xs
xsm
sm
md
lg

อัศวประวัติและความสำคัญของ "ม้า" ในอารยธรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อประมาณ 30 ปีก่อนนี้ ทีมนักโบราณคดีภายใต้การนำของ Alex Pryor ได้ลงมือขุดลอกสุสานม้าตรงบริเวณถนน Elverton ในกรุงลอนดอน เพื่อนำกระดูกมาวิเคราะห์แหล่งที่มาของม้า ตลอดจนศึกษาสภาพการถูกคนใช้งานของมัน

ผลการศึกษาซากกระดูกทำให้รู้ว่า ม้าเป็นสัตว์ชั้นสูงที่ใช้แสดงฐานะทางสังคมของเจ้าของในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12 เหมือนรถ Benz หรือ Lamborghini ที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเศรษฐีในสมัยนี้ และในยุคนั้นกีฬาการต่อสู้บนหลังม้าที่อัศวินใช้ทวนแทงคู่ต่อสู้ให้ตกจากหลังม้า ขณะม้าวิ่งสวนกัน


O.H. (Oliver) Creighton แห่งมหาวิทยาลัย Exeter ในอังกฤษ ได้กล่าวถึงกีฬาประเพณีนี้ว่า ชนชั้นสูงที่มีความประสงค์จะมีม้าดีในครอบครอง จึงได้ทุ่มเทเงินซื้อม้าพันธุ์ดีในราคาแพงมาก เพื่อนำออกแสดงในงานต่อสู้กันบนหลังม้าในเทศกาล การเป็นเจ้าของม้าแข่ง จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ผู้คนใช้แสดงออกซึ่งความร่ำรวย


ในการศึกษาเรื่องนี้ Pryor ได้นำกระดูกฟันกรามของม้า จำนวน 22 ซี่ จากม้า 15 ตัวมาวิเคราะห์ โดยได้สกัดเคลือบฟันออกมาเพื่อวัดปริมาณ isotope ของธาตุ strontium, oxygen และ carbon ในฟัน แล้วนำไปเปรียบเทียบกับฟันของม้าที่ถูกเลี้ยงในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก จนได้ผลสรุปว่า ม้าที่ล้มตายในสุสาน เป็นม้าที่มีถิ่นกำเนิดใน Scandinavia, Spain และทางตอนใต้ของ Italy ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ม้าที่สำคัญของยุโรป โดยเขาจะเลี้ยงม้า จนกระทั่งมีอายุ 2-3 ปีก่อน แล้วจึงส่งออกขายในต่างประเทศ

การวิเคราะห์กระดูกยังทำให้เรารู้อีกว่า ม้าที่ใช้ในการต่อสู้เป็นม้าที่แข็งแรง เพราะมีลำตัวสูงใหญ่กว่าม้าทั่วไป ข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการศึกษาครั้งนั้น จึงทำให้นักประวัติศาสตร์รู้ธรรมชาติของม้าแข่ง ตลอดจนถึงธุรกิจการซื้อ-ขายม้าในยุโรปอย่างค่อนข้างจะสมบูรณ์ เพราะบรรดากษัตริย์ ขุนนาง และเศรษฐี จะส่งตัวแทนออกไปกว้านซื้อม้าพันธุ์ดีจากตลาดม้าที่มีอยู่ทั่วยุโรป เพื่อนำกลับมาทูลถวายกษัตริย์ และขายให้แก่เศรษฐีที่ต้องการจะอวดรวย

มนุษย์ได้มีความสัมพันธ์และความผูกพันกับม้ามาเป็นเวลานานร่วม 6,000 ปีแล้ว โดยได้นำมาเลี้ยง ใช้งานแบกขนสัมภาระ เดินทางไกล ประกอบพิธีกรรม สื่อสาร ไถนาทำเกษตรกรรม และสู้รบในสงคราม จนทำให้มันเป็นสัตว์ที่มีบทบาทมากในการเปลี่ยนแปลงอารยธรรมของโลก


