โลกมีนักดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น Caroline Herschel (1780-1848) ผู้พบดาวหาง 8 ดวง และศึกษาเนบิวลาเป็นจำนวนมากกว่า 2,500 เนบิวลา หลายคนอาจจะรู้จัก Henrietta Swan Leavitt (1868-1921) ผู้ได้ศึกษาดาวแปรแสง Cepheid ซึ่งความสว่างของดาว (m) เปลี่ยนแปลงตามเวลาเป็นคาบ (P) ตามสมการ 5 logd = m + 2.9 logP + 6.2 เมื่อ d คือ ระยะทางที่ดาวแปรแสงอยู่ห่างจากโลก ซึ่งวัดเป็น parsec (3.26 ปีแสง) และ P มีหน่วยเป็นวัน การรู้ความสว่าง m และรู้คาบ P ของการเปลี่ยนแปลงทำให้เธอรู้ระยะทางที่ดาวอยู่ห่างจากโลก และความสำคัญของการค้นพบนี้ได้ทำให้ Edwin Hubble รู้ในเวลาต่อมาว่า เอกภพของเรากำลังขยายตัวตลอดเวลา แต่เธอก็ไม่ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ เพราะในเวลานั้นรางวัลโนเบลมิได้เป็นรางวัลที่มอบให้แก่นักดาราศาสตร์
นักดาราศาสตร์สตรีคนสำคัญต่อมา คือ Eleanor Margaret Burbidge (1922-2020) ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ของนักดาราศาสตร์ทฤษฎี เจ้าของทฤษฎี B2FH ซึ่งย่อมาจากชื่อของ E.M. Burbidge กับสามี Geoffrey Burbidge, William Fowler และ Fred Hoyle ซึ่งได้อธิบายการถือกำเนิดของดาวฤกษ์และธาตุหนักในเอกภพ แต่เมื่อรางวัลโนเบลฟิสิกส์ประจำปี 1983 ประกาศ ผู้ที่ได้รับ คือ William Fowler กับ Subrahmanyan Chandrasekhar
ด้าน Vera Rubin (1928-2016) ก็เป็นนักดาราศาสตร์สตรีอีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากในฐานะที่เป็นบุคคลแรก ซึ่งได้ศึกษาการโคจรของดาวฤกษ์ต่าง ๆ รอบจุดศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือก และได้พบว่าดาวฤกษ์ที่เธอศึกษานั้นมีความเร็วที่ “ผิดปกติ” คือ มิได้เป็นไปตามกฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน และถ้าจะให้กฎของนิวตันถูกต้อง กาแล็กซีจะต้องมีสสารมืด (dark matter) ที่ไม่มีใครเห็น แอบแฝงอยู่ทั้งในและนอกกาแล็กซี การค้นพบของเธอทำให้ทุกคนรู้ว่าสสารมืดมีจริงในธรรมชาติ
ข่าวใหญ่สุดท้ายเกี่ยวกับนักดาราศาสตร์สตรี คือ ข่าวที่ Andrea Ghez ได้รับการประกาศให้เป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งของรางวัลโนเบลฟิสิกส์ประจำปี 2020 ร่วมกับ Reinhard Genzel ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของ Roger Penrose ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎีวิวัฒนาการของเอกภพ
เพราะ Ghez และ Genzel ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าที่ใจกลางของกาแล็กซีทางช้างเผือกและกาแล็กซี Andromeda มีหลุมดำที่มีมวลมากมหาศาล โดยที่เธอกับ Genzel สามารถถ่ายภาพของหลุมดำทั้งสองได้เป็นครั้งแรก และการถ่ายภาพนี้ได้เป็นไปอย่างเป็นอิสระจากกัน คือ ต่างคน ต่างทำ
