สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เปิดเวทีเสวนา “ขับเคลื่อนงานวิจัยเพื่อรองรับสังคมสูงวัย” ใน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566” นักวิชาการชี้“การขาดการเรียนรู้และขาดรายได้” ถือเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมผู้สูงวัย แนะการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ควรให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมพร้อมสร้างภาคประชาสังคม ในการสร้างเศรษฐกิจจากการเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 ที่ห้องประชุมโลตัส 3-4 ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพ ภายในงาน“มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566” หรือ “ Thailand Research Expo 2023” สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดเสวนาวิชาการ เรื่อง “ขับเคลื่อนงานวิจัย เพื่อรองรับสังคมสูงวัย” ขึ้น เพื่อเป็นเวทีในการเผยแพร่ผลงานวิจัยที่มีคุณภาพและมีศักยภาพในการนำไปสู่การใช้ประโยชน์ เกิดการเชื่อมโยงบูรณาการองค์ความรู้ และผลักดันให้เกิดการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ศาสตราจารย์ พญ.จิรพร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้ช่วยเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ นพ.ภูษิต ประคองสาย เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย รองศาสตราจารย์ ดร. นัทธี สุรีย์ รองผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมการศึกษา วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศาสตราจารย์ ระพีพรรณ คำหอม ประธานหน่วยบูรณาการประเด็นยุทธศาสตร์ด้านสังคมสูงวัยจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และคุณศิรินทร์พร เดียวตระกูล ผู้อำนวยการภารกิจการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศด้านการรองรับสังคมสูงวัย จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยมี ผศ.ดร.แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง จากมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นผู้ดำเนินรายการ
ศาสตราจารย์ พญ.จิรพร เหล่าธรรมทัศน์ กล่าวถึงการพัฒนาศักยภาพชุมชนวิสาหกิจด้านการบริบาลผู้สูงอายุว่า เริ่มทำงานดังกล่าวด้วยเพราะเห็นถึงความทุกข์ทางใจของผู้สูงอายุที่ถูกทิ้งไว้ในบ้านพักคนชรา และต้องโดดเดี่ยวเดียวดายในบั้นปลายของชีวิต จึงเกิดแนวคิด “นำผู้สูงอายุกลับบ้าน” โดยการช่วยกันสร้างระบบการดูแลผู้สูงอายุวิถีไทย ที่ทำให้ผู้สูงอายุได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในชุมชนท่ามกลางครอบครัว ญาติมิตรและเพื่อนบ้าน เป็นพลังสร้างสรรค์ของชุมชน มีระบบดูแลยามเวลาไม่ป่วยไข้ และมีระบบส่งต่อสู่สถานพยาบาลยามเจ็บป่วย ดังนั้น ทีมวิจัยจึงร่วมกันสร้าง “นักบริบาลผู้สูงอายุมืออาชีพ” ที่ดูแลผู้สูงอายุได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือ สามารถรวมกลุ่มกันทำงาน เพื่อสร้างเศรษฐกิจในชุมชนที่อยู่ได้อย่างเข้มแข็ง
“จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูล พบว่า มีผู้สูงอายุเพียง 20 % เท่านั้นที่ได้รับการดูแลจากภาครัฐ อีกประมาณ 80 % ได้รับการดูแลจากคนในครอบครัวหรือชุมชน ซึ่งด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ โครงการที่ทำอยู่จะไม่เข้าไปอยู่ภายใต้ข้อผูกมัดหรือกฎเกณฑ์ของภาครัฐหรืออยู่ภายใต้ภาคเอกชนที่ถูกขับเคลื่อนด้วยงบประมาณ แต่จะมุ่งเน้นการสร้างอาชีพด้วยภาคประชาสังคม ให้มีหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ซึ่งปัจจุบันมีตัวอย่างชุมชนที่นำหลักสูตรการสร้างนักบริบาลผู้สูงอายุมืออาชีพ ไปดำเนินการแล้ว เช่น ที่แม่มอกหลั่นล้าอีโคโนมี้ วิสาหกิจชุมชนน่านกระซิบรัก วิสาหกิจชุมชนแม่จันหลั่นล้าอีโคโนมี้”
ศาสตราจารย์ พญ.จิรพร กล่าวอีกว่า ในส่วนของการสร้างบุคลากรสำหรับดูแลผู้สูงอายุและสร้างเสริมสุขภาพของผู้ผู้สูงอายุให้ดียิ่งขึ้นนั้น ปัจจุบันเราได้บทเรียน ได้องค์ความรู้ และได้เครื่องมือ มีการทดลอง หาประสบการณ์ ซึ่งในปีนี้ทีมวิจัยพร้อมที่จะขยายผลออกไป โดยดำเนินการขับเคลื่อนขบวนการดูแลผู้สูงอายุวิถีไทยให้เป็นนโยบายของประเทศ ซึ่งจะนำร่องทำงานในระดับภูมิภาคและระดับจังหวัดเพื่อให้เกิดพลังขับเคลื่อนที่เพียงพอ
ด้าน นพ.ภูษิต ประคองสาย กล่าวถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุไทยอย่างรอบด้านโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่า จากการทำงานกับวช.มาเกือบ10 ปี พบว่าเรามีการสร้างผลงานวิจัยและนวัตกรรมมากมาย แต่สิ่งที่ยังขาดคือ การนำไปสู่การใช้ประโยชน์ในชุมชน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าผู้ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากคือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่จะทำให้เกิดความมีส่วนร่วมและเกิดความยั่งยืน ทีมวิจัยจึงมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าสามารถนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาได้จริงผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยดำเนินงานผ่าน6ทีมวิจัยย่อยในแต่ละพื้นที่ ที่สามารถเลือกนำเครื่องมือต่างๆ ไปใช้งานได้ตามความเหมาะสม
อย่างไรก็ดีมองว่าปัจจุบันหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นมีความสนใจในงานด้านการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของนักวิจัยที่จะพิสูจน์ให้หน่วยงานเหล่านี้เห็นถึงประโยชน์ของงานวิจัย ที่จะช่วยส่งเสริมบทบาทของการเป็นหน่วยงานท้องถิ่นที่สมบูรณ์แบบมากกว่าการออกกฎ ระเบียบให้หน่วยงานปฏิบัติ
ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร. นัทธี สุรีย์ กล่าวถึง นวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาทักษะงานในยุคดิจิทัลสำหรับผู้สูงวัย ว่า 1 ในเป้าหมายของการเรียนรู้ตลอดชีวิต คือ กลุ่มผู้สูงวัย ซึ่งมีการเรียนรู้ต่างจากเด็ก ๆ ซึ่ง มช.ได้รับการสนับสนุนจาก วช.ในการทำโครงการ “มีดี” ซึ่งหมายถึงระบบนิเวศของการสร้างการเรียนรู้ และนำการเรียนรู้ไปสร้างประโยชน์ในการสร้างรายได้เพื่อลดภาระพึ่งพิงของตนเองในครอบครัว ซึ่งปัจจุบัน “การขาดการเรียนรู้และขาดรายได้” ถือเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมผู้สูงวัย และอนาคตยังจะเจอปัญหาใหญ่ที่กำลังจะเข้ามาคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่นิยมการมีบุตรดังนั้นกลุ่มที่จะเป็นผู้สูงวัยในอนาคตต้องเลี้ยงตนเอง
แนวคิดโครงการ ฯ จึงมุ่งสู่ความสุขที่ยั่งยืน โดยการพัฒนาศักยภาพเพิ่มเติม สร้างหลักสูตร สร้างทักษะและมีการพัฒนาอาชีพ “มีดี” จะทำวัยเกษียณให้เป็นวัยสร้างสรรค์ โดยเป็นแพลตฟอร์มให้กับผู้สูงวัยได้เรียนรู้ตลอดชีวิต ปัจจุบันโครงการฯ มีการถอดบทเรียน และร่วมกับพันธมิตร 79 หน่วยงานใน77 จังหวัด ขยายพื้นที่จาก จ.เชียงใหม่ ที่เป็นแซนบ็อกซ์ ไปสู่ 17 จังหวัดในภาคเหนือก่อนกระจายไปสู่ทั่วประเทศ
