เมื่อเวลาบ่าย 4 โมง ของวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ โลกได้สูญเสียนักวิทยาศาสตร์การเกษตรคนสำคัญคนหนึ่งไปในวัย 91 ปี ขณะรถเคลื่อนที่นำศพของ Yuan Longping ออกจากโรงพยาบาล Xiangya ในเมือง Changsha ของมณฑล Hunan ฝนกำลังตกหนัก กระนั้นฝูงชนก็ไม่ได้ย่อท้อ กลับออกจากบ้านมายืนตั้งแถวเต็มตลอดทั้งสองฟากของถนน เพื่อแสดงความคารวะและกล่าวคำอำลาต่อ Yuan ซึ่งเป็น ปูชนียบุคคลสำคัญคนหนึ่งของชาติและของโลกเป็นครั้งสุดท้าย
สำหรับคนที่กำลังขับรถอยู่ในเมืองก็พากันหยุดรถ แล้วบีบแตรส่งเสียงดังไปทั่วเมือง เสมือนเป็นสัญญาณส่งวิญญาณของปู่ Yuan ไปสวรรค์ เพราะคนจีนทุกคนสำนึกว่า Yuan คือผู้สร้างซูเปอร์ข้าวลูกผสม (super hybrid rice) ที่ให้ผลผลิตมาก จนทำให้คนจีนหลายสิบล้านคนไม่ประสบปัญหาอดอาหารตายในแต่ละปีอีกต่อไป และคุณความดีของซูเปอร์ข้าวลูกผสมนี้ ได้ทำให้จีนเป็นชาติที่สามารถส่งข้าวเป็นสินค้าออกได้มากที่สุดในโลกด้วย
ผลงานซูเปอร์ข้าวลูกผสมนี้เอง ที่ได้ทำให้ Yuan เป็นผู้รับรางวัล World Food Prize ประจำปี 2004 ซึ่งเป็นรางวัลนานาชาติที่มีความสำคัญและยิ่งใหญ่เทียบเท่ารางวัลโนเบล แต่เป็นทางสาขาเกษตรกรรม และยังทำให้ Yuan ได้รับรางวัล Wolf สาขาเกษตรกรรมของประเทศอิสราเอลด้วย ครั้นเมื่อถึงปี 2012 Yuan ก็ได้รับรางวัลขงจื๊อ (Confucius Prize) รวมถึงได้รับเหรียญเกียรติยศสูงสุดจากรัฐบาลจีน ในปี 2019 ด้วย
Yuan Longping เกิดเมื่อวันที่ 7 กันยายน ปี 1930 ที่กรุงปักกิ่ง ในประเทศจีน เป็นลูกคนที่สองของครอบครัวที่มีลูกหกคน บรรพบุรุษของตระกูลนี้ เคยตั้งรกรากอยู่ใน มณฑล Jiangxi ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีน เพราะสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น และสงครามกลางเมืองในจีนอุบัติบ่อย ครอบครัว Yuan จึงต้องอพยพบ้านพักอาศัยบ่อย เช่น เคยไปอยู่ที่เมือง Chongqing ในมณฑล Hunan, เมือง Hankou ในมณฑล Hubei และเมือง Nanjing ในมณฑล Jiangsu เป็นต้น
Yuan ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนชั้นต้นขนาดเล็กในเมือง Huaihua ซึ่งตั้งอยู่ในมณฑล Hunan ลุถึงปี 1939 ก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์จะขึ้นครองอำนาจในจีน Yuan ได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยแห่งหนึ่งนอกเมือง Chongqing ในมณฑล Sichuan โดยเรียนวิชาเกษตรศาสตร์และพันธุศาสตร์
สำหรับการตัดสินใจของ Yuan ที่จะเป็นเกษตรกรนั้น เป็นผลที่เกิดจากการได้เห็นสภาพความยากจนที่ระกำลำบากของชาวนาจีนในสมัยเมื่อ 90 ปีก่อน เพราะทุกปีจะมีคนอดอาหารตายเป็นจำนวนหลายสิบล้านคน จนมีศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่ข้างถนน เพราะคนเหล่านั้นไม่มีข้าวกิน จึงต้องบริโภคหญ้าและเปลือกไม้เพื่อการอยู่รอดและประทังชีวิตไปวัน ๆ Yuan เล่าว่าเขาไม่เคยลืมภาพที่สุดสังเวชเหล่านี้เลย จิตใจที่ห่อเหี่ยวได้ทำให้ Yuan ตั้งปณิธานว่า