การศึกษาประวัติของ Ghez ได้แสดงให้เห็นว่า เธอเกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ปี 1965 ที่เมือง New York ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่ออายุ 4 ขวบ เธอได้เฝ้าดูเหตุการณ์มนุษย์อวกาศ Neil Armstrong และ Buzz Aldrin ก้าวเท้าเหยียบย่างบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ปี 1969 ภาพที่เห็นทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก จนถึงกับระล่ำระลักบอกพ่อและแม่ว่า เมื่อโตขึ้น เธอต้องการจะเป็นมนุษย์อวกาศบ้าง แม้ว่าในเวลานั้น เธอต้องการจะมีอาชีพนักเต้นบัลเลต์
แต่เมื่อเธอได้ไปฝึกทำวิจัยวิทยาศาสตร์ที่ห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย Chicago เธอก็เริ่มรู้สึกรักวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาก ดังนั้นเมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาในวัย 18 ปี เธอจึงไปสอบเข้าเรียนฟิสิกส์ที่สถาบัน Massachusetts Institute of Technology (MIT) ครั้นเมื่อเธอได้ไปฝึกทำงานวิจัยด้านดาราศาสตร์ที่หอดูดาวของมหาวิทยาลัย Caltech ที่เมือง Pasadena ในรัฐ California เธอได้รู้สกตื่นเต้นและชอบดาราศาสตร์มาก จึงตัดสินใจไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่ Caltech
เพราะที่นั่นมีกล้องโทรทรรศน์ Hale ซึ่งมีเลนส์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 5 เมตร และมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลกในเวลานั้น ขณะฝึกงานอยู่ที่ยอดเขา Palomar ประสบการณ์นี้ก็ได้ทำให้ Ghez ตระหนักว่า สิ่งที่เธอสนใจมากที่สุด คือ อุปกรณ์ถ่ายภาพที่ใช้ความรู้เรื่อง speckle (จุดเล็ก ๆ) ในการบันทึกภาพทางดาราศาสตร์ เพราะเวลานักดาราศาสตร์จะถ่ายภาพดาวทุกดวงในอวกาศ แสงจากดาวจะต้องเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก ซึ่งตามปกติจะมีอุณหภูมิไม่สม่ำเสมอตลอดระยะสูงเหนือพื้นดิน นอกจากนี้บรรยากาศก็ยังมีมลภาวะ มีเมฆหมอก และมีพายุเป็นครั้งคราว ดังนั้นอากาศบางส่วนจะมีอุณหภูมิสูง และบางส่วนจะมีอุณหภูมิต่ำ อากาศบางส่วนจะเคลื่อนที่เร็ว และบางส่วนจะเคลื่อนที่ช้า ความอลวนเช่นนี้ ทำให้อากาศมีดัชนีหักเหไม่สม่ำเสมอ ด้วยเหตุนี้แสงจึงเดินทางผ่านบรรยากาศในลักษณะที่ไม่เป็นเส้นตรง ความอลวนนี้จึงทำให้ภาพของดาวที่ปรากฏ ไม่คมชัด คือ เปรียบเสมือนกับการพยายามดูก้อนหินที่จมอยู่ที่ก้นสระ ขณะน้ำในสระกระเพื่อมขึ้น-ลงตลอดเวลา