สำหรับเป้าหมายและแนวทางในการขับเคลื่อนงานวิจัยด้านสังคมสูงวัย ศาสตราจารย์ ระพีพรรณ คำหอม กล่าวว่าประเทศไทยเป็นเป้าหมายสำคัญของการมาอยู่หลังเกษียณของชาวต่างประเทศ เพราะมีระบบการแพทย์ที่ดี มีสังคมที่น่าอยู่และมีค่าครองชีพที่ไม่แพงจนเกินไป ขณะเดียวกันประเทศไทยใน 10 ปีข้างหน้า ก็มีความท้าทายอย่างมากใน 4 วิกฤติการณ์ที่จะเกิดขึ้นคือ เรื่องของการขาดแคลนแรงงาน การบริโภคที่เปลี่ยนไป ธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่เติบโตได้ยาก นอกจากนี้สังคมไทยเป็นผู้ใช้นวัตกรรมแต่ไม่ใช่ผู้สร้าง และเกิดสถานการณ์ “แก่ก่อนรวย” ซึ่งแนวโน้มคนไทยที่มีอายุยืนจะมีมากขึ้น
ศาสตราจารย์ ระพีพรรณ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันถือว่าเป็นเวลาที่ดีที่ทุกภาคส่วนมีการบูรณาการกันมากขึ้น ซึ่งโจทย์ของ วช. ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว โดยในแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุระยะที่ 3 (พ.ศ.2566-2580) นั้นมีเรื่องของการเตรียมความพร้อมของประชากรก่อนวัยสูงอายุ การยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สุงวัยอย่างทั่วถึง การปฏิรูปและบูรณาการระบบบริการเพื่อรองรับสังคมสูงวัยและมีการเพิ่มศักยภาพการวิจัยการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมรองรับสังคมสูงวัย ซึ่งสำคัญมาก ทั้งนี้การทำงานวิจัยเรื่องผู้สูงวัย อยากให้มองไปในระยะยาวมากขึ้น ซึ่งเรื่องของทุนไม่ใช่ปัญหา
คุณศิรินทร์พร เดียวตระกูล กล่าวถึงก้าวต่อไปของงานวิจัยด้านการรองรับสังคมสูงวัย ว่า จากแผนด้าน ววน. พศ.2566-2570 ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการนำ ววน.มาเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเรื่องของเศรษฐกิจและสังคม โดยในแผนงานด้านการพัฒนานวัตกรรมรองรับสังคมสูงวัย จะอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 2 ในเรื่องของการยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อมให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสามารถที่จะแก้ปัญหาและปรับตัวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วโดยใช้ ววน. จากการดำเนินงานทางด้านการรับรองสังคมสูงวัย เป็นเรื่องที่ วช. ให้การสนับสนุนเช่นเดียวกัน ในปีงบประมาณ 2567 ด้านการพัฒนาผู้สูงอายุทั้งในภาคเมืองและชนบทให้มีศักยภาพและมีคุณค่า พึ่งพาตนเองได้ ซึ่งจะมีนวัตกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีพลังและมีประโยชน์รวมถึงเรื่องการเปลี่ยนเกษียณเป็นพลัง ทั้งนี้แนวทางในการขับเคลื่อนงานวิจัยด้านสังคมสูงวัยที่ตอบโจทย์ท้าทายของสังคมไทย จะต้องมีการบูรณาการนโยบาย ระบบ และกลไก การบริหารระบบวิจัยเชิงกลยุทธ์ และการมุ่งเป้าความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล
สำหรับงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566” หรือ “Thailand Research Expo 2023” กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-11 สิงหาคม 2566 ที่ห้องประชุมชั้น 22-23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.researchexpo.go.th