ค.ศ.1492 นับเป็นปีเริ่มต้นแห่งการล่มสลายของบรรดาอารยธรรมโบราณ (Inca, Maya, Aztec ฯลฯ) ในทวีปอเมริกากลางและใต้ที่ได้เจริญรุ่งเรืองมานานนับพันปี เมื่อขบวนเรือสำรวจของนักผจญภัยชื่อ Christopher Columbus เดินทางถึงหมู่เกาะต่างๆ ในทะเล Caribbean และได้เห็นร่างกายของชาวอินเดียนแดงเผ่า Carib กับเผ่า Arawak อยู่ในสภาพที่เกือบจะเปลือยเปล่า เพราะนุ่งห่มด้วยใบไม้ ในขณะที่คนผิวขาวแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหรา และใส่เครื่องประดับที่มีราคาแพง ความแตกต่างมากนี้ได้ทำให้คนพื้นเมืองเข้าใจผิด เพราะคิดกันไปเองว่า อาคันตุกะที่เห็นเป็นเทพเจ้าที่ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากต่างแดน จึงยินยอมให้คนแปลกหน้าปกครองโดยดี และทำตัวเสมือนเป็นลูกแกะเชื่องขณะอยู่ต่อหน้าฝูงหมาป่าที่กระหายเลือด
หลังจากที่ Columbus เดินทางกลับถึงประเทศสเปนเพื่อแจ้งข่าวการพบโลกใหม่ให้ทุกคนทราบแล้ว สมเด็จพระเจ้า Charles ที่ 5 แห่งสเปน ก็ทรงส่งกองทหารล่าอาณานิคมไปบุกรุกดินแดนในทวีปอเมริกากลางและใต้อีกหลายครั้ง เพื่อขุดหาอัญมณีมีค่า เช่น ทองคำ มรกต และเพชร แล้วขนกลับมาเสริมความมั่งคั่งให้ราชอาณาจักรสเปน โดยการบังคับชายชาวอินเดียนพื้นเมืองเป็นทาสทำงานในเหมืองอย่างหามรุ่งหามค่ำ จนหลายคนทนความทรมานไม่ได้ จึงผูกคอตาย ส่วนหญิงชาวอินเดียนพื้นเมืองก็ถูกบังคับให้ทำหน้าที่เป็นนางบำเรอ และทำงานรับใช้เป็นทาสในกองทัพ ครั้นเมื่อทาสหญิงเหล่านี้คลอดลูก ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ก็มักจะฆ่าลูก เพราะไม่ต้องการให้ลูกถูกทรมานดังเช่นพ่อและแม่ นอกจากทหารสเปนจะมีการบังคับชาวพื้นเมืองทางกายด้วยอาวุธปืนแล้ว ก็ยังได้บังคับจิตใจของชาวพื้นเมืองให้เปลี่ยนความเชื่อมานับถือพระเจ้าในคริสต์ศาสนาด้วย
ในปี 1519 บาทหลวงชาวสเปนชื่อ Bartolomé de las Casas ได้จดบันทึกในสมุดส่วนตัวว่า นายพล Hernán Cortés แห่งสเปนได้นำทหาร 500 คน ปืนใหญ่ 10 กระบอก และม้า 16 ตัวขึ้นบก ในดินแดนที่เป็นประเทศ Mexico, Espanola, Puerto Rico และ Jamaica ในปัจจุบัน เพื่อล้มล้างการปกครองของจักรพรรดิ Montezuma แห่งอาณาจักร Aztec และทำได้ผลสำเร็จ เพราะสามารถยึดครองเมืองหลวงของอาณาจักร Tenochtitlan ได้ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ปี 1521 (คือเมื่อ 500 ปีก่อน) เมื่ออาณาจักรไร้กษัตริย์ปกครอง การล้มตายของประชากรจำนวนมากด้วยโรคฝีดาษ และการลุกฮือขึ้นต่อต้านของชาวอินเดียนเผ่าอื่นที่ถูกชาว Aztec กดขี่ ได้ทำให้อาณาจักร Aztec ต้องล่มสลายไปในที่สุด
จากนั้นในปี 1529 เมื่อนักสำรวจชาวเยอรมันชื่อ Christopher Weiditz ได้เดินทางไปเยือนประเทศสเปน และเห็นทาสอินเดียน ที่ Cortes นำกลับมาถวายต่อกษัตริย์ Charles ที่ 1 แห่งสเปน เพื่อให้แสดงดนตรีและการละเล่นกีฬาถวายในวัง Weiditz ได้ลงบันทึกว่า เวลาทาสเหล่านี้แสดงการละเล่น ทุกคนจะแต่งตัวด้วยผ้าคลุมที่มีสีสันสวยงาม และมีลีลาการเต้นที่สนุกสนาน รวมถึงเครื่องดนตรีที่ใช้ในการบรรเลงก็เป็นที่น่าประทับใจ นอกจากนี้ Weiditz ก็ยังได้เห็นการละเล่นเกมที่ใช้ลูกบอลของทาสสองคน ซึ่งพยายามทำให้ลูกบอลเคลื่อนที่อยู่ในอากาศได้นาน โดยไม่ใช้มือ แต่ใช้อวัยวะส่วนอื่นของร่างกายสัมผัสลูกบอลแทน ส่วนลูกบอลที่ใช้นั้นก็มิได้ทำด้วยหนังสัตว์เหมือนลูกบอลที่ชาวยุโรปในสมัยนั้นใช้เล่นกัน เพราะสามารถกระดอนได้ดีกว่ามาก แม้ไม่รู้ว่าลูกบอลนั้นทำด้วยวัสดุอะไร แต่ Weiditz ก็รู้สึกตื่นตาและประทับใจในลีลาการเล่นลูกบอลของทาสทั้งสองคนมาก
ปี 1532 เป็นเวลาที่นายพล Francisco Pizarro นำกองทหารสเปนไปบุกอาณาจักร Inca ในทวีปอเมริกาใต้บ้าง และสามารถล้มอาณาจักรได้สำเร็จ เมื่อทหารจับกษัตริย์ Atahualpa ได้แล้วใช้เชือกรัดพระศอจนสิ้นพระชนม์ จากนั้นก็โยนพระอสุภลงแม่น้ำ เมื่อชาว Inca ไร้กษัตริย์ปกครอง เสถียรภาพของอาณาจักรก็เริ่มคลอนแคลน แม้พระนัดดาผู้ทรงนามว่า Cuauhtémoc จะทรงพยายามรวบรวมกำลังพลมาต่อสู้ทหารสเปน แต่ก็มิอาจสู้อาวุธปืนได้ จึงถูกสำเร็จโทษโดยการถูกบั่นพระศอ จากนั้นอาณาจักร Inca ก็เหลือแต่ชื่อให้ทุกคนทุกวันนี้ได้รู้จักเป็นตำนาน
เป็นมาของชาวพื้นเมืองเผ่าต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ทั้งในทวีปอเมริกากลางและใต้ เป็นหนังสือชื่อ “The General History of the Vast Continent and Islands of America” และได้บรรยายชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในเวลานั้นว่า ชาวพื้นเมืองชอบเล่นลูกบอลยางที่ทำด้วยน้ำยางของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ที่ชอบขึ้นในเขตร้อน โดยชาวป่าจะใช้มีดกรีดที่เปลือกของต้นไม้นั้นให้เป็นรูปตัว Y เพื่อให้ยางไม้ไหลตามร่องที่กรีดลงไปอยู่ในภาชนะ จากนั้นก็นำน้ำยางที่ได้ไปทำให้ร้อน เพื่อให้แข็งตัว จนสามารถนำไปใช้ทำลูกบอล และของใช้อื่น ๆ ได้
แต่ไม่มีใครให้ความสนใจในคำบรรยายเรื่องลูกบอลนี้ เพราะยางที่ได้มักจะอ่อนตัวในฤดูร้อน และเปราะแตกในฤดูหนาว จนกระทั่งอีก 200 ปีต่อมา เมื่อ Charles Goodyear ได้พบวิธีทำให้ยางสุก โลกจึงเริ่มตระหนักในความประเสริฐของยางพารา