ตามปกติเทคโนโลยีถ่ายภาพแบบ speckle สามารถจับภาพของดาวด้วยกล้องถ่ายภาพที่เปิดหน้ากล้องในช่วงเวลาสั้นมาก คือ ระดับ 0.001 วินาที ทำให้ได้ภาพเป็นจำนวนมากนับหมื่นภาพ และแต่ละภาพจะแสดงดาวที่มีแสงกระจัดกระจายออกจากตัวเหมือนลูกไฟ จากนั้น Ghez ก็ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์รวบรวมภาพของลูกไฟทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อกำจัดแสงส่วนที่กระจายออกให้หมด ทำให้ได้ภาพของดาวที่แท้จริง
ในขณะที่ Ghez ใช้เทคโนโลยี specklephotometry นี้ นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ได้รู้จักใช้เทคโนโลยีนี้แล้ว แต่ก็ใช้กับแสงที่ตาเห็น ซึ่งมีความยาวคลื่นต่าง ๆ กัน (เพราะแสงอาทิตย์มีหลายสี) ดังนั้นโปรแกรมการคำนวณที่ต้องใช้ในการปรับแต่งภาพจึงซับซ้อนมาก Ghez กับอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอที่ Caltech จึงตัดสินใจพัฒนาเทคนิค speckle ใหม่ เพื่อให้เหมาะสำหรับการรับรังสีอินฟราเรดโดยเฉพาะ เพราะเธอรู้ดีว่ากลุ่มแก๊สที่อยู่ในกาแล็กซีจะปล่อยรังสีอินฟราเรดออกมามาก เนื่องจากแก๊สมีอุณหภูมิสูง
แต่ในใจส่วนลึกของ Ghez กับอาจารย์ที่ปรึกษา คือ การตระหนักรู้ว่ารังสีอินฟราเรดที่ออกมาจากแก๊สนั้น เกิดจากการที่แก๊ส หรือเนื้อดาวฤกษ์ถูกหลุมดำดึงดูดเข้าสู่ตัวมัน ดังนั้น Ghez จึงร่วมงานเขียน software ที่จะใช้วิเคราะห์ภาพของฝุ่นแก๊ส ซึ่งอยู่ ณ ที่ใจกลางของกาแล็กซี อันเป็นสถานที่อยู่ของหลุมดำด้วย พูดง่าย ๆ คือ เธอต้องการจะถ่ายภาพของหลุมดำ โดยใช้เทคนิค specklephotometry แต่เธอก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะยังไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ อีกมาก
ดังนั้นในการเสนอวิทยานิพนธ์ เธอจึงได้ปรับเปลี่ยนหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่เธอทำ เป็นการศึกษาสาเหตุการถือกำเนิดของดาวคู่ (binary stars) ที่ต่างก็โคจรรอบจุดศูนย์กลางมวลของมัน เพราะเธอได้พบว่าดาวประเภทนี้มีมากในกาแล็กซีทางช้างเผือก และเธอต้องการจะรู้ว่า ดาวคู่ถือกำเนิดได้อย่างไร ดาวทั้งสองดวงเกิดขึ้นพร้อมกัน หรือดาวดวงหนึ่งเกิดก่อนแล้วได้ดึงดูดดาวอีกดวงให้เข้ามาโคจรใกล้ๆ
ในปี 1990 Ghez วัย 25 ปี จึงได้ศึกษาดาวคู่ในกลุ่มดาว Taurus และเห็นดาวคู่มากมาย ซึ่งล้วนมีอายุน้อย และโคจรอยู่ใกล้กันเป็นจำนวนมาก การเห็นเช่นนี้ทำให้เธอตอบคำถามได้ว่า ดาวคู่ทุกคู่ถือกำเนิดพร้อมกัน การพบองค์ความรู้นี้ได้ช่วยให้นักดาราศาสตร์ปัจจุบันรู้ว่า ในการค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะนั้น เราจะไม่มีวันพบดาวเคราะห์ที่โคจรรอบระบบดาวคู่เลย