คนไทยเราก็รู้จักม้าดี แม้จะไม่ดีมากเท่าวัว ควาย หรือช้าง ซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง แต่วรรณคดีของเราก็มีสำนวน เช่น พระเอกขี่ม้าขาว ในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน มีม้าสีหมอก ในเรื่องรามเกียรติ มีม้านิลมังกรของสุดสาคร ที่มีตัวเป็นม้า หัวเป็นมังกร และมีเกล็ดตามตัวเป็นสีดำ รามเกียรติยังมีม้าอุปการ ซึ่งจะถูกปล่อยให้เดินไปตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างอิสระ โดยมีทหารติดตามไปด้วย ถ้าใครจับม้าไว้ เขาคนนั้นจะถูกจับตัวไปบูชายัญ แต่ถ้าม้าหยุดเดินที่ใคร คน ๆ นั้นก็จะได้เป็นเจ้าเมือง ในป่าหิมพานต์ก็มีอัสดรวิหค คือ สัตว์ที่มีตัวเป็นม้า แต่มีหัวเป็นนก และเหมราอัสดร ซึ่งเป็นสัตว์ผสมระหว่างม้ากับตัวเหมรา

นอกจากนี้เราก็มีสำนวนเขียนและพูดเกี่ยวกับม้าอีกมากมาย เช่น ม้าใช้ ซึ่งหมายถึงคนรับใช้ ม้ามืด คือ คนที่ชนะโดยไม่มีใครคาดคิด ม้าแก่ หมายถึง คนที่มีประสบการณ์มากจนสามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ม้าดีดกะโหลก คือ ผู้หญิงที่มีนิสัยลุกลี้ลุกลน เป็นต้น

สำนวนเขียนของคนอังกฤษที่เกี่ยวกับม้าก็มีมาก เช่น

flog a dead horse หมายถึง แพ้ตั้งแต่เริ่มต้น

from a horse's mouth หมายถึง การรู้ข่าวจากต้นเรื่อง มิใช่จากคนอื่น นำมาบอก

back the wrong horse หมายถึง การคิดผิดว่าจะชนะ

และ look a gift horse in the mouth หมายถึง การถามหาคุณค่าจากบางสิ่ง บางอย่าง ซึ่งจะไม่ได้ผลอะไรเลย


ชาวยุโรปในสมัยโบราณมีเทพนิยายเกี่ยวกับม้ามากมาย เช่น ชาวบาบิโลนกล่าวถึงเทพธิดา Astarte แห่งความรักว่า ทรงโปรดปรานม้ามาก ชาวกรีกก็มีเทพธิดา Demeter ผู้ทรงมีหน้าที่พิทักษ์ปกป้องโลก และพระนางทรงถูกเทพแห่งมหาสมุทรนามว่า Poseidon ทรงหลงรัก และได้ติดตามตื้อพระนางอย่างไม่ลดละ Demeter จึงทรงแปลงพระองค์เป็นม้าตัวเมีย แต่ Poseidon ทรงรู้ทัน จึงทรงแปลงร่างเป็นม้าตัวผู้ เทพนิยายกรีกยังมีม้าบิน Pegasus และคนครึ่งม้า Centaur ผู้มีตัวเป็นม้า และหัวเป็นคน

คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงพระราชินี Sheba ว่า เวลาเสด็จไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ Solomon พระนางทรงนำม้าอาหรับรูปงามไปถวายเป็นราชบรรณาการ ของขวัญชิ้นนี้ได้ทำให้กษัตริย์ Solomon ทรงโปรดปราน และรักพระนางมาก

ชาวอียิปต์ เมื่อ 3,100 ปีก่อน ไม่รู้จักม้า เพราะในเวลานั้นแอฟริกาไม่มีม้า มีแต่ลาและอูฐ แต่เมื่อคนอียิปต์รู้จักม้า ซึ่งเป็นสัตว์ที่ปราดเปรียวและแข็งแรง ภารกิจในการเดินทาง และขนส่งสัมภาระ จึงถูกโยนไปให้ม้าทำแทน


ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 อันเป็นยุคล่าอาณานิคม นายพล Hernando Cortez (1485-1547) แห่งกองทัพสเปนได้ยกทัพบุกอาณาจักร Aztec ในทวีปอเมริกากลาง กองทหารของ Cortez มีทหารเพียง 500 คน มีปืนใหญ่ 11 กระบอก และมีม้าเพียง 16 ตัว สามารถยึดครองอาณาจักร Aztec ได้ โดยที่ฝ่ายสเปนไม่เสียกำลังคนเลย เพราะเมื่อชาว Aztec ได้เห็นม้า ซึ่งไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ต่างก็รู้สึกกลัวจนลนลาน ยิ่งเมื่อได้เห็น Cortez ขี่ “สัตว์ประหลาด” ก็ยิ่งรู้สึกกลัว เพราะคิดว่า Cortez คือเทพ Quetzalcoatl ที่ได้ทรงละทิ้งอาณาจักร Aztec ไป และได้ทรงกลับมา เพื่อจะปกครองอาณาจักร Aztec อีก ชาว Aztec จึงพร้อมกันถวายอาณาจักรให้นายพล Cortez ปกครอง เหตุการณ์นี้ทำให้นักประวัติศาสตร์บางคนสรุปว่า ถ้า Cortez ไม่มีม้า อาณาจักร Aztec ก็อาจจะคงสภาพเหลืออยู่คู่โลกตราบจนวันนี้ก็ได้