ในปี 1613 บาทหลวงชาวสเปนชื่อ Fray Juan de Torquemada ได้เดินทางไปเผยแพร่คริสต์ศาสนาในดินแดนที่เป็นประเทศ Mexico ในปัจจุบัน แต่ในเวลานั้นยังเป็นอาณานิคมของสเปน และท่านได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับลูกยางที่ชาวพื้นเมืองนิยมเล่นว่า มีน้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 3.5 กิโลกรัม และมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ชาวพื้นเมืองชอบเล่นบอลเป็นกีฬาที่มีชื่อเรียกว่า juego de pelota ในสนาม tlachco ที่มีขนาดใหญ่เท่าสนามเทนนิส ส่วนลูกบอลยางนั้นทำจากของเหลวสีขาวที่ไหลออกมาจากต้น caoutchouc ซึ่งเป็นคำในภาษา Aztec ที่แปลว่า ต้นไม้ร้องไห้ และน้ำยางนี้ เมื่อนำไปทาที่หมวกผ้า เวลาน้ำยางแข็งตัว หมวกจะสามารถใช้กันฝนได้ Torquemada ยังได้เขียนบันทึกต่ออีกว่า เมื่อครั้งที่ Columbus เดินทางกลับจากทวีปอเมริกา เขาได้ขนลูกบอลยางขนาดต่าง ๆ กลับมาด้วยหลายลูก เพื่อนำออกแสดงในพิพิธภัณฑ์ที่เมือง Seville
ถึงปี 1735 Charles Marie de La Condamine ซึ่งเป็นนักเคมีชาวฝรั่งเศสที่รอบรู้เรื่องชีววิทยา ภูมิศาสตร์ และคณิตศาสตร์ด้วยได้เดินทางไปสำรวจป่าในลุ่มน้ำ Amazon ตรงบริเวณที่เป็นประเทศ Peru และ Ecuador ในปัจจุบัน เพื่อพิสูจน์การคาดการณ์ของ Isaac Newton ที่แถลงว่า การหมุนรอบตัวเองของโลก และแรงโน้มถ่วงที่โลกมี จะทำให้โลกมิได้มีลักษณะกลมดิก แต่จะป่องออกเล็กน้อยตรงบริเวณเส้นศูนย์สูตร และแฟบลงบ้างตรงบริเวณขั้วโลก เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของการคาดการณ์นี้ Condamine จึงตั้งใจจะวัดความยาวของเส้นรุ้ง (latitude) เส้นต่าง ๆ ที่บริเวณเส้นศูนย์สูตร โดยมีทีมสำรวจ ซึ่งประกอบด้วยนักภูมิศาสตร์ และนักคณิตศาสตร์ไปด้วยหลายคน
เมื่อ Condamine เดินทางถึงเมือง Quito ในดินแดนที่เป็นประเทศ Ecuador ปัจจุบัน เขาก็ได้เห็นต้นยาง จึงติดสินใจนำต้นยางและเมล็ดกลับไปปลูกในฝรั่งเศส เพื่อให้บรรดาสมาชิกของสถาบัน Académie Royale des Sciences แห่งฝรั่งเศส ได้เห็นและศึกษาธรรมชาติของต้นไม้นี้ ต่อมาอีก 5 ปี Condamine ก็ได้เสนอรายงานวิจัยเรื่องสมบัติของยาง รายงานนี้นับเป็นรายงานวิจัยฉบับแรกของโลกที่ได้ศึกษาเรื่อง ต้นยางและน้ำยาง
