xs
xsm
sm
md
lg

บันทึกนอกประวัติศาสตร์ ของบุคคลในตำนาน (ตอนที่ 1)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณมักกล่าวถึง ฟาโรห์ว่าเป็นผู้ชาย แต่เมื่อ 3,500 ปีก่อนนี้ อาณาจักรอียิปต์เคยมีฟาโรห์เป็นผู้หญิง ผู้ทรงพระนามว่า Hatshepsut (คำนี้แปลว่า สตรีสูงศักดิ์ผู้โดดเด่นที่สุด) โดยพระนางได้ปลอมพระองค์เป็นผู้ชาย ด้วยการมีพระทาฐิกะ และให้ช่างปั้นอนุสาวรีย์ของพระนางให้มีกล้ามเนื้อ


ตลอดรัชสมัยที่พระนางทรงครองราชย์ตั้งแต่ 1478-1458 ปีก่อนคริสตกาล พระนางทรงมีพระราชอำนาจยิ่งกว่า Cleopatra และ Nefertiti มาก อาณาจักรก็เจริญรุ่งเรืองด้วยการค้าขายทองคำ งาช้าง เครื่องหอม และหนังสัตว์ จากการทำธุรกิจการค้ากับต่างชาติ Punt (ซึ่งในปัจจุบัน คือ ประเทศ Eritrea) ในด้านการสถาปัตยกรรม พระนางทรงโปรดให้มีการสร้างมหาวิหาร Deir el – Bahri ที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร เป็นที่เก็บพระศพของพระนาง


แต่เมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ พระศพได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย อนุสาวรีย์ของพระนางที่ทรงสร้างได้ถูกโค่นทำลาย พระนามและพระกรณียกิจต่าง ๆ ของพระนาง ที่ถูกจารึกตามผนังกำแพงและอาคารก็ถูกขูดขีดลบไปจนสิ้น โดยพระราชบัญชาของฟาโรห์ Tuthmosis ที่ 3 ซึ่งเป็นพระราชบุตรเลี้ยง เพราะพระองค์ทรงไม่ประสงค์จะให้ลูกรู้จักพระนาง Hatshepsut กระนั้นชื่อเสียงของพระนางก็ยังคงปรากฏอยู่ตราบจนทุกวันนี้ และในปี 2007 ก็ได้มีการชันสูตรมัมมี่ ซึ่งแสดงว่า เป็นมัมมี่ของ Hatshepsut ที่ลบเลือน

อัตชีวิตประวัติของ Hatshepsut ได้จารึกว่า ฟาโรห์ Tuthmosis ที่ 1 ได้ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระมเหสี Ahmes เมื่อ 3,600 ปีก่อน และมีพระโอรสกับพระธิดาหลายพระองค์ แต่มีพระองค์เดียวเท่านั้นที่รอดชีวิต คือ เจ้าหญิง Hatshepsut

ครั้นเมื่อ Tuthmosis ที่ 1 สิ้นพระชนม์ เจ้าหญิง Hatshepsut ทรงมิสามารถขึ้นครองราชย์ได้ เพราะทรงเป็นผู้หญิง พระโอรสใน Tuthmosis ที่ 1 กับพระสนม จึงได้ขึ้นครองราชย์แทนเป็น Tuthmosis ที่ 2 และทรงสมรสกับ Hatshepsut ซึ่งเป็น half-sister (คือ มีพระบิดาร่วมกัน แต่มีพระมารดาคนละคนกัน) การสมรสกันในระหว่างบรรดาเครือญาติ เพื่อให้สายเลือดในพระราชวงศ์บริสุทธิ์ตามความเชื่อของคนในยุคนั้น แต่คนทั้งสองไม่มีทายาท

ฟาโรห์ Tuthmosis ที่ 2 ทรงเป็นฟาโรห์ที่อ่อนแอ (ทั้งกายและใจ) ดังนั้นอำนาจในการปกครองอาณาจักร จึงตกเป็นของ Hatshepsut จนกระทั่ง Tuthmosis ที่ 2 สิ้นพระชนม์ จึงได้มีการทูลเชิญพระโอรสใน Tuthmosis ที่ 2 กับพระสนม Isis ขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์ Tuthmosis ที่ 3 ผู้มีพระชนมายุเพียง 10 พรรษา ทำให้ Hatshepsut ซึ่งเป็นพระมารดาเลี้ยง ต้องเข้ามาช่วยปกครองบ้านเมือง และนางก็ได้สถาปนาตนเป็นผู้สำเร็จราชการในนาม “พระธิดาแห่งสุริยเทพ Re” ปกครองอาณาจักรอียิปต์ร่วมกับ Tuthmosis ที่ 3