จะต้องเป็นเกษตรกรให้จงได้ เพื่อนำความรู้มาบรรเทาความทุกข์ยากลำบากของคนจีนจำนวนล้านให้รอดพ้นจากทุพภิกขภัย แม้บิดา-มารดาของ Yuan จะทัดทานด้วยคำเตือนว่า ชีวิตของเกษตรกรเป็นชีวิตที่ต้องทำงานหนัก และเหน็ดเหนื่อยมาก เพราะต้องรับผิดชอบสูง แต่ Yuan ก็ไม่เปลี่ยนใจ โดยบอกบุพการีว่าตนต้องการจะช่วยชาวนาจีนให้ทุกคนมีข้าวกิน เพราะถ้าท้องของคนเหล่านี้ไม่มีอาหาร ชีวิตของเขาเหล่านั้นก็จะดำเนินต่อไปไม่ได้
ประเทศจีนในสมัยเมื่อ 70 ปีก่อน เป็นเวลาที่นักวิชาการจีนมีความศรัทธาและเลื่อมใสในวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีของชาวรัสเซียมาก นักชีววิทยาจีนหลายคนที่เป็นอาจารย์สอน Yuan ต่างก็มีความเชื่อมั่นในคำสอนของ Tronfim Lysenko มาก ซึ่งคำสอนนี้มีสาระสำคัญว่า พันธุกรรมของพืชทุกชนิดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม เช่น ชาวนาสามารถทำให้ข้าวตกรวงเร็วขึ้นได้ โดยการเปลี่ยนอุณหภูมิของอากาศหรือเปลี่ยนปริมาณของน้ำในพื้นที่เพาะปลูก แต่ก็มีอาจารย์ของ Yuan บางคน เช่น Guan Xianghua ที่ยังคงยึดมั่นในทฤษฎีพันธุศาสตร์ของ Gregor Mendel และ Thomas Hunt Morgan ซึ่งเป็นนักชีววิทยาชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง
เมื่อ Yuan สำเร็จการศึกษาในปี 1953 จากวิทยาลัย Southwest Agricultural College เขาถูกส่งไปสอนหนังสือที่ Anjiang Agricultural School ในมณฑล Hunan และเริ่มสนใจการหาวิธีสร้างข้าวลูกผสม (hybrid) เพราะรู้ว่าลูกที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างพ่อกับแม่ที่มีความแตกต่างด้านพันธุกรรม จะทำให้ได้ลูกผสมที่มีความโดดเด่น เช่น แข็งแรง เติบโตเร็ว ผลมีขนาดใหญ่ หรือให้ผลผลิตได้มากกว่าพ่อ-แม่ที่เป็นสายพันธุ์แท้ ซึ่งเหตุการณ์ heterosis นี้ เป็นสิ่งที่ Yuan รู้ว่าได้เกิดขึ้นในข้าวสาลีลูกผสม ข้าวโพดลูกผสม และข้าวฟ่างลูกผสมแล้ว เขาจึงสนใจจะทำข้าวลูกผสมบ้าง เพื่อจะได้ต้นข้าวที่ให้ผลผลิตมาก ลำต้นตั้งตรงและไม่สูงมาก (คือ จาก 2 เมตร ก็ให้เหลือความสูงเพียง 1 เมตร) เพราะเวลาข้าวออกรวง รวงที่หนักจะทำให้ลำต้นหัก และถ้าเป็นไปได้ Yuan ก็ต้องการให้ข้าวลูกผสมของเขาเติบโตเร็ว เช่น จากเดิมที่โตเต็มที่ภายในเวลา 160 วัน หรือ 5 เดือน ก็ให้ลดลงเหลือ 120 วัน หรือ 4 เดือน ซึ่งถ้าการตกรวงเกิดขึ้นเร็วเช่นนี้ ชาวนาก็จะสามารถปลูกข้าวได้ปีละ 2-3 ครั้ง และในส่วนของเมล็ดข้าว Yuan ก็คาดหวังว่าจำนวนเมล็ดข้าวในรวงข้าวจะเพิ่มจาก 100-150 เมล็ด เป็น 200-250 เมล็ด คือ มากขึ้นตั้งแต่ 50-60% นอกจากนี้ซูเปอร์ข้าวลูกผสมของ Yuan ก็ควรสามารถต่อสู้กับโรคของพืชและต่อสู้แมลงได้ด้วย รวมถึงซูเปอร์ข้าวดังกล่าวอาจจะต้องการน้ำน้อย สามารถปลูกได้ง่าย ไม่ว่าดินที่ใช้ปลูกนั้นจะมีปริมาณน้อยหรือเค็มเพียงใดก็ไม่มีปัญหาในการเจริญเติบโตของพืชเลย
ในปี 1961 Yuan ได้บังเอิญเห็นต้นข้าวป่าที่มีรวงยาว และมีเมล็ดรี เขาจึงคิดจะใช้ต้นข้าวป่าเป็นต้นข้าวพ่อ-แม่ต้นแบบของข้าวลูกผสม
