวมอาณาจักร Castile ในสมเด็จพระราชินี Isabella ให้เป็นหนึ่งเดียวกับอาณาจักร Aragon ในกษัตริย์ Ferdinand ด้วยการอภิเษกสมรสกัน แล้วรวมกำลังทัพเข้ายึดเมือง Granada ได้ จากนั้นก็ได้ยกทัพขับไล่แขก Moor ที่นับถือศาสนามุสลิมและชาวยิวออกนอกสเปนจนเป็นผลสำเร็จ หลังจากที่แขก Moor ได้ยึดครองประเทศมานานร่วม 700 ปี




ภารกิจแรกที่กษัตริย์และราชินีแห่งสเปนทรงกระทำ คือ ทรงปฏิรูปประเทศให้สังคมมีความเป็นเอกภาพ ด้วยการปกครองแบบสมบูรณายาสิทธิราช โดยมีพระราชดำริอยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง และทรงส่งเสริมสมรรถภาพของกองทัพให้แข็งแกร่ง อีกทั้งทรงสนับสนุนให้ทหารและนักสำรวจเดินทางไปค้นหาดินแดนใหม่ๆ แล้วยึดครองดินแดนเหล่านั้นมาเป็นของสเปน ด้วยการประกาศให้ชาวพื้นเมืองในดินแดนใหม่ทุกคนเป็นประชากรชาวสเปน ใครใดที่ขัดขวางหรือต่อต้านคำสั่งนี้ ก็ให้ทหารจับตัวไปขัง ไปทรมานหรือไปเผาทั้งเป็น ส่วนใครที่ยินยอมน้อมรับคำสั่งโดยดี ก็ให้ทหารนำตัวไปเป็นทาส และให้เปลี่ยนศาสนาเดิมที่นับถือ ไปนับถือคริสต์ศาสนาแทน พร้อมกันนั้น เพื่อว่าสเปนจะได้เป็นมหาอำนาจที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล กษัตริย์ได้ทรงประกาศให้ทหารและนักสำรวจสามารถครอบครองทองคำและอัญมณีมีค่าที่ยึดได้ในดินแดนใหม่ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 10% ของทั้งหมด มาเป็นของคนที่พบดินแดนใหม่ด้วย


การ “ตบทรัพย์” ที่เป็นแรง “เงิน” มากเช่นนี้ ได้ทำให้สเปนมีนักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่หลายคน เช่น Francisco Pizarro (1478-1541) ผู้พิชิตอาณาจักร Inca Hernán Cortés (1485–1547) ผู้ทำลายอาณาจักร Aztec และ Christopher Columbus (1451–1506) ซึ่งได้ออกเดินทางไปอินเดีย ในปี 1492 โดยแล่นเรือไปทางทิศตะวันตกข้ามมหาสมุทร Atlantic เพราะเขาคิดว่าอินเดียอยู่ไม่ไกลจากยุโรปมาก โดย Columbus ได้ใช้แผนที่ที่ Claudius Ptolemy (85-165) วาดอย่างผิดสัดส่วน และใช้เรือในการเดินทาง เพราะถ้าเดินทางโดยทางบกจากยุโรปไปจีน โดยผ่านทางเอเชียกลาง ก็จะถูกทหารอาหรับจับตัว และปล้นทรัพย์สมบัติไปหมด


ดังนั้นเมื่อ Columbus กลับถึงสเปนในเดือนมีนาคมปี 1493 เขาก็ได้ถวายรายงานต่อกษัตริย์สเปนว่า ได้พบอินเดียแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมายุคการสำรวจโลกใหม่ก็เกิดขึ้น และมีนักสำรวจชาวอิตาเลียนคนหนึ่งชื่อ Amerigo Vespucci (1454-1512) ซึ่งได้เดินทางจากสเปนไปจนถึงดินแดนที่เป็นประเทศ Brazil ในปัจจุบัน แล้วกลับมารายงานว่า ดินแดนที่ Columbus พบนั้น เป็นเกาะ แต่ที่ Vespucci พบเป็นทวีป ดังนั้นทวีปใหม่จึงได้ชื่อว่า America ตามชื่อของ Amerigo Vespucci มิใช่ตามชื่อของ Columbus