ลุถึงปี 1994 Ghez ได้งานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย California วิทยาเขต Los Angeles (UCLA) และได้เป็นสตรีคนแรกที่มีสิทธิ์ใช้กล้องโทรทรรศน์ Keck ที่มีเลนส์ ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 10 เมตร และกล้องนี้ติดตั้งอยู่บนยอดเขา Mauna Kea ของเกาะ Hawaii จงเหมาะสำหรับการสังเกตดูดาวที่มีแสงสลัวมาก แต่ความสนใจของ Ghez มิได้อยู่ที่ดาวสลัว เธอต้องการจะดูหลุมดำที่ใจกลางทางช้างเผือก และที่ใจกลางของกาแล็กซีอื่น ๆ ด้วย แต่ในบริเวณนั้นเป็นตำแหน่งที่สังเกตเห็นหลุมดำได้ยาก เพราะมีเมฆอวกาศและฝุ่นหนาแน่น อีกทั้งมีดาวฤกษ์จำนวนมากโคจรไป-มารอบบริเวณศูนย์กลาง แต่เธอก็พบว่า เธอสามารถก้าวผ่านอุปสรรคนี้ได้ โดยพยายามรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากบริเวณใจกลาง เพราะถ้าที่ตรงนั้นมีหลุมดำจริง หลุมดำก็จะดึงดูดสสารและดาวฤกษ์ต่าง ๆ ให้เข้าไปโคจรใกล้ ๆ และดาวฤกษ์บางดวงก็จะถูกหลุมดำดูดกลืนทั้งเป็น เพราะการเคลื่อนที่ของบรรดาดาวฤกษ์และสสารในลักษณะนี้ จะมีความเร่ง ดาวจึงปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (รังสีเอกซ์, รังสีแกมมา, แสงที่ตาเห็น, คลื่นไมโครเวฟ และคลื่นวิทยุ) ออกมา แต่จะมีเพียงคลื่นวิทยุเท่านั้น ที่สามารถเล็ดรอดออกมาได้ เพราะคลื่นชนิดอื่นจะถูกฝุ่นและเมฆอวกาศดึงดูดกลืนไปหมด
Ghez จึงใช้วิธรติดตามดูวิถีโคจรของดาวฤกษ์ต่าง ๆ ที่บริเวณใจกลางของกาแล็กซีและพบว่า ดาวฤกษ์เหล่านั้นต่างก็โคจรรอบจุดเดียวกัน และถ้าจุดนั้นมีมวลมากมหาศาล นั่นก็แสดงว่ามันเป็นหลุมดำ
การรู้รัศมีวงโคจรของดาวฤกษ์ และการรู้ระยะทางใกล้ที่สุดที่ดาวฤกษ์อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางจะทำให้เธอรู้มวลของหลุมดำ และรัศมีขอบฟ้าของเหตุการณ์
ลุถึงปี 1999 เธอก็มีข้อมูลวงโคจรของดาวฤกษ์ 3 ดวง ที่โคจรรอบจุดศูนย์กลางของกาแล็กซี ซึ่งเธอสงสัยว่าเป็นตำแหน่งที่ตั้งของหลุมดำ แต่ข้อมูลที่ได้ก็ยังไม่สามารถให้ภาพของหลุมดำในสามมิติได้ เธอยังต้องการจะรู้ความเร็วของดาวฤกษ์เหล่านั้นด้วย ซึ่งจะโคจรรอบจุดศูนย์กลางในทิศทางต่าง ๆ เช่น เข้าหาหรือหนีออกจากโลก เมื่อเป็นเช่นนี้ ความยาวคลื่นของแสงที่ดาวฤกษ์ส่งมายังโลกจะเปลี่ยนแปลง และความยาวคลื่นที่เปลี่ยนไปนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความเร็วของดาวฤกษ์ นี่คือปรากฏการณ์ Doppler
เพื่อที่จะให้ได้ข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมด Ghez จึงต้องพึ่งพาเทคนิคด้าน Adaptive Optics โดยนำแสงดาวที่กล้องโทรทรรศน์รับได้ให้ไปสะท้อนที่กระจกโค้ง ซึ่งสามารถปรับรัศมีความโค้งได้ เพื่อกำจัดความบิดเบี้ยวที่เกิดในภาพ โดยอิทธิพลของความไม่คงตัวของบรรยากาศโลก เทคนิคนี้จึงมีประสิทธิภาพมากในการถ่ายภาพของวัตถุที่สลัว