เมื่อจักรพรรดิ Alexander มหาราช (356-323 ก่อนคริสตกาล) แห่งอาณาจักร Macedonia เสด็จออกสงคราม ทุกครั้งพระองค์จะทรงม้าคู่พระทัยชื่อ Bucephalus และเมื่อ Bucephalus ล้มตาย ความอาลัยอาวรณ์ได้ทำให้ Alexander ทรงโปรดให้สร้างเมือง Bucephalia ขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความผูกพัน

ยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 5-10 เป็นยุคที่อัศวิน (chivalry) เรืองอำนาจ (คำนี้มาจากคำ cheval ที่แปลว่าม้า) เพราะในสมัยนั้น อัศวินทุกคนต้องมีม้าคู่ชีวิต ไม่ว่าอัศวินจะยากจน ติดหนี้ จนถึงขั้นล้มละลาย เจ้าหนี้ก็ไม่สามารถจะยึดม้าและเกราะของอัศวินไปจากเจ้าของได้ อนึ่งเวลาเดินทาง อัศวินจะมีม้าสี่ตัวเดินไปด้วยกัน โดยตัวแรกเป็นม้านำ คือ เดินนำเจ้าของเข้าราชพิธี ตัวที่สองเป็นม้าที่แข็งแรง สำหรับให้อัศวินขี่ ตัวที่สามเป็นม้าสำรองแทนม้าตัวที่สองยามมันเหนื่อยล้า และตัวสุดท้ายเป็นม้าขนสัมภาระ เช่น เกราะ ดาบ และธนู ซึ่งเป็นอาวุธคู่กายของอัศวิน

ด้านชาวโรมันในคริสต์ศตวรรษที่หนึ่ง ก็มีประเพณีแข่งรถศึก (chariot) ซึ่งเทียมม้า 2 ตัว สำหรับใช้ลากรถไปในสนามแข่งอันเป็นลานกว้าง และ ณ ที่สุดของเส้นทางจะมีเสาปักให้เป็นที่กลับรถ คนที่ชนะการแข่งรถศึกจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารทางการเมือง เพราะผู้ชนะ คือ วีรบุรุษของชาติ

สำหรับบทบาทของม้าในงานศิลปะก็มีมาก เช่น ในปี 1482 Leonardo da Vinci (1452 –1519) ซึ่งมีผู้อุปถัมภ์ คือ Duke Ludovico Sforza (1452-1508) ได้ออกแบบอนุสาวรีย์ม้าที่ทำด้วยทองสำริด เพื่อเทิดทูนเกียรติ พอดี Milan ได้เกิดสงครามกับฝรั่งเศส ท่าน Duke ได้ประกาศระดมรวบรวมโลหะสำริดจากชาวเมืองมาหล่อหลอม เพื่อสร้างปืนใหญ่ ทำให้ da Vinci ไม่มีวัสดุดิบเพียงพอสำหรับสร้างม้าโลหะได้ โครงการ It Cavallo จึงต้องล้มไป


ส่วนศิลปินที่สามารถวาดภาพม้าได้เหมือนจริงก็คงจะได้แก่ George Stubbs (1724-1806) ซึ่งเป็นจิตรกรชาวอังกฤษ ผู้วาดภาพม้าให้วงการศิลปะและวิทยาศาสตร์ได้ชื่นชม Stubbs เป็นแพทย์ประจำที่มหาวิทยาลัย York ในอังกฤษ และชอบวิทยาศาสตร์ด้านชีววิทยามาก เมื่อครั้งที่ไปเยือน Morocco Stubbs ได้เห็นสัตว์ป่า เช่น สิงโต ม้า เสือ ก็รู้สึกประทับใจมาก และเริ่มงานด้านกายวิภาคศาสตร์ของม้า และได้เขียนตำราคลาสสิก พร้อมภาพวาดชื่อ “The Anatomy of the Horse” โดยเน้นความละเอียด สัดส่วนที่ถูกต้อง โดยจะวาดภาพของสัตว์ก่อน แล้วเติมฉากหลังในภายหลัง