ในปี 1503 รัฐบาลสเปน ได้จัดตั้งองค์กร Encomienda ขึ้นในดินแดนที่ยึดครองใหม่ โดยมีผู้สำเร็จการเป็นหัวหน้าที่สามารถใช้แรงงานทาสได้ โดยไม่ต้องให้ค่าตอบแทนใดๆ แต่ทาสก็ได้รับการคุ้มครองมิให้ตกไปเป็นทาสของบุคคลอื่น และยังถูกบังคับไม่ให้อาบน้ำด้วย โดยอ้างว่าจะทำให้ล้มป่วยเป็นโรค

นอกเหนือจากการล่าชาวอินเดียนแดงในดินแดนใหม่ไปเป็นทาสแล้ว ทหารผู้พิชิต (conquistador) ก็ยังมีหน้าที่ล่าทรัพย์สมบัติมีค่า เช่น ทองคำและอัญมณีด้วย เพราะได้ประจักษ์ว่า อารยธรรมโบราณที่ได้มีมานานในทวีปใหม่นี้ มีทรัพย์สินศฤงคารมากมหาศาล การยึดทรัพย์สมบัติของชาว Aztec ใน Mexico กับชาว Maya ใน Peru ไปจน “หมด” ได้ทำให้อารยธรรมทั้งสองล่มสลาย และสเปนกลายเป็นมหาอำนาจใหม่ในยุโรป


ความสำเร็จในการทำลายอาณาจักรโบราณทั้งสองนี้ เกิดจากการที่สเปนมีกองทัพที่ทรงพลัง เหล่าทหารมีปืน และปืนใหญ่ มีม้าอาหรับที่ชนพื้นเมืองไม่เคยเห็นมาก่อน จึงพากันกลัวจนลนลาน ยิ่งเวลาทหารสเปนได้ “กลิ่น” และเห็นทองคำ อารมณ์โลภได้ทำให้ทหารทุกคนรู้สึกฮึกเหิม จึงไล่ล่าฆ่าเจ้าของสมบัติอย่างเหมือนเป็นผักปลา ในขณะที่ทหารอินเดียนมีแต่ลูกศรพิษ เพื่อใช้สำหรับการต่อสู้เท่านั้นเอง และเมื่อแม่ทัพ Cortés ก่อนจะโจมตีเมืองหลวง Tenochtitlan ของอาณาจักร Aztec ได้มีบัญชาให้ทหารลูกน้องเผาเรือในกองทัพทุกลำ เพื่อให้มั่นใจว่า ทหารสเปนจะต้องเดินหน้าตลอด และยึดเมือง Tenochtitlan ให้ได้ เพราะไม่มีเรือที่จะต้องใช้ในการเดินทางกลับสเปนได้อีกแล้ว ทหารสเปนจึงเปรียบเสมือนหมาป่าที่กระหายเลือดลูกแกะ ซึ่งเป็นนักรบ Aztec มาก และสำหรับคนที่ยุยงให้เพื่อนทหารสเปนหนีทัพในครั้งนั้น ก็จะถูกนำตัวไปแขวนคอ เป็นต้น

อีกปัจจัยหนึ่งที่ได้ทำให้ทหารสเปนประสบความสำเร็จในการทำลายอารยธรรมโบราณครั้งนั้นก็คือ การได้รับความช่วยเหลือจากชนเผ่าอื่น ๆ ที่เป็นศัตรูของชาว Aztec และชาว Inca มาช่วยด้วย


