รมว.เอนก จับมือ รมว.ศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีญี่ปุ่น ประกาศเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในการประชุมเอเปคพร้อมขยาย 2 ความร่วมมือผลิตวิศวกรนักปฎิบัติและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวิจัย หนุนสร้างสถานีวิจัยแสงซินโครตอนเครื่องที่ 2 ของไทยที่อีอีซี
เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ได้นำคณะผู้บริหารของกระทรวง อว. มาราชการที่ประเทศญี่ปุ่น และได้เข้าหารือกับนางนะงะโอกะ เคโกะ รมว.ศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (MEXT) ของญี่ปุ่น ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง โดยผลการหารือเป็นไปอย่างดียิ่ง แสดงถึงความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นของทั้งสองกระทรวง ในโอกาสนี้จึงได้ขยายผลความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน หรือ Comprehensive Strategic Partnership ซึ่งคณะรัฐมนตรีเพิ่งให้ความเห็นชอบ และไทย-ญี่ปุ่นจะประกาศร่วมกันในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมเอเปค
รมว.อว.กล่าวต่อว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันที่จะมุ่งเน้นประเด็นความร่วมมือแบบมุ่งเป้าในสองเรื่อง คือ 1.การพัฒนาและผลิตวิศวกรนักปฏิบัติ เน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีผ่านโครงการสถาบันไทยโคเซ็น ที่ไทยและญี่ปุ่นจะร่วมกันดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขยายผลให้มากและรวดเร็วขึ้นอีก และ 2.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะการสร้างสถานีวิจัยแสงซินโครตรอนเครื่องที่สองของประเทศไทย
“ไทย-ญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางด้านวิชาการหลายอย่างยาวนานมาก โดยสถานีวิจัยแสงซินโครตรอนเครื่องแรกของไทยที่ จ.นครราชสีมา ก็ดำเนินการโดยความร่วมมือและการสนับสนุนของประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน จนปัจจุบันประเทศไทยมีความก้าวหน้าในทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์อย่างมาก ได้เรียนรู้และมีประสบการณ์จากเครื่องดังกล่าว ซึ่งนำมาใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว กระทรวง อว. โดยสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) ตั้งเป้าว่าการจัดสร้างสถานีวิจัยแสงซินโครตรอนเครื่องที่สองนั้น จะดำเนินการโดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรไทยเป็นหลัก โดยให้มีการออกแบบและผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ภายในประเทศให้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ยังต้องการความร่วมมือและการสนับสนุนทางวิชาการจากนานาชาติ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำในเรื่องนี้ของโลก โดยประสงค์ให้ความร่วมมือในทางวิชาการเรื่องซินโครตรอนนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างของความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอย่างเท่าเทียมกัน ในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน รวมทั้งการสามารถขยายไปสู่ระดับภูมิภาคนี้ด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาบุคลากรเทคโนโลยีชั้นสูงของภูมิภาคต่อไป” ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว