xs
xsm
sm
md
lg

ทำความรู้จัก “ร่องมรสุม” หนึ่งในปัจจัยให้ฝนตกหนัก ต้นเหตุปัญหาน้ำท่วม รอระบาย ไหลหลาก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในช่วงที่ผ่านมาในหลายๆ พื้นที่ของประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ซึ่งได้สร้างผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับการดำเนินชีวิต หนึ่งในเหตุผลหลักๆ ก็คือฝนที่ตกหนัก ซึ่งมีปัจจัยจากหลายๆ ด้านจากธรรมชาติ หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ฝนตกหนักในช่วงนี้ก็คือ “ร่องมรสุม” ที่เราจะได้ยินกันบ่อยครั้งจากประกาศของทางกรมอุตุนิยมวิทยา

ตัวอย่างประกาศวันที่ 11 ก.ย. 65 “ในช่วงวันที่ 11 - 13 ก.ย. 65 ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง”


MGROnline Science จึงขอนำความรู้เรื่อง “ร่องมรสุม – มรสุม” มาให้ผู้อ่านได้รู้จักกัน

“ร่องมรสุม” (Monsoon Trough) เป็นโซนหรือแนวแคบๆ ที่ลมเทรดหรือลมค้าในเขตร้อนของทั้ง 2 ซีกโลกมาบรรจบกัน คือ ลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือของซีกโลกเหนือกับลมค้าตะวันออกเฉียงใต้ของซีกโลกใต้ มีลักษณะเป็นแนวพาดขวางในทิศตะวันออก - ตะวันตก ในร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องมรสุมเป็นบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ มีกระแสอากาศไหลขึ้น-ลงสลับกัน ร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องมรสุมจะอยู่ในเขตร้อนใกล้ๆ เส้นศูนย์สูตร และจะมีการเลื่อนขึ้น-ลงตามแนวโคจรของดวงอาทิตย์โดยจะล้าหลังประมาณ 1-2 เดือน ความกว้างของร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องมรสุมประมาณ 6 - 8 องศาละติจูด เป็นบริเวณที่มีเมฆมากและฝนตกอย่างหนาแน่น ฉะนั้น เมื่อร่องนี้ประจำอยู่ที่ใดหรือผ่านที่ใดก็จะทำให้ที่นั้นฝนตกอย่างหนาแน่นได้


ร่องมรสุมเกิดจาก แนวความกดอากาศต่ำ ทำให้เกิดฝนตก ซึ่งเป็นลักษณะอากาศของประเทศไทย แนวร่องความกดอากาศต่ำจะอยู่ในแนวทิศตะวันตก และทิศตะวันออก ร่องมรสุมจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งตามการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ เช่น เมื่อดวงอาทิตย์โคจรอ้อมไปทางทิศเหนือ ร่องมรสุมก็จะเคลื่อนที่ตามไปด้วย การเคลื่อนที่ของร่องมรสุมมีผลต่อการเปลี่ยนทิศทางการรับลม เช่น ร่องมรสุมที่เคลื่อนที่ไปทางด้านทิศเหนือ บริเวณที่รับลมทางด้านทิศเหนือจะเปลี่ยนไปเป็นการรับลมจากทางด้านทิศใต้ทันที ร่องมรสุมมีผลต่อการเกิดฝนตกอันเนื่องมาจากสาเหตุข้างต้นคือ ทำให้อากาศบริเวณดังกล่าวยกตัวลอยสูงขึ้น ขยายตัวกลายเป็นเมฆฝน บริเวณร่องมรสุมจึงมักมีเมฆมากและมีฝนตก ส่วนประเทศไทยร่องมรสุมเกิดจากการปะทะกันของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ มีผลทำให้เกิดฝนตกเป็นบริเวณกว้าง ถ้าแนวชนของร่องมรสุมทั้งสองชนกันยิ่งแคบจะเกิดเป็นพายุฝนฟ้าคะนองได้ง่าย และถ้าเกิดร่องมรสุมนาน จะส่งผลให้เกิดฝนตกนานทำให้เกิดน้ำท่วมได้เช่นกัน


ในส่วนของ “มรสุม” นั้นเป็นการหมุนเวียนส่วนหนึ่งของลมที่พัดตามฤดูกาล คือ ลมประจำฤดู เป็นลมแน่ทิศ และสม่ำเสมอ คำว่า "มรสุม” หรือ Monsoon มาจากคำ Mausim ในภาษาอาหรับ แปลว่า “ฤดูกาล” ในครั้งแรกได้นำคำนี้มาใช้เรียกลมที่เกิดในทะเลอาหรับก่อน ลมนี้เป็นลมที่พัดมาจากภาคพื้นทวีปแถบประเทศอาฟกานิสถาน ปากีสถานและตอนเหนือของประเทศอินเดีย ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่ทะเลอาหรับ เป็นระยะเวลา 6 เดือน แล้วเปลี่ยนกลับไปในทิศทางตรงข้าม คือ จากทะเลอาหรับเข้าสู่ภาคพื้นทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นระยะเวลา 6 เดือน เช่นกัน ต่อมาได้นำคำนี้ไปใช้เรียกลมที่มีลักษณะอย่างเดียวกันแต่เกิดขึ้นในส่วนอื่นของโลกด้วย


สาเหตุใหญ่ๆ ในการเกิดมรสุม คือ เกิดขึ้นเนื่องจากความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิของพื้นดิน และพื้นน้ำทำนองเดียวกับลมบกลมทะเล ในฤดูหนาวอุณหภูมิของดิน ภาคพื้นทวีปเย็นกว่าอุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรที่อยู่ใกล้เคียง อากาศเหนือพื้นน้ำจึงมีอุณหภูมิสูงกว่าและลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน อากาศเหนือทวีปซึ่งเย็นกว่าไหลเข้าไปแทนที่ ทำให้เกิดเป็นลมพัดออกจากทวีป พอถึงฤดูร้อนอุณหภูมิของดินภาคพื้นทวีปร้อนกว่าน้ำในมหาสมุทร เป็นเหตุให้เกิดลมพัดไปในทิศทางตรงกันข้าม


และมรสุมหรือลมประจำฤดูที่มีกำลังแรงจัดที่สุด ได้แก่ มรสุมที่เกิดในบริเวณภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเซีย อันเป็นที่ตั้งของประเทศเวียดนาม กัมพูชา ลาว ไทย มาเลเซีย พม่าบังคลาเทศ อินเดียและปากีสถาน โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งอยู่ในเขตอิทธิพลของมรสุม ลมตะวันตกเฉียงใต้เริ่มต้นพัดเข้าสู่ภาคกลางของประเทศ ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมไปจนถึงต้นเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นระยะของฤดูฝน ต่อจากนั้นลมจะแปรปรวน และเริ่มเปลี่ยนเป็นทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณปลายเดือนตุลาคมไปจนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นระยะเวลาของฤดูหนาว

ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา


กำลังโหลดความคิดเห็น