ประจวบกับในเวลานั้น ขบวนการ Red Guard และพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนเริ่มเรืองอำนาจ อาจารย์ Guan Xianghua ของ Yuan ซึ่งเลื่อมใสในทฤษฎีของ Mendel ได้ถูกกล่าวหาว่า เป็นศัตรูของระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ จึงถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย ด้านอาจารย์ Bao Wenkui ของ Yuan ซึ่งสำเร็จการศึกษาจาก California Institute of Technology ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ถูกศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต Yuan จึงทำงานวิจัยค้นหาซูเปอร์ข้าวลูกผสมอย่างไม่สบายใจ และรู้สึกเกรงกลัว เพราะไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของตนในอนาคตจะเป็นเช่นไร
ลุถึงปี 1966 การทำงานวิจัยหาข้าวลูกผสมของ Yuan ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองที่ปัญญาชนในจีนถูกคุกคามและถูกกำจัด แต่ Yuan ก็ไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนใด ๆ เพราะมีผู้ใหญ่ทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสนับสนุนเขาอยู่เพราะได้เห็นแววความสำเร็จของงานวิจัยที่ Yuan ทำ Yuan จึงไม่ถูกเหล่า Red Guard คุกคาม แต่ก็ถูกแยกจากครอบครัวไปทำงานที่เกาะ Hainan ในทะเลจีนใต้ เพื่อค้นหาต้นข้าวป่ามาใช้ในงานวิจัยข้าวลูกผสมของตน และสามารถกลับไปเยี่ยมครอบครัวได้ปีละ 1 วันเท่านั้นเอง
ตามความคิดของท่านประธาน Mao Zedong ซึ่งสนับสนุนให้นักวิทยาศาสตร์จีนทำงานเป็นทีม และให้พยายามเรียนรู้จากประสบการณ์ของชาวบ้าน Yuan จึงให้นิสิตในความดูแลของตนออกทำงานภาคสนาม ทำการทดลองผสมข้าวสายพันธุ์ต่าง ๆ รวมถึงได้ดัดแปลงพันธุกรรมของข้าวตลอดเวลา และสามารถตีพิมพ์งานวิจัยได้เพียงเรื่องเดียวในปี 1966 จากนั้นก็ไม่ได้ตีพิมพ์งานวิจัยใด ๆ อีกเลย จนกระทั่งอีก 10 ปีต่อมา เมื่อได้พบซูเปอร์ข้าวลูกผสมแล้ว
ผลงานนี้ได้เริ่มเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ เช่น อินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ซึ่งเป็นชาติที่มีประชากรบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก
ในปี 1985 Hiroshi Ikehashi นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้พบยีนตัวหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ข้าวลูกผสม Yuan จึงใช้ยีนนั้นในการพัฒนาสายพันธุ์ของข้าวลูกผสมให้ดีขึ้น ๆ จนทำให้ได้ต้นข้าวที่เติบโตสูงขึ้น และให้ผลผลิตมากขึ้น ฯลฯ ซึ่งมีผลทำให้คนจีนอีกร่วม 100 ล้านคน มีข้าวกิน และไม่อดอาหารตายอีกต่อไป
ผลงานนี้ทำให้ Yuan ในปี 2006 ได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ U.S. National Academy of Sciences ซึ่งเป็นสมาคมวิชาการที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ถูกสมาคมวิชาการของจีน (Chinese Academy of Sciences) ปฏิเสธการรับเขาเข้าเป็นสมาชิกถึง 3 ครั้ง ซึ่งทำให้ Yuan ผิดหวังบ้าง แต่ก็ไม่ใยดีมาก เพราะเป็นคนที่ไม่สนใจการเมือง และไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเลย จึงถูกพวกยุวชนแดง (Red Guards) โจมตีว่าเป็นปัญญาชนที่นิยมตะวันตก
