“น้ำ” ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่ในปัจจุบันปัญหามลพิษในน้ำถูกพบมากขึ้น ส่งผลต่อมนุษย์เราที่ต้องใช้น้ำในการดำรงชีวิต และยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พัฒนา "เซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนัก" ตัวช่วยตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนของ 4 โลหะอันตรายอย่าง แคดเมียม, ตะกั่ว, ปรอท และ ทองแดง ในน้ำและพืชสมุนไพร ตอบโจทย์การใช้งานภาคสนามและห้องปฏิบัติการขนาดเล็ก ชูจุดเด่น ตรวจพร้อมกันได้หลายชนิดโลหะ รู้ผลเชิงปริมาณใน 75 วินาที
ดร. วีรกัญญา มณีประกรณ์ หัวหน้าทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยใช้องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์พัฒนาเป็นเซ็นเซอร์ตรวจวัดสิ่งปนเปื้อนในน้ำและพืชสมุนไพร โดย “เซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนัก” นับเป็นเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์การปนเปื้อนโลหะหนัก ได้แก่ แคดเมียม ตะกั่ว ปรอท สารหนู อาศัยเทคนิคเคมีไฟฟ้า เพื่อวัดสัญญาณเคมีไฟฟ้า ใช้ร่วมกับเครื่องวัดแบบพกพา
เซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนัก มีจุดเด่นคือให้ผลการตรวจวัดรวดเร็ว สามารถใช้คัดกรองเบื้องต้นทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณว่ามีการปนเปื้อนสารโลหะหนักหรือไม่ ชนิดใด ในปริมาณเท่าไหร่ โดยการตรวจวัดตัวอย่างน้ำ ได้แก่ น้ำดิบ น้ำดื่ม และน้ำใช้ เซ็นเซอร์ให้ผลการตรวจวัดที่ถูกต้องและแม่นยำ สอดคล้องกับผลการตรวจด้วยเครื่องมือมาตรฐานในห้องปฏิบัติการ (ICP-MS) ซึ่งมีราคาแพงและใช้เวลารอผลนาน โดยความสามารถในการตรวจวัดของเซ็นเซอร์ที่พัฒนาขึ้นนับว่ามีประสิทธิภาพดีเมื่อเทียบกับชุดตรวจที่มีอยู่ในท้องตลาดปัจจุบันที่มีความถูกต้องแม่นยำต่ำ ราคาแพง ใช้เวลาแสดงผลนานประมาณ 10 – 30 นาที เซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นนี้ จึงอาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของน้ำของประชาชนผู้ใช้น้ำให้สามารถตรวจติดตามการปนเปื้อนโลหะหนักในน้ำได้อย่างสม่ำเสมอด้วยตนเอง
ดร. ณัฏฐพร พิมพะ หัวหน้าทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันน้ำเพื่อการอุปโภคในประเทศไทย 80% เป็นการให้บริการโดยหมู่บ้านและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (น้ำประปาหมู่บ้าน) และ 17% ให้บริการโดย การประปาส่วนภูมิภาค และการประปานครหลวง ข้อมูลจากกรมอนามัยชี้ให้เห็นว่า น้ำประปาหมู่บ้านที่ได้มีมาตรฐาน ผ่านเกณฑ์คุณภาพน้ำประปาดื่มได้ของกรมอนามัยมีเพียง 34.4%
“แนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว สามารถใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ตรวจวัดคุณภาพน้ำ จัดการมลพิษที่แหล่งต้นกำเนิด เพิ่มประสิทธิภาพระบบประปาหมู่บ้าน รวมทั้งการเสริมองค์ความรู้และศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกับผู้นำชุมชนในการจัดการน้ำและคุณภาพน้ำ จากความสำคัญดังกล่าว คลินิกคุณภาพน้ำ โดย สวทช. จึงเกิดขึ้นจากความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ องค์การส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และมหาวิทยาลัยต่างๆ” ... ดร. ณัฏฐพรกล่าว