ในทวีปใหม่ ณ เวลานั้น จึงมีทหารผู้พิชิต conquistador จากสเปนมารุกรานราวีมากมาย และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ Vasco Núñez de Balboa (1475-1519) ซึ่งประวัติศาสตร์ได้จารึกว่าเป็นชาวยุโรปที่ได้เดินทางข้าม Mexico จากฝัง Atlantic และได้เห็นมหาสมุทร Pacific เป็นคนแรก เพราะได้แต่งงานกับลูกสาวของหัวหน้าเผ่าชาวอินเดียนแดง ซึ่งมีบทบาทช่วยมากในการสื่อสารระหว่างทหารสเปนกับชาวอินเดียนแดง และทำให้ Balboa สามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย แม้ในเบื้องต้นชาวอินเดียนแดงจะมีน้ำใจดีต่อคนแปลกหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ทหารสเปนก็ออกลาย โดยการล่าจับ ฆ่า ปล้น และข่มขืนสตรี ชาวอินเดียนแดงทั้งหลายจึงพากันกลัว และวิ่งหนีเวลาเห็นทหาร conquistador เพราะถ้าหนีไม่ทันก็อาจจะถูกนำไปทรมาน ถูกตัดขา ตัดมือ หรือตัดเท้า และถูกบังคับให้บอกที่ซ่อนทองคำ


ในปี 1528 นายทหารสเปนที่ชื่อ Pánfilo de Narváez ได้นำกองทหาร 600 คนขึ้นบกที่อ่าว Tampa (ในรัฐ Florida ปัจจุบัน) และนำม้า 42 ตัว เพื่อเดินทางไปดินแดนที่เป็นประเทศ Mexico ในปัจจุบัน กองทหารสเปนได้ถูกนักรบอินเดียนแดงล่า ฆ่าตายหลายคน หลายคนได้ล้มป่วยตายด้วยโรคระบาดไข้เหลือง หลายคนจมน้ำตาย เพราะเรือแตก หลายคนประสบภาวะขาดแคลนอาหาร จนต้องกินซากศพ และมีชีวิตรอด โดยการทำตัวเป็นหมอที่สามารถรักษาคนไข้ชาวอินเดียนแดงได้ ทำให้ได้รับการยกย่องเป็นเทพของชาวอินเดียนแดง แต่ในบางเวลาก็ได้ตกเป็นทาสรับใช้ของชาวอินเดียนแดงหลายต่อหลายเผ่า จนในที่สุดก็เหลือผู้ที่รอดชีวิตเพียง 4 คน ตลอดเวลา 8 ปี ที่เดินทางรอนแรม

ประวัติการเดินทางและการผจญภัยของทหารผู้พิชิตทั้ง 4 ที่ได้กลายสภาพการทำงานตามสภาวะแวดล้อม ได้รับการเล่าขานในหนังสือ “Álvar Núñez Cabeza de Vaca: American Trailblazer” โดย Robin Varnum

ในปี 1536 ขณะทหารผู้พิชิต conquistador ได้ยกพลขึ้นบกที่บริเวณตอนเหนือของอ่าว Mexico และพวกเขาได้เห็นชาวอินเดียนแดง 13 คน ยืนจ้องดูการเคลื่อนไหวของพวกตนอย่างตาไม่กระพริบ แทนที่จะวิ่งหนีเข้าป่า เหมือนชาวอินเดียนแดงทั่วไปเวลาเผชิญคนแปลกหน้า ชาวอินเดียนแดงกลับเดินเข้าหา แล้วทหารผู้พิชิตก็ได้เห็นชาย 4 คน (ใน 13 คนนั้น) มีรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณเหมือนชาวยุโรป แต่มีผิวคล้ำแดด ไว้เครายาว และรูปร่างสูงใหญ่ แต่สิ่งที่ทำให้ทหารทุกคนตกตะลึง คือ ชายทั้ง 4 คน สามารถพูดภาษาสเปนได้อย่างคล่องแคล่ว ด้วยสำเนียงที่เหมือนชาวสเปนเดี๊ยะ

การสนทนาระหว่างกัน ได้ทำให้ทหารรู้ว่าชายทั้งสี่มีหัวหน้าชื่อ Núñez Cabeza de Vaca (1490-1560) ซึ่งได้เดินทางไปสำรวจโลกใหม่ และยึดครองดินแดนภายใต้การนำของนายทัพ Panfilo de Narvaez (1470-1528) กับทหาร 600 คน ภัยธรรมชาติและการต่อสู้กับชาวอินเดียนแดงได้คร่าชีวิตของคนเหล่านี้ ไปจนเหลือทหารที่รอดชีวิตเพียง 4 คน