นอกจากต้นยางแล้ว Condamine ยังได้นำต้นไม้ชนิดอื่น ๆ จากทวีปอเมริกาใต้กลับไปยุโรปด้วย เช่น ต้น cinchona ซึ่งมีสารยาชื่อ quinine ที่ชาวป่าใช้กิน เพื่อรักษาโรคมาลาเรีย และยังได้นำต้น curare ซึ่งเป็นเถาวัลย์ที่มีสารพิษให้ชาวป่าใช้เคลือบปลายลูกศร สำหรับฆ่าสัตว์ได้ และสำหรับภารกิจหลักที่ได้รับมอบหมาย คือ การพิสูจน์การคาดการณ์ของ Newton นั้น Condamine กับทีมก็ได้ตรวจพบว่า เป็นจริงทุกประการ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีใครในโลกเรียกต้นไม้ ซึ่งให้ยางสีขาวว่า ต้นยางพารา (rubber tree) จนกระทั่งปี 1760 เมื่อนักเคมีชาวอังกฤษชื่อ Joseph Priestley ได้พบว่า ยางเหนียวที่ได้จากต้นไม้ร้องไห้นี้ สามารถใช้ลบ (rub) ตัวอักษรที่เขียนด้วยดินสอได้ Priestley จึงเรียกยางเหนียวนั้นว่า rubber ให้โลกได้รู้จักตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ด้าน Peter Martyr d'Anghiera ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ชาวอิตาเลียนแห่งราชสำนักสเปน ในยุคหลังการสำรวจของ Columbus ได้จดบันทึกว่า เวลาชาว Aztec จะทำบอลยาง เขาจะนำน้ำยางสีขาวจากต้นยางมาผสมกับน้ำที่คั้นจากเถาไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง แต่ไม่มีใครรู้ว่า ไม้เลื้อยชนิดนั้นคือต้นอะไร จนกระทั่งปี 1999 F. Bates แห่งมหาวิทยาลัย Mennesola ในประเทศสหรัฐอเมริกาจึงได้พบว่า เมื่อได้กรีดยางจากเปลือกของต้น Castilla elastica แล้ว ชาวป่าก็จะนำน้ำที่คั้นได้จากต้น morning glory มาผสม และภายในเวลาเพียง 10
ในรายงานเรื่องการเล่นเกมบอลของชาว Aztec โดย Torquemada เขาได้กล่าวถึงสนามที่ใช้เล่นว่า เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีขนาดต่าง ๆ เช่น มีความยาวตั้งแต่ 30-40 เมตร และกว้างตั้งแต่ 7-17 เมตร มีโครงสร้างเป็นรูปตัว I จุดประสงค์ของการเล่น คือ ผู้เล่นต้องพยายามชูตลูกบอลที่หนักประมาณ 2 กิโลกรัม และมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวตั้งแต่ 10-18 เซนติเมตร ให้ผ่านห่วงกลม 2 ห่วง ที่ติดอยู่กับกำแพงด้านข้างของสนาม โดยระนาบของห่วงทั้งสองอยู่ในแนวดิ่ง (ห่วงที่ใช้ในกีฬาบาสเกตบอล ระนาบของห่วงจะอยู่ในแนวขนานกับพื้น) และห่วงทั้งสองติดอยู่กับกำแพง 2 ข้างที่อยู่ตรงข้ามกัน
เพราะเส้นผ่านศูนย์กลางของห่วงมีขนาดต่างๆ กันตั้งแต่ 15 ถึง 25 เซนติเมตร ดังนั้นการชูตลูกบอลให้ผ่านห่วงที่มีระนาบของห่วงอยู่ในแนวดิ่ง จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก
ด้านจำนวนคนเล่นในทีมก็มีได้ตั้งแต่ 2-3 คน ในกรณีที่เป็นทีมเล็ก แต่ถ้าเป็นทีมใหญ่ก็อาจจะมีได้ตั้งแต่ 9-11 คน ในอดีตเกมบอลนี้เคยเป็นการเล่นของบุคคลที่มีฐานะทางสังคมค่อนข้างสูง แต่ในเวลาต่อมาคนทั่วไปก็สามารถเล่นได้ และผู้เล่นก็มีทั้งที่เป็นมืออาชีพและมือสมัครเล่น ความนิยมเล่นเกมบอลได้แพร่หลายไปทุกชุมชนของอาณาจักร ไม่ว่าชุมชนนั้นจะใหญ่หรือเล็กก็มีสนามให้ทุกคนมีโอกาสเล่น