จีนก็เป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีความผูกพันกับม้ามาก ที่สุสาน Yanghai บนที่ราบ Tarim ทางทิศตะวันตกของจีน Ulrich Beck (1944 –2015) แห่งสถาบันโบราณคดีที่ Berlin ได้พบศพนุ่งกางเกงขนแกะ ที่มีลักษณะเหมือนกางเกงขี่ม้าในปัจจุบันมาก หลักฐานนี้จึงแสดงให้เห็นว่า คนเลี้ยงสัตว์ในเวลานั้นได้ออกแบบและตัดเย็บกางเกง เพื่อใช้สวมเวลาขี่ม้า ในการเดินทางไกล และสู้รบในสงคราม รายงานที่ตีพิมพ์ข่าวนี้ได้ปรากฏในวารสาร Quaternary International ฉบับวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 2014 และได้รายงานว่า มนุษย์เริ่มขี่ม้า เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนนี้ การวัดอายุของกางเกง แสดงให้รู้ว่ามันมีอายุประมาณ 3,000 ปี และที่ขากางเกงมีลูกปัดประดับ คนที่สวมกางเกงนั้นมีอายุประมาณ 40 ปี ที่หลุมศพยังพบบังเหียนม้าที่ทำด้วยหนังสัตว์ ขวาน ที่หุ้มแขน แส้ม้า และคันธนูด้วย

อากาศที่แห้งและร้อนได้ช่วยให้ศพและเสื้อผ้าของคนเลี้ยงสามารถคงสภาพอยู่ได้ เมื่อก่อนนั้นทีมวิจัยนี้ได้เคยพบศพที่สวมกางเกงทำด้วยขนแกะที่มีอายุเพียง 2,600 ปี และประเพณีนุ่งกางเกงก็ได้เริ่มต้น เมื่อ 400 ปีก่อนนั้น


ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 จักรพรรดิ Genghis Khan (1155-1227) แห่งอาณาจักรมองโกลที่กว้างใหญ่ไพศาล โดยมีพรมแดนทางตะวันออก ตั้งแต่เกาหลีทางทิศตะวันออกไปจนจรดฮังการีทางทิศตะวันตก ส่วนทางเหนือตั้งแต่รัสเซียไปจนจรดเวียดนามทางใต้ พระปรีชาสามารถในการมีอาณาจักรใหญ่เช่นนี้ เพราะพระองค์ทรงมีกองทัพม้าที่มีจำนวนมากถึง 800,00 ตัว ในขณะที่กองทัพมีกำลังพลเพียง 200,000 คน เท่านั้นเอง

ไม่เพียงแต่จักรพรรดิเท่านั้นที่ทรงเห็นความสำคัญของม้า ชาวบ้านเองก็ตระหนักในคุณค่าของม้ามองโกล และรักมันมาก เพราะเวลาออกศึก ม้ามองไกลที่ปราดเปรียวและวิ่งได้เร็ว จะสามารถบุกโจมตีกองทัพข้าศึกได้อย่างฉับพลันทันที จนข้าศึกตั้งตัวไม่ทันหรือเวลากองทัพม้ามองโกลเพลี่ยงพล้ำ ม้าก็จะควบนำทหารมองโกลหนี จนศัตรูไล่ตามไม่ทัน ดังเหตุการณ์ที่เกิดในปี 1219 เมื่อกองทัพในจักรพรรดิ Genghis Khan บุกโจมตีรัสเซีย โดยมีทหารเพียง 50,000 คน ในการต่อสู้ระยะแรก ทหารมองโกลสู้ไม่ได้ จึงถอยหนี และทหารรัสเซียได้ควบม้าไล่ตาม หลังจากที่หนีไปไกล จนม้าทั้งสองฝ่ายเหนื่อยล้า แม่ทัพมองโกลก็นำม้าสำรองออกจากที่ซ่อน รุกไล่ฆ่าทหารรัสเซียเป็นว่าเล่น