Cabeza de Vaca เกิดที่เมือง Jerez de la Frontera ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของสเปน ในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง เมืองนี้อยู่ใกล้เมืองท่าใหญ่ Cádiz ดังนั้นจึงมีกะลาสีนำเรื่องราวต่าง ๆ ในโลกใหม่มาเล่าสู่กันฟัง จนทำให้ Cabeza de Vaca รู้สึกต้องการไปเยือนโลกใหม่บ้าง

เมื่อกองทัพสเปนทำสงครามขับไล่ทหารมุสลิมแขก Moor ออกนอกสเปนนั้น บรรพบุรุษของ Cabeza de Vaca ได้แอบบอกเส้นทางลับให้ทหารสเปนสามารถจู่โจมตีกองทหาร Moor ได้ โดยไม่ทันตั้งตัว ด้วยการวางกะโหลกศีรษะวัวเรียงรายตามเส้นทางลับนั้น คุณความดีนี้ ได้ทำให้กษัตริย์สเปนพระราชทานนามสกุลให้ใหม่เป็น Cabeza de Vaca ซึ่งแปลว่า กะโหลกวัว ครั้นเมื่อ Cabeza de Vaca ได้ข่าวว่า Panfilo de Narvaez กำลังจะนำกองทัพไปล่าทาสอินเดียนแดง และยึดครองดินแดนในโลกใหม่พร้อมปล้นทรัพย์สมบัติต่าง ๆ เขาก็ได้ไปสมัครเข้าร่วมเดินทางด้วยในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงิน


ขบวนเรือได้ออกเดินทางจากสเปนเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ปี 1527 และเดินทางถึงเกาะ Hispaniola ซึ่งอยู่ระหว่างเกาะ Cuba กับ Puerto Rico เมื่อเดือนกันยายน และอีกหนึ่งเดือนต่อมา พายุได้พัดพาเรือโดยสารสองลำจนอับปางลงที่บริเวณนอกฝั่ง Cuba ทหารหลายคนได้จมน้ำตาย จนเหลือทหารเพียง 300 คน ซึ่งได้แยกย้ายกันค้นหาทองคำและเสบียงอาหาร ในดินแดนที่เป็นรัฐ Florida ในปัจจุบัน แต่ไม่ได้พบทองคำใด ๆ กลับเห็นกระท่อมโกโรโกโสของชาวอินเดียนแดงแทน จึงตัดสินใจบุกรุกเข้าไปในผืนแผ่นดินใหญ่ เพื่อค้นหาทองคำต่อไป ด้วยทหารม้า 40 คน กับทหารเดินเท้า 250 คน และได้ถูกกองทัพนักรบชาวอินเดียนแดงเผ่า Apalachee ที่โหดเหี้ยมโจมตี แม่ทัพ de Narváez จึงต้องถอยทัพกลับชายฝั่ง แต่ไม่ได้เห็นเรือที่จอดทิ้งไว้ จึงพยายามต่อแพขึ้น 5 ลำ เพื่อใช้ในการเดินทางต่อ และแพที่ไม่แข็งแรงได้ถูกกระแสน้ำพัดพาไป จนถึงปากแม่น้ำ Mississippi จึงขึ้นฝั่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 1528 ที่เกาะ Misfortune (ปัจจุบันคือเกาะ Galveston) และถูกนักรบอินเดียนแดงเผ่า Apalachee ล่าชีวิตต่อ จนกระทั่งเหลือทหารสเปนที่รอดชีวิตเพียง 15 คน ซึ่งก็ถูกจับตัวไปเป็นทาสของชาวอินเดียนแดง