ในการเล่น ผู้เล่นทุกคนจะต้องพยายามทำแต้ม ทีมจะได้แต้ม เวลาฝ่ายตรงข้ามพลาดการยิงลูกบอลเข้าห่วง หรือเวลาที่ทีมนั้นสามารถผ่านลูกไปจนถึงสุดเขตแดนของฝ่ายปรปักษ์ ดังนั้นการได้ลูกบอลมาเล่น หลังจากที่บอลกระดอนจากกำแพงด้านข้างจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้เล่นต้องคว้าลูกบอลมาเล่นให้ได้ ในการเล่นบอล ผู้เล่นจะต้องไม่ใช้มือ เท้า หรือน่องสัมผัสลูกบอล แต่จะใช้แผ่นหินที่เรียกว่า “flatiron” ในการตีบอล หรือใช้ข้อศอก เข่า หรือสะโพกตีบอลก็ได้ และเพื่อป้องกันอวัยวะเหล่านี้ไม่ให้มีบาดแผล ผู้เล่นจึงต้องมีฝ้ายหรือสำลีพันที่ข้อศอกและเข่า ส่วนที่เอวนั้นก็มีการสวมเข็มขัดหนักหรือแอก (yoke) ที่ทำด้วยหนังสัตว์ ภาพวาดของคนเล่นบอลที่ปรากฏอยู่บนผนังวิหารในเมือง Veracruz, Chichén Itzá, Santa Cruz และ El Tajín ล้วนแสดงให้เห็นลักษณะการแต่งกายของนักกีฬาเกมบอลที่สวมแอก และถือแผ่นหินที่ใช้ตีบอล
แม้จะสวมเครื่องแต่งกายที่มีคุณภาพดีสักปานใดเพื่อปกป้องตัวเองไม่ให้เป็นอันตราย แต่เวลาผู้เล่นพุ่งชนกันแรง ๆ การกระแทกที่รุนแรงมากหรือการเล่นที่เหนื่อยมากก็อาจจะทำให้คนเล่นเสียชีวิตได้ เวลาถูกแอกที่หนักถึง 20 กิโลกรัมกระแทก และเวลาผู้เล่นคนใดตาย ศพก็จะถูกขนออกไปจากสนามในทันที
และในการทำคะแนน คะแนนที่สำคัญที่สุด คือ คะแนนที่ได้เวลาลูกบอลผ่านห่วงกลม และเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น คะแนนที่ฝ่ายตรงข้ามได้มา ก็จะถูกลบหายไป เพราะการชูตลูกบอลให้ผ่านห่วงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้นคนที่ทำได้จึงนับว่าเป็นคนโชคดีที่มีความสามารถมาก เพราะได้ทำให้ฝ่ายของตนชนะและได้รับรางวัล ซึ่งมักเป็นอัญมณีและเสื้อผ้าราคาแพงของคนดูที่เชียร์ฝ่ายแพ้
ตามปกติเวลาแข่งขัน ผู้เล่นบางคนอาจจะมีอาการบาดเจ็บมาก เพราะถูกคู่ต่อสู้พุ่งชนเวลาแย่งลูกบอลกัน แต่คนเล่นทุกคนก็ยินดีรับกรรมนี้ เพราะรางวัลสำหรับผู้ชนะ โดยเฉพาะหัวหน้าทีมของฝ่ายชนะจะได้ทั้งเกียรติยศ และรางวัลที่มีมูลค่ามหาศาล ส่วนหัวหน้าทีมของฝ่ายแพ้ก็อาจจะต้องเสียชีวิต เพราะถูกนำตัวไปบูชายัญเพื่อถวายแด่เทพเจ้า ดังที่มีปรากฏในจารึกโบราณชื่อ