เมื่อถึงเดือนมิถุนายน ปี 2002 เทคนิค Adaptive Optics ได้ช่วยให้ Ghez เห็นและรู้วงโคจรของดาวฤกษ์สามดวง (คือ S0, S1, S2) หลังจากที่ได้ติดตามดูเป็นเวลานานถึง 16 ปี ที่ดาวเหล่านี้ใช้ในการโคจรครบรอบ การรู้วิถีโคจรของดาวทั้งสามยังแสดงให้ Ghez รู้อีกว่า วัตถุที่มันโคจรไปรอบ ๆ มีมวล 4,100 ล้านเท่าของดวงอาทิตย์ และดาวดวงที่โคจรเข้าใกล้จุดศูนย์กลางมากที่สุด จะอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางประมาณ 15,000 ล้านกิโลเมตร ข้อมูลเหล่านี้จึงแสดงว่าดาว S0, S1, S2 มีอายุน้อยกว่า 10 ล้านปี และหลุมดำมีขนาดใหญ่กว่าระบบสุริยะของเรา
ครั้นเมื่อเทคนิค Adaptive Optics ได้รับการพัฒนามากขึ้น Ghez กับทีมวิจัยก็ได้ศึกษาวิถีโคจรของดาวฤกษ์อีกเป็นจำนวนมาก คือ นับตั้งแต่ S0, S1, S2 จนกระทั่งถึง S102 และพบว่าดาวบางดวงมีความเร็วมากถึง 2,000 กิโลเมตร/วินาที และมีคาบการโคจรที่เร็วที่สุดเท่ากับ 11.5 ปี
Ghez นั้น ทำงานแข่งกับ Reinhard Genzel แห่งสถาบัน Max Planck Institute for Extraterrestrial Physics ที่เมือง Garching ในประเทศเยอรมนี ว่าใครจะ “เห็น”และ “ถ่ายภาพ” หลุมดำได้ก่อนกัน และในเวลาเดียวกันทีมวิจัยทั้งสองก็ได้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่อีกทีมหนึ่งวัดได้ ดังนั้นเมื่อทั้งสองทีมได้เห็นและถ่ายภาพของหลุมดำได้ หัวหน้าของทั้งสองทีมจึงได้รับครึ่งหนึ่งของรางวัลโนเบลร่วมกัน และนี่ก็เป็นที่ทุกคนคาดหวัง เพราะเมื่อปี 2012 คนทั้งสองก็ได้รับรางวัล Crafoord ซึ่งเป็นรางวัลที่บ่งบอกว่าในอีกไม่นาน รางวัลโนเบลฟิสิกส์ก็จะตามมา และความคาดหวังนี้ก็ได้เป็นความจริงในปี 2012
งานขั้นต่อไปของ Ghez คือ การใช้กล้องโทรทรรศน์ Thirty Meter Telescope ที่จะสร้างบนเขา Mauna Kea ของเกาะ Hawaii ในปี 2027 ซึ่งกล้องนี้มีเลนส์ที่มีพื้นที่รับแสง 655 ตารางเมตร และสามารถรับแสงที่ตาเห็น แสง UV และแสง IR ที่มีความยาวคลื่น 0.31-28 ไมโครเมตร เพื่อวัดความเร็วในการหมุนรอบตัวเอง และขนาดที่แท้จริงของหลุมดำ รวมถึงใช้ตรวจสอบความถูกต้องของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ Einstein ด้วย เพราะในบริเวณรอบหลุมดำมีความเข้มของสนามโน้มถ่วงที่มีค่าสูงมาก จนนักฟิสิกส์ไม่มีวันสร้างสนามที่มีความเข้มสูงเช่นนั้นได้ในห้องทดลองบนโลก
หลุมดำที่จุดศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือกมีชื่อว่า Sagittarius A* (Sgr A* อ่าน Sadge A-star) ซึ่งได้ปรากฏให้ชาวโลกได้เห็นเป็นครั้งแรกในปี 2020 อยู่ในกลุ่มดาว Sagittarius มีมวล 8.26×10^36 กิโลกรัม และอยู่ห่างจากโลก 26,673±42 ปีแสง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้จากการทำงานประสานกันในโครงการ Event Horizon