กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว. ) โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมวัสดุ (ศนว.) ปฏิบัติงานโครงการบริการที่ปรึกษาการวิจัย "โครงการขยายผลจัดสร้างกำแพงกันกระสุนด้วยบล็อกประสาน เพื่อใช้ในฐานปฏิบัติการพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" ระบุประสิทธิภาพมีความแข็งแรงสูง ก่อสร้างได้ง่าย อายุการใช้งานมากกว่า 10 ปี สามารถซ่อมแซม/เคลื่อนย้ายได้รวดเร็วด้วยกำลังพลในพื้นที่
ศ. (วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว. โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมวัสดุ นำความเชี่ยวชาญด้านบล็อกประสาน ที่ วว. สั่งสมประสบการณ์และมีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ให้บริการที่ปรึกษาการวิจัยแก่ กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม ภายใต้ "โครงการขยายผลจัดสร้างกำแพงกันกระสุนด้วยบล็อกประสาน เพื่อใช้ในฐานปฏิบัติการพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" โดยผลการทดสอบกำแพงกันกระสุนบล็อกประสานพบว่า มีประสิทธิภาพและมีความแข็งแรงกว่าการใช้กระสอบทรายเป็นอย่างมาก อีกทั้งก่อสร้างได้ง่าย สามารถเคลื่อนย้ายได้รวดเร็วด้วยกำลังพลในพื้นที่ มีอายุการใช้งานมากกว่า 10 ปี จากผลการทดสอบสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการนำไปใช้งานจริงในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยกลุ่มผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ต่างให้การยอมรับและมีความต้องการนำไปใช้งานจริงในพื้นที่เป็นจำนวนมาก
“โครงการขยายผลจัดสร้างกำแพงกันกระสุนด้วยบล็อกประสานฯ ที่ วว. ให้บริการที่ปรึกษาวิจัยดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาการใช้งานบังเกอร์กระสอบทราย ที่มีอายุการใช้งานสั้น ไม่ทนแดดทนฝนและเปื่อยยุ่ยในระยะเวลา 3 -4 เดือน จากนั้นต้องเปลี่ยนใหม่ จึงมีแนวคิดจัดหาวัสดุที่คงทน มีความแข็งแรงสูง สามารถสร้างและเคลื่อนย้าย ซ่อมแซม ได้รวดเร็ว กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหมจึงร่วมมือกับ วว. เพื่อวิจัยแนวทางการพัฒนาการใช้งานบล็อกประสาน ซึ่ง วว. มีความเชี่ยวชาญ สำหรับจัดสร้างกำแพงกันกระสุนเพื่อใช้ในภารกิจทางทหารต่อไป” ผู้ว่าการ วว. กล่าว
ดร.ประทีป วงศ์บัณฑิต รองผู้ว่าการวิจัยและพัฒนาด้านพัฒนาอย่างยั่งยืน วว. กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อเร็วๆ นี้ วว. โดย นายวุฒินัย กกกำแหง นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมวัสดุ วว. และทีมนักวิจัย ได้ร่วมส่งมอบแบบก่อสร้างกำแพงกันกระสุน และตัวอย่างกำแพงกันกระสุนบล็อกประสาน เพื่อใช้ในการฝึกปฏิบัติการทางยุทธวิธี ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้รับเกียรติจาก พ.อ.อภิชาต วงศ์วัฒนา ผอ.กองตรวจและทดสอบมาตรฐานทางทหาร สำนักมาตรฐานทางทหาร กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม เป็นผู้รับมอบ