ถ้าการลงโทษจนถึงแก่ชีวิตของหัวหน้าทีมที่แพ้การแข่งขันจะดูเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก ด้านคนดูที่เชียร์ฝ่ายแพ้ก็นับว่าถูกลงโทษอย่างรุนแรงไม่แพ้กัน เพราะจะสูญเสียทรัพย์สิน ซึ่งจะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับฐานะทางสังคมของคน ๆ นั้น ดังที่นักบวชชาวสเปนชื่อ Bernardino de Sahagún ได้ลงบันทึกในจารึก Florentine Codex เกี่ยวกับการเล่นเกมบอลในอาณาจักร Aztec ว่า เวลาชนชั้นล่างพนันเกมบอล พวกเขาจะนำอัญมณีราคาถูก ๆ มาวางเป็นเดิมพัน บางคนนำบ้านที่อยู่ ไร่ที่ทำ ต้นไม้ที่ปลูก และแม้แต่ลูก ๆ ของตนมาวางเดิมพัน บางคนก็อาจนำชีวิตของตนเองมาพนันว่า ถ้าทีมที่ตนเชียร์แพ้จะยอมรับใช้เป็นทาสให้ผู้ชนะ และถ้าเสื้อผ้า เครื่องประดับที่ติดตัวมาในเวลานั้นมีค่าไม่พอ ก็อาจบอกผู้ที่เล่นพนันด้วยว่า ตนมีสมบัติอีกมากที่บ้าน ซึ่งสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาพนันได้ด้วย
สำหรับผู้ปกครองที่เป็นระดับกษัตริย์หรือเจ้าเมือง เช่น Axayacatl แห่งนคร Tenochtitlan (คือ Mexico City ในปัจจุบัน) ก็เคยเอาเงินรายได้ทั้งหมดของเมืองมาวางเดิมพันกับ Xihuitlemoc ซึ่งเป็นเจ้าเมือง Xochimilco ส่วนคนร่ำรวยอื่น ๆ ก็อาจนำหยก พลอย ทองคำ ไร่โกโก้ ไร่ข้าวโพด บ้าน ทาส และนางบำเรอในบ้านมาวางเดิมพันก็ได้
เมื่อผลการชนะหรือแพ้มีค่าสูงมากเช่นนี้ ดังนั้นการต่อสู้ด้วยฝีมือของผู้เล่นตามลำพังจึงไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้ Diego Durán ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ชาวสเปน ที่อาศัยอยู่ที่เมือง Texcoco ใน Mexico มาตั้งแต่เด็ก ก็ได้เล่าไว้ในจารึก Durán Codex ว่า ทุกครั้งก่อนจะเล่นเกมบอล คนเหล่านี้จะสวดมนต์ภาวนาขอให้เทพเจ้า และภูติผีปีศาจช่วยทีมเล่นที่ตนเชียร์ด้วย
Durán ยังได้บันทึกเสริมอีกว่า แม้ชาว Aztec หลายคนจะใช้เกมบอลเป็นการพนันรูปแบบหนึ่ง แต่ก็มีหลายคนที่เล่นเกมนี้เพื่อความสนุกสนาน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะถือว่าการเล่นเกมบอลเป็นการละเล่นที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีสนามเล่นเป็นวิหารของเทพเจ้า และมีนักบวชมาเป็นผู้เปิดพิธีแข่งขัน โดยการโยนลูกบอลเข้าไปในสนาม 4 ครั้ง
ในจารึกโบราณต่างๆ ของชาว Aztec เรามักจะเห็นภาพวาดของเทพเจ้า เช่น Quetzalcóatl, Tezcatlipoca, Xochiquetzal, Xochipilli, Xolotl และเทพเจ้าแห่งกลางวันและกลางคืน เป็นเทพเจ้าที่สถิตประจำสนามต่างๆ เสมือนเทพเจ้าเหล่านี้เป็นเทพเจ้าแห่งการกีฬาของชาวกรีก ที่บางครั้งใช้การมีชัยชนะในการเล่นเป็นตัวตัดสินกรณีพิพาท การอ่านจารึกของชาว Aztec แสดงให้เราเห็นว่าเทพ Quetzalcóatl มักได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรเทพของชนเผ่า Toltec และเป็นเทพผู้พิทักษ์เมือง Tula แต่เมื่อพระองค์ทรงปราชัยในการต่อสู้กับเทพ Tezcatlipoca ก็ได้เสด็จหนีไปทางใต้ จนปรากฏในตำนานของชาว Aztec ด้านคู่แฝดของเทพ Quetzalcóatl ที่มีนามว่า Xolotl นั้น ก็เป็นที่รู้จักว่าเป็นเทพแห่งเกมบอล