Yuan เล่าว่า ความสำเร็จของเขามาจากสาเหตุ 3 ประการ คือ (1) ความรู้ (2) การทุ่มเททำงานหนัก (3) การได้รับและสร้างโอกาส เพราะปัจจัยทั้ง 3 นี้ ได้เกื้อหนุนให้เขาสามารถทำงานได้ ภายใต้สถานการณ์ของบ้านเมืองที่สับสนวุ่นวาย ณ สถาบัน China National Hybrid Rice Research and Development ที่เมือง Changsha
ในปี 2008 ที่จีนเป็นเจ้าภาพแข่งขันกีฬาโอลิมปิก Yuan วัย 78 ปี ได้รับเกียรติให้เป็นนักกีฬาคนหนึ่งที่วิ่งถือคบเพลิงโอลิมปิก
ถึงปี 2009 รัฐบาลจีนได้สร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของ Yuan ชื่อ Yuan Longping เพื่อเผยแพร่ให้เยาวชนจีนได้เจริญรอยตาม และให้ต่างชาติได้รู้จักคนจีนที่เปลี่ยนโลก ในภาพยนตร์เรื่องนั้น Yuan ยังได้กล่าวถึงความฝันของเขาเกี่ยวกับซูเปอร์ข้าวลูกผสมว่า เขาต้องการจะเห็นต้นข้าวสูงเท่าต้นข้าวฟ่าง เห็นดอกช่อของข้าวเป็นพวงที่บานใหญ่เท่าไม้กวาด เห็นเมล็ดข้าวมีขนาดใหญ่เท่าถั่วลิสง เห็นคนทั่วโลกมีข้าวกิน และตราบเท่าที่มีลมหายใจ เขาก็จะมุ่งมั่นพัฒนา super hybrid rice ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก แม้อายุจะ 90 ปีแล้ว Yuan ก็ยังไปสำรวจพื้นที่นาทดลอง โดยถีบจักรยานไป และเมื่อหกล้มลงในเดือนมีนาคม 2021 อาการบาดเจ็บทำให้ต้องนั่งรถที่มีคนขับ เขาก็ยังไปทำงาน
ก่อนเสียชีวิตไม่นาน Yuan ได้เริ่มสนใจการพัฒนาต้นข้าวที่สามารถขึ้นได้ในดินเค็ม (รู้จักในนามข้าวทะเล sea rice) ที่เมือง Qingdao ในมณฑล Shandong เพราะประเทศจีนมีพื้นที่ ๆ เป็นดินเค็มประมาณ 100 ล้านเฮกตาร์ (hectare) และ 1/5 ของพื้นที่นี้สามารถพัฒนาให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมข้าวได้ ข้อมูลนี้ทำให้ Yuan มีความต้องการจะให้โครงการนี้เป็นโครงการใหญ่ เพราะสามารถจะช่วยคนยากจนในประเทศที่อยู่ติดทะเล เช่น Bangladesh , Brazil , India และ Vietnam ให้สามารถผลิตข้าวทะเลได้ สถิติปัจจุบัน คือ ชาวนาที่อยู่ใกล้ชายทะเลสามารถผลิตข้าวทะเลได้มากกว่าข้าวปกติถึงเฮกตาร์ละ 2 ตันแล้ว และสหรัฐอเมริกาก็ได้ส่งนักศึกษาการเกษตรมาฝึกงาน ที่สถาบันของ Yuan ในเมือง Shangsha แล้ว ภายใต้โครงการทุนฝึกงานนานาชาติ Borlaug-Ruan และโครงการนี้จะดำเนินต่อไป แม้ Yuan จะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม เพราะนี่คือมรดกที่ Yuan ได้มอบให้แก่โลก ซึ่งจะทำให้คนทั้งโลกระลึกถึงเขาได้ตลอดไป
ด้านคนอินเดียก็มีศาสดาการเกษตร ซึ่งเป็นที่รู้จักและยกย่องมากเช่นกัน เขาชื่อ Mankombu Sambasivan Swaminathan หรือ M.S. Swaminathan ผู้เป็นคนแรกที่ได้รับรางวัล World Food Prize ประจำปี 1987 จากการนำเข้าข้าวสาลีที่ให้ผลผลิตสูงเข้าไปปลูกในอินเดีย ในทศวรรษของปี 1960 ขณะที่คนอินเดียจำนวนมากกำลังอดอาหารตาย จึงทำให้ประเทศรอดพ้นจากภัยหายนะครั้งนั้นได้ นอกจากรางวัล “โนเบลสาขาเกษตรกรรม” แล้ว Swaminathan ยังได้รับรางวัล Ramon Magsaysay ในฐานะผู้นำชุมชนอีกด้วย