ในหนังสือ “La Relacion” (The Account เรื่องเล่า) ที่ Cabeza de Vaca เรียบเรียงหลังจากที่กลับถึงสเปนแล้ว เขาได้บรรยาย เรื่อง ความเมตตาที่พวกเขาได้รับจากชาวอินเดียนแดง ซึ่งได้นำอาหาร เช่น เปลือกไม้ แมลง ผลไม้ป่ามาให้ แม้ว่าอาหารในแถบนั้นจะหายาก และเวลาเห็นทหารสเปนล้มตาย ชาวอินเดียนแดงจะพากันร่ำไห้เป็นเวลาร่วมครึ่งชั่วโมงอย่างจริงจังและส่งเสียงดัง จนคนที่อยู่ไกลก็ได้ยินเสียง


ตลอดเวลา 6 ปี ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวอินเดียนแดง Cabeza de Vaca ได้พยายามหลบหนีหลายครั้ง และได้ประสบความสำเร็จพร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน ในปี 1534 จากนั้นได้ดำรงชีพอีก 2 ปี ด้วยการทำตัวเป็นพ่อค้าขายของเร่ เช่น แลกเปลี่ยนเปลือกหอยและอาหาร กับเสื้อผ้านุ่งห่มที่ทำด้วยหนังสัตว์ และอุปกรณ์ที่ทำด้วยหิน


ในหนังสือ “La Relacion” Cabeza de Vaca ได้กล่าวว่า เขาได้เผชิญอินเดียนแดงเผ่าต่าง ๆ กว่า 20 เผ่า ต้องกินอาหารที่เป็นรากไม้ ผลไม้ป่า และเนื้อกวางบ้าง ด้วยวิธีไล่ต้อนกวางลงแม่น้ำ เมื่อกวางอ่อนแรงก็ใช้ท่อนไม้ทุบตีจนมันตาย แล้วแร่เนื้อเป็นอาหาร การกินอยู่ที่ยากลำบากนี้ ได้ทำให้รูปร่างของคนทั้งสี่เปลี่ยนไปมาก คือ มีผมและเคราที่ยาวมาก ผิวหนังพุพอง เพราะถูกแดดแผดเผา และถูกเสียดสีจากการแบกสัมภาระหนัก

ในปี 1536 คนเดนตายทั้งสี่ ได้พบปะคนร่วมชาติเป็นครั้งแรกที่บริเวณทางตอนเหนือของ Mexico เมื่อเดินทางถึง Mexico City ก็ได้รับการต้อนรับจากชาวเมืองในฐานะเซเลบผู้ยิ่งใหญ่

อีกหนึ่งปีต่อมา Cabeza de Vaca ได้เดินทางกลับไปสเปน และได้เรียบเรียง “La Relacion” ที่บรรยายการผจญภัยของเขากับพรรคพวกในทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 1542 และเป็นหนังสือเบสเซลเลอร์ เพราะคนยุโรปได้ “เห็น” และเข้าใจชีวิตกับธรรมชาติของโลกใหม่เป็นครั้งแรกอย่างละเอียด จากผู้ที่มีประสบการณ์จริง เช่น Cabeza de Vaca ได้กล่าวถึงชาวอินเดียนแดงเผ่าต่าง ๆ ได้บรรยายสไตล์การแต่งตัว เสื้อผ้า ประเพณี ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน ฯลฯ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน แม้ Cabeza de Vaca จะดูแคลนการนับถือไสยศาสตร์ของชาวอินเดียนแดง แต่รายละเอียดด้านอื่น ๆ เช่น ความสามารถทางเทคโนโลยี และการทำอาวุธสงครามก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพราะนักรบชาวอินเดียนแดงเป็นนักยิงธนูที่เก่งกาจ และชาวอินเดียนแดงรักลูกมาก เพราะเวลาลูกตาย พ่อแม่จะร่ำไห้ วันละสามเวลา คือ ตอนเช้าตรู่ เที่ยง และเวลาพลบค่ำ วันแล้ววันเล่าเป็นเวลาหนึ่งปี