ปัจจุบันนี้นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า ความนิยมในการเล่นเกมบอลของชาว Aztec ทั่วไป อาจจะเป็นการระบายอารมณ์ก้าวร้าวของคนกลุ่มหนึ่งที่มีต่อเพื่อนบ้านซึ่งเป็นศัตรู เวลาทะเลาะวิวาทกัน คือ แทนที่จะสู้รบกัน ก็หันมาเล่นเกมบอลเพื่อเอาชนะกัน แล้วฝ่ายที่ชนะก็ใช้ผลการแข่งขันในการตัดสินให้ฝ่ายตนชนะข้อพิพาท
เมื่อความบาดหมางในชุมชนมีมาก สนามแข่งขันที่มีในเมืองใหญ่ ๆ จึงมีจำนวนมากด้วย และอาจจะมากตั้งแต่ 10-15 สนาม ประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกชัดว่า การเล่นเกมบอลครั้งแรกได้เกิดขึ้น ณ ที่ใด แต่ก็คาดเดาว่าเป็นที่ ๆ ปลูกต้นยางพารามาก เงื่อนไขนี้จึงแสดงให้เห็นว่า แหล่งกำเนิดของเกมบอลคงจะเป็นบริเวณป่าฝนในทวีปอเมริกากลาง เช่น ที่เมือง Copán (ในประเทศ Honduras ปัจจุบัน) เพราะสนามเกมที่นั่นถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ค.ศ. 200
ในส่วนของการสืบทอดกติกาการเล่นบอลในยุโรปที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมานั้น ก็จะเห็นได้จากการตบลูกบอลอย่างรุนแรงในการเล่นเทนนิส การใช้เท้าเตะลูกบอลในการเล่นฟุตบอล การเล่นวอลเลย์บอลเป็นทีมที่พยายามให้ลูกบอลไม่ตกกระทบพื้น และการวางห่วงยางให้ระนาบอยู่ในแนวนอนเวลาเล่นบาสเกตบอล
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเกมอเมริกันฟุตบอล (ซึ่งถือกำเนิดในปี 1891) กับการเล่นเกมบอลของชาว Aztec นั้น นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ชื่อ Alfred Maudslay ได้ศึกษาสนามบอลที่เมือง Chichén Itzá เมื่อปี 1891 และได้เรียกสนามนั้นว่า สนามเทนนิส
ทุกวันนี้โลกได้เล่นเกมบอลหลายรูปแบบ ทั้งฟุตบอล ซอกเกอร์ บาสเกตบอล เทนนิส และวอลเลย์บอล ฯลฯ ซึ่งได้ทำให้คนดูและคนเล่นรู้สึกตื่นเต้นและสนุก แต่ในเวลาเดียวกันก็ได้ทำให้คนบางคนร่ำรวยขึ้นหรือยากจนลง เพราะได้ใช้เกมในการเล่นพนัน เหมือนดังที่ชาว Aztec ได้เคยทำกันมาแต่ในอดีต
อ่านเพิ่มเติมจาก The Aztec of Central Mexico : An Imperial Society Case Study in Cultural Anthropology
โดย Frances F. Berdan จัดพิมพ์โดย Thomson Wadsworth ปี 2005
ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน: ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์