Swaminathan เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ.1925 ที่เมือง Thanjavur รัฐ Tamil Nadu ในประเทศอินเดีย เข้ารับการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านพันธุศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย Cambridge ในประเทศอังกฤษ
ในปี 1966 เขาได้นำเมล็ดข้าวสาลีพันธุ์พื้นเมืองของเม็กซิโก ที่พัฒนาโดย N. Borlaug (รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ปี 1970) มาผสมพันธุ์กับข้าวสาลีพันธุ์อินเดีย เพื่อเพาะและปลูกในแคว้นปัญจาบ ซึ่งให้ผลดีมาก
เหตุการณ์ที่เกิดตามมาคือ ทีมวิจัยของ Swaminathan ได้พัฒนาข้าวสาลีลูกผสมที่ให้ผลดีมาก จนทำให้เกิดการปฏิวัติเขียว (Green Revolution) ทั่วทั้งภาคพื้นเอเชียอาคเนย์
ในอดีตเมื่อ 40 ปีก่อนนี้ ประชากรในเอเชียเพิ่มจำนวนเร็วมาก จนทำให้มีคนเสียชีวิต เพราะอาหารขาดแคลนถึงปีละ 30 ล้านคน จนทำให้ใคร ๆ ก็คิดว่า คำทำนายของ Thomas Malthus ในปี 1798 จะเป็นจริง เพราะประชากรจะล้นโลก และอาหารจะขาดแคลน แต่แล้วความมหัศจรรย์ก็ได้บังเกิดในห้องปฏิบัติการของ Swaminathan ที่กรุง New Delhi และอีกสองปีต่อมาที่ International Rice Research Institute ที่ Los Banos ในฟิลิปปินส์ เพราะเทคโนโลยีชีวภาพที่ Swaminathan นำมาใช้พัฒนาสายพันธุ์ของข้าวสาลีทำให้ได้ผลิตผลมากยิ่งกว่าข้าวสาลีธรรมดา
ดังจะเห็นได้จากสถิติในปี 1964 ว่าปริมาณการผลิตข้าวสาลีของอินเดียได้เพิ่มมากขึ้นถึง 60% จึงทำให้อินเดีย ซึ่งเคยสั่งข้าวสาลีมากถึง 70% เป็นสินค้าเข้า ได้หยุดสั่ง เพราะ Swaminathan เชื่อว่า ประเทศใดยิ่งสั่งอาหารเข้าประเทศมาก ชาวนาและเกษตรกรของประเทศนั้นก็จะตกงานมากเพียงนั้น เพราะการซื้ออาหารจากต่างชาติ ก็คือ การส่งเสริมเกษตรกรต่างชาตินั่นเอง
ในปี 1966 Swaminathan วัย 41 ปี ได้รับเลือกเป็นผู้อำนวยการของสถาบัน Indian Agricultural Research Institute ที่ New Delhi ซึ่งมีจุดมุ่งหมายจะพัฒนาข้าวสาลีให้เป็นข้าวสาลีทองที่ชาวอินเดียชอบบริโภคเป็นพิเศษ
ในปีเดียวกันนี้ Swaminathan ยังได้จัดตั้งฟาร์มตัวอย่างขึ้น 2,000 แห่งทั่วประเทศ และยังได้ปรับปรุงระบบการชลประทานในรัฐ Punjab ด้วย
ณ วันนี้ อินเดียสามารถผลิตข้าวสาลีลูกผสมได้ประมาณ 70 ล้านตัน/ปี เปรียบเทียบกับ 12 ล้านตัน/ปีที่ได้ในอดีต Swaminathan ได้อ้างถึงความสำเร็จของตนว่า มาจากปัจจัย 3 ประการ คือ (1) แรงจูงใจ (2) การทำงานหนัก และ (3) โชค
ในส่วนของคนไทย ผู้พบข้าวหอมมะลิ คือ คุณสุนทร สีหะเนินครับ
อ่านเพิ่มเติมจาก The Man Who Puts An End to Hunger : Yuan Longping, “Father of Hybrid Rice”. Beijing: Foreign Languages Press. 2007. ISBN 9787119051093
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์