ในเบื้องต้นคนทั้งสองร่วมมือกัน และช่วยกันปกครองบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี แต่ต่อมา Hatshepsut ทรงประสงค์จะกำจัด Tuthmosis ที่ 3 จึงโปรดให้ไปทำสงครามกับศัตรู ครั้นเมื่อสงครามสิ้นสุด Tuthmosis ที่ 3 ซึ่งทรงประสงค์จะให้ฟาโรห์ทุกพระองค์เป็นผู้ชาย จึงคิดทวงราชบัลลังก์คืน แล้วความประสงค์ของพระองค์ก็เป็นความจริง เพราะ Hatshepsut ได้ประชวร และสิ้นพระชนม์ แต่ไม่มีใครรู้ชัดว่าเมื่อไร เพราะเหตุใด และพระศพถูกนำไปฝัง ณ ที่ใด ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ Hatshepsut อีก จนกระทั่งปี 1822 เมื่อนักโบราณคดีสามารถอ่านจารึกที่ปรากฏอยู่บนกำแพงวิหาร Deir el – Bahri ออก


การค้นหามัมมี่ของ Hatshepsut จึงเกิดขึ้น จนถึงปี 2007 ก็ได้พบมัมมี่สองศพ ที่มีเค้าว่า หนึ่งในนั้นคือพระศพของ Hatshepsut ซึ่งได้ปลอมตัวเป็นแม่นม เพราะพระนางทรงเกรงว่า Tuthmosis ที่ 3 ยังอาฆาตพระนางอยู่ และจะมาทำลายศพจนสิ้นซาก

การพิสูจน์หลักฐาน โดยใช้ CT scan กับอัฐิของมัมมี่ที่ต้องสงสัย แล้วนำไปเปรียบเทียบกับโครงกระดูกของบรรดาพระญาติของ Hatshepsut ตลอดจนถึงการตรวจ DNA โดยใช้ลำแสงเลเซอร์ที่มีเส้นผ่านศูนย์ยาว 0.23 มิลลิเมตร เห็นโมเลกุลและเนื้อเยื่อต่าง ๆ เป็นเวลานาน 15 ชั่วโมง ก็ได้ข้อสรุปว่า

พระนาง Hatshepsut มิได้ทรงถูกทำร้ายด้วยอาวุธมีคม เพราะพระอัฐิยังทรงพระรูปปกติ แต่ได้สิ้นพระชนม์ไปในวัย 50 พรรษา เพราะล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งกระดูก มิใช่ด้วยโรคมาลาเรีย วัณโรค หรือฝีดาษแต่อย่างใด และขณะนี้ พระมัมมี่ของพระนาง Hatshepsut อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Egyptian Museum ในกรุง Cairo


คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึง Samson ว่าเป็นนักรบยิวผู้มีพละกำลังมหาศาล เพราะได้พิชิตกองทัพทหารชาว Philistine ที่ป่าเถื่อนจนไม่มีใครสามารถต่อต้านได้ แต่ในที่สุด Samson ก็ถูกนาง Delilah ล้วงถามความลับเกี่ยวกับต้นเหตุของการมีพลังมาก และ Samson ก็ได้อ้างถึงเส้นผมของตนที่มีบนศีรษะ ในเวลาต่อมานาง Delilah ได้มอมเหล้า Samson จนหมดสติ แล้วตัดปอยผมของ Samson ไป ทำให้พละกำลังในร่างกายได้อันตรธานไปในทันที Samson จึงถูกจับไปทรมานจนตาทั้งสองข้างบอดสนิท และในที่สุด Samson ก็ได้ทูลขอพรจากพระเจ้าให้ตนสามารถใช้พละกำลังเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อการทำลายกำแพงและเสาในวิหารที่กักขังตน จนสถานที่จองจำอันเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ของชาว Philistine ได้พังพินาศ และถล่มทับนักรบชาว Philistine รวมถึงตัว Samson เอง จนเสียชีวิตไปในเวลาเดียวกัน