หนังสือยังได้กล่าวถึงการพบปะระหว่าง Cabeza de Vaca กับทหารสเปนในปี 1536 ที่เมือง Culiacan ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ Mexico ด้วยว่า ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมและยินดีมาก เพราะทหารสเปนในเวลานั้นมุ่งแต่จะจับตัวชาวอินเดียนแดงไปเป็นทาส ความรู้สึกนี้ได้ทำให้ Cabeza de Vaca ได้ขอร้องให้ยุติการนำตัวชาวอินเดียนแดงที่เดินทางมากับเขาด้วย ไปเป็นทาส และขณะเดินทางกลับสเปน Cabeza de Vaca ได้เห็นน้ำตก Iguazu (ที่อยู่ระหว่าง Argentina กับ Brazil) เขาจึงเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ได้เห็นน้ำตกนี้

หลังจากที่ได้ใช้เวลาช่วงหนึ่งพำนักอยู่ในสเปน Cabeza de Vaca ก็รู้สึกต้องการจะกลับไปเยือนโลกใหม่อีก ยิ่งเมื่อรู้ข่าวว่า กษัตริย์สเปนทรงแต่งตั้งให้ Hernando de Soto (1496-1542) เป็นผู้ว่าราชการที่ Florida Cabeza de Vaca ก็ต้องคอยอีกนาน 3 ปี จึงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้สำเร็จราชการที่แคว้น Río de la Plata ในอเมริกาใต้บ้าง (ดินแดนนี้ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ Uruguay, Argentina และ Paraguay) Cabeza de Vaca ได้เดินทางไปรับตำแหน่งใหม่ในปี 1542 ที่เมือง Asunción แม้กษัตริย์สเปนจะทรงประสงค์ให้ Cabeza de Vaca ยึดครองดินแดนใหม่ในอเมริกาใต้เพิ่มเติม แต่เขาก็พอใจจะปกครองคน มากกว่าจะปกครองดินแดน

การเมินเฉยเช่นนี้ได้ทำให้ศัตรูของ Cabeza de Vaca ซึ่งก็คือ ผู้สำเร็จราชการคนเก่า ตั้งข้อกล่าวหา Cabeza de Vaca ว่า ละเลยต่อหน้าที่ และมีเมตตาต่อชาวพื้นเมืองจนเกินงาม เขาจึงถูกไต่สวน และถูกพิพากษาโดยศาลสเปนว่า บกพร่องทางความสามารถในการปกครอง จึงถูกเนรเทศไปอยู่ในแอฟริกาเหนือ แต่กษัตริย์สเปนได้ทรงประทานอภัยโทษให้ในฐานะที่เป็นนักสำรวจอาวุโสแห่งชาติ

Cabeza de Vaca ได้ใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิดและได้เขียนประสบการณ์การทำงานที่ Paraguay เพิ่มเติมในหนังสือ “La Relacion” แล้วเสียชีวิตที่เมือง Seville ในปี 1560 สิริอายุ 70 ปี


ในภาพรวมผลงานของ Cabeza de Vaca คือ การได้สำรวจธรรมชาติ และเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือ ทั้งพืชและสัตว์ ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี และความเชื่อของชาวพื้นเมืองเผ่าต่าง ๆ ที่เขาได้สนทนา และอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน

ชีวิตของทหารนักสำรวจท่านนี้ จึงนับเป็นตำนานที่ควรค่าแก่การพูดถึง และชื่นชม ในการเอาชนะจิตใจของศัตรู (ชาวอินเดียนแดง) แทนที่จะใช้กำลังในการกำราบ มาใช้วิธีที่นุ่มนวล ด้วยการให้และรับ จนทำให้ผู้คนในโลกเก่า (ยุโรป) ได้อยู่ร่วมกับผู้คนในโลกใหม่ (อเมริกา) อย่างสันติในที่สุด


อ่านเพิ่มเติมจาก “Álvar Núñez Cabeza de Vaca: American Trailblazer” โดย Robin Varnum จัดพิมพ์โดย University of Oklahoma Press ปี 2014 และ “The Mapping of North America” โดย Philip D. Burden จัดพิมพ์โดย Raleigh Publications ในปี 1996


ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์


กำลังโหลดความคิดเห็น