นอกจากนี้ วว. ยังได้จัดอบรม “การถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตบล็อกประสานและการก่อสร้างกำแพงกันกระสุนด้วยบล็อกประสาน วว.” ให้แก่เจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่มผู้ใช้งาน พร้อมจัดสร้างกำแพงตัวอย่างเพื่อใช้ในการฝึกปฏิบัติการทางยุทธวิธีและเพื่อการเรียนรู้ ณ ศูนย์ฝึกทางยุทธวิธี ค่ายมหาจักรีสิรินธร อ.นาทวี จ.สงขลา โดยในโครงการนี้นักวิจัย วว. ได้ออกแบบส่วนผสมในการผลิตบล็อกประสานเพื่อให้ได้บล็อกประสานที่มีความแข็งแรงสูงเหมาะสมต่อการจัดสร้างกำแพงกันกระสุน และได้ออกแบบกำแพงกันกระสุนรูปแบบต่างๆ พร้อมจัดทำแบบก่อสร้างและจัดทำขั้นตอนการก่อสร้างกำแพงกันกระสุน เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงด้วยกำลังพลในพื้นที่ จากผลการทดสอบร่วมกับผู้ใช้งานได้รับการยืนยันว่ากำแพงกันกระสุนบล็อกประสาน มีความมั่นคงแข็งแรง และมีความปลอดภัยสูงกว่าการใช้กระสอบทราย
ทั้งนี้ วว. ประสบผลสำเร็จในการวิจัยและพัฒนา บล็อกประสาน (Interlocking Block) โดยดำเนินการวิจัยพื้นฐานด้านวัสดุมาตั้งแต่ พ.ศ. 2508 ปัจจุบันมุ่งเน้นการวิจัยพัฒนาประยุกต์การใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ และถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม เนื่องจากบล็อกประสานมีจุดเด่นคือ เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการก่อสร้าง ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรไม้และสิ่งแวดล้อม ในการผลิตบล็อกประสานจะใช้ดินลูกรังหรือมวลรวมอื่นๆ เช่น ทราย กรวด หินฝุ่น เป็นวัตถุดิบหลัก โดยใช้ปูนซีเมนต์เป็นตัวประสาน อัดขึ้นรูปด้วยเครื่องอัดกำลังสูง บ่มด้วยความชื้นไม่น้อยกว่า 7 วัน จะได้บล็อกประสานที่แข็งแรงสามารถนำไปก่อสร้างอาคารในระบบผนังรับน้ำหนักได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นทั้งผนังและโครงสร้างในเวลาเดียวกัน ดังนั้นการก่อสร้างด้วยระบบบล็อกประสาน จึงสามารถลดโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กได้ นอกจากนั้นบล็อกประสานยังสามารถนำมาดัดแปลงเสริมเหล็ก เพื่อใช้งานเป็นเสา คาน บันได ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของอาคาร
จุดแข็งของเทคโนโลยีบล็อกประสาน วว.
1. เน้นใช้วัตถุดิบในพื้นที่ ได้แก่ ดินลูกรัง ทรายก่อสร้าง หินฝุ่น กรวด เม็ดลูกรัง ที่มีอยู่ทั่วไปในทุกภูมิภาคของประเทศ
2. เครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิต สามารถออกแบบและสร้างขึ้นใช้เองโดยโรงงานและช่างฝีมือในประเทศ ในกระบวนการผลิตไม่ต้องการเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเป็น ฟืน แกลบ หรือน้ำมัน เพราะบล็อกประสานไม่ต้องผ่านกระบวนการเผา
3. การใช้พลังงานไฟฟ้าในกระบวนการผลิตค่อนข้างต่ำหรืออาจไม่จำเป็นต้องใช้
4. ผลิตและก่อสร้างได้ง่าย ไม่ต้องการช่างฝีมือที่ชำนาญการเฉพาะด้าน
5. อาคารที่สร้างด้วยบล็อกประสาน สามารถลดการใช้ไม้แบบไม้ค้ำยัน เหล็กเสริม และคอนกรีต
6. ลดค่าก่อสร้างลงไปได้ตั้งแต่ร้อยละ 10 – 20 เมื่อเทียบกับอาคารขนาดและคุณภาพเดียวกันที่ก่อสร้างด้วยโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กผนังก่ออิฐฉาบปูน
7. ลดระยะเวลาในการก่อสร้างลงได้ร้อยละ 30 - 35 เมื่อเทียบกับอาคารขนาดเดียวกันที่ก่อสร้างด้วยโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กผนังก่ออิฐฉาบปูน
8. อาคารบล็อกประสานมีความงามเป็นเอกลักษณ์ สวยงามจากวัสดุธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องฉาบปูนและทาสี