เรื่องเล่านี้อ่านสนุก ถ้าเป็นคนอ่านที่ไม่คิดอะไรมากหรือสงสัยว่า เส้นผมของคนมีพละกำลังสะสมได้อย่างไร แต่เมื่อ Eric Altschuler ซึ่งเป็นจิตแพทย์แห่งมหาวิทยาลัย California วิทยาเขต San Diego ในสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้อำนวยการของ Metropolitan Hospital ได้วิเคราะห์บุคลิกภาพ ของ Samson ตามที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ จากนั้นก็มีความเห็นว่า Samson มีอาการผิดปกติทางจิตใจ โดยเป็นคนที่มีบุคลิกภาพแนว antisocial personality disorder (ASPD) คือ มีความรู้สึกต่อต้านสังคม นิยมชอบการต่อสู้ โปรดปรานการทะเลาะวิวาทกับบุคคลอื่น อาจจะถึงระดับที่รุนแรงมาก เพราะคัมภีร์อ้างว่า Samson ได้สังหารนักรบชาว Philistine ไปประมาน 1,000 คน และยังได้ใช้ไฟเผาอาคาร เป็นการแก้แค้นอีกด้วย และไม่เคยรู้สึกเสียใจในการกระทำของตนเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งไม่สนใจว่าชีวิตของตนจะเป็นอันตรายหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่านาง Delilah ได้เคยพยายามฆ่าตนมาแล้วถึง 3 ครั้ง ก็ยังบอกความลับของตนเองให้นางรู้


การอ่านประวัติของ Samson ยังแสดงให้เห็นว่า Samson ในวัยเด็กเป็นคนชอบพูดปด นิยมใช้ไฟเผาทรมานสัตว์ โปรดปรานการลักขโมยและรังแกคนอื่น ๆ อาการทางจิตลักษณะนี้ Altschuler เรียกว่าเป็นความผิดปกติด้านบุคลิกภาพ ซึ่งถ้าพิจารณาตามเกณฑ์ในคู่มือ Diagnostic and Statitical Manual Mental Disorders (DSM) แล้ว Samson มีอาการป่วยทางจิตอย่างสมบูรณ์แบบ Altschuler ได้นำบทวิเคราะห์ของเขานี้ เผยแพร่ในวารสาร Archives of General Psychiatry เมื่อปี 2001 ซึ่งได้ทำให้หลายคนในวงการจิตวิทยาและวงการศาสนาตื่นเต้นพอสมควร เพราะมันเป็นงานวิจัยบุกเบิกที่ได้วิเคราะห์บุคลิกภาพของบุคคลในคัมภีร์ไบเบิล

ปัจจุบันการวิเคราะห์โรคทั้งทางกายและทางใจของบุคคลที่มีชื่อเสียงในอดีต กำลังเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เช่น ได้มีการประชุมทำนองนี้ในชื่อ Clinicopathologic Conference ซึ่งได้ข้อสรุปมากมายที่น่าประหลาดใจ เช่น จักรพรรดิ Alexander มหาราช (356-323 ปีก่อนคริสตกาล) ได้ทรงประชวรด้วยไข้รากสาดน้อย (typhoid) จนเป็นอัมพาต ส่วนคีตกวี Wolfgang Amadeus Mozart (1756-1791) ได้ล้มป่วยด้วยโรคไขข้อ (rheumatism) ด้านนักประพันธ์ Edgar Poe (1809-1849) ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคพิษสุนัขบ้า


สำหรับกรณีของ Claudius ซึ่งเป็นจักรพรรดิโรมันที่เสด็จสวรรคตเมื่อ ค.ศ. 54 นั้น คณะแพทย์ประจำองค์จักรพรรดิได้เคยรายงานว่า พระองค์ทรงปวดพระนาภีอย่างรุนแรง ทรงอาเจียน และทรงหายใจอย่างติดขัด พระอาการทั้งหลายนี้ ได้ชี้นำให้นายแพทย์ William A. Valente แห่งมหาวิทยาลัย Maryland ในสหรัฐอเมริกา รู้ว่าพระองค์ทรงดื่มยาพิษ จากเห็ดพิษที่พระมเหสี Agrippina ทรงจัดให้ ซึ่งก็ตรงกับความเห็นของนักประวัติศาสตร์ที่ว่า พระนาง Agrippina ทรงวางแผนจะสังหารจักรพรรดิ Claudius เพื่อให้ Nero ซึ่งเป็นพระโอรสในพระนางได้เสด็จขึ้นครองราชย์แทนเจ้าชาย Beittanicus ผู้ทรงเป็นรัชทายาทโดยตรงที่จักรพรรดิ Claudius ทรงโปรดปราน


สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตของนักการเมืองปังๆ ในอดีตนั้นก็มีหลากหลาย เช่น เมื่อวันที่ 21 มกราคม ปี 1924 แพทย์ประจำตัวของ Vladimir Lenin (1870-1924) รัฐบุรุษแห่งรัสเซียได้ลงบันทึกว่า ก่อนจะเสียชีวิตเพียงเล็กน้อย Lenin มีอาการเสมือนจะเป็นลม และทางราชการได้พยายามปกปิดสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงของ Lenin เป็นเวลานานร่วม 40 ปี จวบจนวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ชัดว่า Lenin ถูกใครฆ่าเพราะเหตุใด ดังนั้นการเดาสาเหตุจึงมีหลากหลาย เช่น บางคนคิดว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Lenin ตาย คือ เป็นโรคผู้หญิง (syphilis) บ้างก็อ้างว่า Lenin ตายเพราะเส้นเลือดในสมองแตก หรือป่วยเป็นโรคหัวใจวาย หรือดื่มเหล้าองุ่นที่มีตะกั่วพิษปน ข้อสรุปสาเหตุที่แตกต่างกันมากนี้ ได้ทำให้ทางการต้องเก็บสมองของ Lenin ไว้ในพิพิธภัณฑ์ เพื่อจะได้ตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงในภายหลัง


แต่เมื่อเรากลับไปอ่านสมุดบันทึกของแพทย์ประจำตัวที่รักษา Lenin เขากลับบอกว่า ก่อน Lenin จะเสียชีวิตเพียง 3 เดือน Lenin แทบจะพูดไม่ได้ และพูดได้ครั้งละไม่กี่คำ ร่างกายด้านขวาก็เป็นอัมพฤกษ์ โดยที่กล้ามเนื้อมีอาการกระตุกในบางเวลา นอกจากนี้ Lenin ก็ยังเป็นโรคหวาดระแวงว่าจะมีคนมาฆ่าด้วย

สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตของ Lenin นั้น ก็ยังไม่มีการสรุป เพราะ Harry Vinters แห่งวิทยาลัยแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัย California ที่ Los Angeles ได้พบว่า หลังจากที่ได้อ่านรายงานการชันสูตรศพของ Lenin ซึ่งมีข้อมูลวิทยาศาสตร์มากพอสมควร Vinters มีความเห็นว่า Lenin ไม่เคยมีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ ที่ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ เช่น ไม่ดื่มเหล้า (ซึ่งเป็นข้อมูลที่แทบไม่น่าเชื่อสำหรับคนหัวรุนแรง เช่น Lenin) เกลียดการสูบบุหรี่ ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เพราะไตยังอยู่ในสภาพปกติ และหัวใจไม่พองโต

แม้วิถีชีวิตของ Lenin จะเต็มไปด้วยเรื่องเครียด เพราะพ่อของ Lenin มีปัญหาเรื่องเส้นเลือดในสมองอุดตัน จนเสียชีวิตไปเมื่อมีอายุเพียง 54 ปี Lenin เองก็มีเส้นเลือดที่แข็งตัว Vinters จึงคิดว่าอาการพูดไม่ได้และอาการอัมพฤกษ์ของ Lenin แสดงให้เห็นว่า Lenin ตายด้วยโรค ischemic infarction และกล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนตาย เพราะเส้นเลือดถูกหินปูนอุดตัน และสมองมีเส้นเลือดตีบมากมาย


ด้าน Lev Lurie ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย St.Petersburg ในรัสเซีย ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์นี้ โดยให้เหตุผลว่า ในปี 1822 สุขภาพของ Lenin ได้เริ่มทรุดลงแล้ว เพราะมีอาการเครียดมาก จากการมีความต้องการจะกำจัด Joseph Stalin แต่ Stalin รู้ตัวก่อน จึงวางแผนยึดอำนาจ และ Lurie คิดว่า Stalin คงได้วางยาพิษ Lenin จึงต้องตายเพราะถูกวางยา Lurie ยังได้รายงานต่ออีกว่า คนเป็นอัมพฤกษ์จะไม่มีอาการชัก แต่ Lenin ชัก ดังนั้น เขาจึงคิดว่ายาพิษคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Lenin ต้องเสียชีวิต


ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์


กำลังโหลดความคิดเห็น