เมื่อม้ามีคุณค่าเช่นนี้ Genghis Khan จึงทรงบัญชาให้ทหารแสดงความโอบอ้อมอารีต่อม้า เช่น ให้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ ให้กินอาหารจนอิ่ม ในยามสงครามที่ทหารขาดแคลนอาหารจะบริโภคก็ให้ดื่มเลือดของม้าตัวผู้ และดื่มนมของม้าตัวเมีย เพื่อประทังชีวิต หรือเวลาเจ้าของม้าเสียชีวิต บรรดาลูกหลานก็จะฆ่าม้าคู่กายของผู้ตาย เพื่อส่งวิญญาณม้าไปเป็นม้าใช้ในปรภพ และนี่ก็คือเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นเมื่อ Genghis Khan สวรรคต ในพิธีศพของ Genghis Khan ข้าราชบริพารได้ฆ่าม้าไป 40 ตัว เพื่อให้จักรพรรดิได้ทรงประทับบนวิญญาณม้าเดินทางไปในสวรรค์ ประเพณีมองโกลยังระบุอีกว่า ต้องไม่ให้ใครล่วงรู้ที่ฝังพระศพของจักรพรรดิ ดังนั้น ถ้าใครบังเอิญเห็นขบวนพระศพ หรือรู้ที่ฝังพระศพ เขาคนนั้นก็จะถูกฆ่าในทันที

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่มีใครรู้สถานที่ฝังศพของ Genghis Khan ตราบจนวันนี้


ด้านนักชีววิทยาก็มีความต้องการจะรู้เส้นทางด้านวิวัฒนาการของม้า ตั้งแต่ยุค Pleistocene ซึ่งได้สิ้นสุดเมื่อ 11,700 ปีก่อน มาจนถึงม้าเลี้ยงในปัจจุบันนี้ว่า มีความเป็นมาอย่างไร มีลักษณะที่แตกต่างจากลา และจากม้า Przewalski (อ่านว่า sheh-val-skees) อย่างไร และได้พบว่าบรรพบุรุษของม้าและลา ได้เริ่มถือกำเนิดเมื่อ 4-4.5 ล้านปีก่อน แต่เส้นทางการวิวัฒนาการม้าดึกดำบรรพ์ได้เปลี่ยนรูปโฉมไปเพียงใดนั้น ก็ยังหาความสมบูรณ์ของภาพการเปลี่ยนแปลงไม่ได้


ดังนั้นเมื่อมีข่าวการพบม้ายุคหินที่ยังมีชีวิตอยู่ในปี 1994 โลกจึงตื่นเต้นมาก โดยบุคคลที่พบฝูงม้าดังกล่าว คือ Michel Peissel (1937-2011) ซึ่งเป็นนักสำรวจด้านชาติพันธุ์วิทยา ชาวฝรั่งเศส ที่ได้พบม้ายุคหินโดยบังเอิญ หลังจากที่ได้เดินทางไปสำรวจที่ราบสูงทิเบตเป็นเวลานาน 6 สัปดาห์ และได้แวะผ่านหุบเขา Riwoche ที่อยู่ระหว่างเทือกเขาสูง เขาได้เห็นม้าตัวหนึ่งเล็มหญ้าอยู่ใกล้ป่า เป็นม้าที่มีรูปร่างน่าเกลียด ไม่เหมือนม้าปัจจุบันเลย แต่มีรูปร่างเหมือนภาพวาดของม้าป่าที่ปรากฏบนผนังถ้ำ Lascaux และ Chauvet ในฝรั่งเศสมาก Peissel จึงคิดว่า มันคงเป็นม้าพิการ แต่เมื่อได้เห็นม้า “พิการ” อีก 20 ตัว เดินเข้ามารวมกันเป็นฝูง ทุกตัวมีรูปอัปลักษณ์เหมือนกัน Peissel จึงตระหนักในทันทีได้ว่า เขาได้พบม้าสกุลใหม่ที่ไม่มีใครในโลกเคยรู้จักมาก่อน

ขนม้าสกุลนี้มีสีน้ำตาลอ่อน ม้ามีความสูง 1.2 เมตร (วัดจากไหล่จนถึงเท้าม้า) มันจึงเตี้ยกว่าม้าธรรมดา กะโหลกศีรษะเป็นรูปสามเหลี่ยม แผงขนบนคอมีลักษณะเป็นขนแหลม ขาหลังและส่วนหลังของมันมีแถบลายสีดำพาดผ่าน ม้าพันธุ์นี้มีขาสั้น ตาเล็ก ใบหูสั้น จมูกก็เล็ก นักวิจัยจึงเรียกมันว่า ม้า Riwoche ที่มีถิ่นอาศัยอาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทิเบต

ทีมวิจัยจึงนำเลือดม้าสายพันธุ์ใหม่ไปวิเคราะห์และทดสอบ DNA แล้วนำไปเปรียบเทียบ DNA กับม้าป่าสายพันธุ์อื่น เช่น ม้า Przewalski ซึ่งเป็นม้ามองโกลที่พบโดย Nickolai Przewalski เมื่อปี 1879 และชอบอยู่กันเป็นฝูง มีหัวหน้าฝูง และเป็นม้าขาสั้นที่แข็งแรง ม้าสายพันธุ์นี้ได้สูญพันธุ์ไปจากป่าแล้ว แต่ก็สามารถพบได้เฉพาะที่ศูนย์เพาะเลี้ยง ม้าสายพันธุ์นี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า takhi หรือ ม้ามองโกล เป็นม้าที่ไม่เคยถูกนำไปเลี้ยงเลย มันจึงเป็นม้าป่าจริง ๆ และจะอยู่ในจีน มองโกเลีย และ Kazakhstan เท่านั้น

ม้ามองโกลเป็นม้าในตำนานที่มีบทบาทมานานมากในประวัติศาสตร์ของจีน โดยเฉพาะบนเส้นทางแพรไหม จนได้รับฉายาว่า อาชาจากสวรรค์ (heavenly horse) และมีชื่อในภาษาจีนว่า tianma เพราะได้ทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรจีนกับนานาประเทศในยุโรป


เพราะ tianma เป็นม้าที่แข็งแรงและวิ่งเร็ว ดังนั้นจักรพรรดิ Wudi แห่งราชวงศ์ Han (206 ปี ก่อนคริสตกาล - ค.ศ.220) ทรงประสงค์จะสร้างความสัมพันธ์กับต่างชาติ จึงสั่งทูตทางการค้าไปเจริญสัมพันธไมตรี แต่ขบวนทูตมักถูกกองโจรเร่รอนในทะเลทราย (พวก Xiongnu) ปล้นสดมภ์

จักรพรรดิทรงแก้ปัญหานี้ โดยการส่งกองทหารม้าไปพิทักษ์ขบวนทูตด้วย ม้าที่ทรงใช้ในการนี้ เป็นม้าที่มาจากอาณาจักร Da Yuan ที่อยู่ในเอเชียกลาง ตรงบริเวณหุบเขา Ferghana และให้แม่ทัพชื่อ Zhang Qian เป็นหัวหน้านำขบวนทูตไป เพื่อสร้างสัมพันธ์ทางทหารกับต่างชาติให้มาต่อสู้กับพวก Xiongnu และให้นำม้ามองโกลที่มีชื่อเสียงกลับมาด้วย

ตลอดการเดินทางที่นาน 13 ปีแม่ทัพ Zhang Qian ได้ถูกพวก Xiongnu จับตัว 2 ครั้ง และหลบหนีออกมาได้ เมื่อกลับถึงอาณาจักร Han แม่ทัพมีลูกน้องกลับมาด้วย เพียงหนึ่งคน และไม่มีม้ากลับมาเลย

จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ Han จึงต้องส่งคนไปซื้อม้ามองโกลอีก 10 ครั้ง เพราะทรงเลื่อมใส และศรัทธาม้าสายพันธุ์นี้มาก


ในปี 1969 ได้มีการพบตุ๊กตาม้าไม้ ในหลุมฝังศพของนายพลที่มณฑล Gansu ของจีน ซึ่งเป็นมณฑลที่มีเส้นทางแพรไหมตัดผ่าน รูปหล่อได้แสดงให้เห็นความสง่างามของม้า ในเวลาต่อมารัฐบาลจีนจึงได้จัดตั้งศูนย์ผสมพันธุ์ม้า (tianma) ขึ้นเพื่ออนุรักษ์ม้าสายพันธุ์นี้ จนปัจจุบันมีม้าร่วม 2,000 ตัวแล้ว

อ่านเพิ่มเติมจาก “Ancient horse’s DNA fills in picture of equine evolution” โดย Tina Hesman Saey ฉบับ JUNE 26, 2013


ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์


กำลังโหลดความคิดเห็น