Telescope (EHT) ซึ่งมิใช่กล้องโทรทรรศน์จริง ๆ แต่เป็นกล้องที่เกิดจากการทำงานประสานกันของกล้องโทรทรรศน์หลายกล้องให้เป็นกล้องเดียว โดยใช้เทคโนโลยี Very-Long Baseline Interferometry (VLBI) อันเป็นเทคนิคการสอดแทรกของคลื่นวิทยุ เพื่อถ่ายภาพ Sgr A* เพื่อทดสอบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ Einstein ในทำนองเดียวกับที่ Arthur Eddington ได้ใช้แสงจากดาวฤกษ์ที่อยู่หลังดวงอาทิตย์ในการทดสอบดูว่า ปริภูมิ-เวลา ในบริเวณรอบดวงอาทิตย์ได้ถูกบิดโค้งไปเพียงใด โดยอิทธิพลของดวงอาทิตย์เมื่อปี 1919
แต่ปัจจุบันเทคนิคเหล่านี้ได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้าไปมากแล้ว เพราะนักดาราศาสตร์รู้จักใช้เทคโนโลยี Digital Electronics, Adaptive Optics Specklephotometry, นาฬิกาอะตอม, Supercomputer และผู้เชี่ยวชาญประมาณ 200 คน เพื่อวิเคราะห์ Big Data เป็นเวลานานหลายปี จึงจะได้ภาพของหลุมดำหนึ่งภาพ
ในวารสาร Astronomy and Astrophysics ฉบับวันที่ 19 มกราคม ปี 2022 R. Abuter ในสังกัด University College Dublin ในประเทศ Ireland กับคณะ ได้รายงานการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่ามวลของหลุมดำ Sgr A* ที่มีค่า 4.3 ล้านเท่าของดวงอาทิตย์นั้น มวลประมาณ 99.9% อยู่ที่จุดศูนย์กลาง และอีก 0.1% ที่เหลือเป็นมวลของดาวเล็กดาวน้อยที่อยู่ใกล้รัศมีของหลุมดำ นี่เป็นตัวเลขที่ Abuter คาดว่า มีความผิดพลาดไม่เกิน 0.25%
โดยทีมวิจัยได้ข้อมูลนี้จากการติดตามดูลักษณะการโคจรของดาวฤกษ์ 4 ดวง คือ S2, S29, S38 และ S55 โดยใช้อุปกรณ์ spectrograph ในกล้อง Gemini Near Infrared Spectrograph (GNIRS) ซึ่งอยู่ที่ยอดเขา Mauna Kea กับกล้องที่เป็นของ European Southern Observatory และได้เห็นดาว S29 กับ S55 โคจรเข้าใกล้หลุมดำมากที่สุดที่ระยะห่าง 13,000 ล้านกิโลเมตร
สำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ Einstein นั้น ก็เป็นประเด็นที่นักฟิสิกส์ทุกคนสนใจ เพราะทฤษฎียังไม่ได้รับการทดสอบว่าถูกต้องและแม่นยำในสนามที่มีความเข้มของแรงโน้มถ่วงสูงเลย และทฤษฎีก็ได้พยากรณ์ว่าหลุมดำที่เกิดขึ้นจะเป็นหลุมดำที่กลมดิกอย่างสมบูรณ์ แต่ผลการสำรวจที่ผ่านมาก็ได้แสดงให้เห็นว่า หลุมดำ Sgr A* มีความกลมที่ระดับความเชื่อมั่น 90% เท่านั้นเอง ดังนั้นการวัดค่าความกลมของหลุมดำก็จะเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่นักวิจัยจะต้องทำต่อไปในอนาคต
อ่านเพิ่มเติมจาก “Darkness made visible” โดย Daniel Clery ในวารสาร Science ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม ปี 2019
ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์