xs
xsm
sm
md
lg

ปริศนาเกี่ยวกับชีวิตของ Columbus ที่โลกมีและไม่มีคำตอบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แม้ Christopher Columbus จะเสียชีวิตนานถึง 515 ปีแล้วก็ตาม แต่โลกก็ยังมีคำถามเกี่ยวกับชีวิตที่แท้จริงของนักสำรวจนามกระเดื่องโลกท่านนี้อีกหลายเรื่อง ที่ยังไม่มีใครสามารถตอบได้ เช่นว่า เป็นคนสัญชาติใดกันแน่ (อิตาเลียน หรือสเปน หรือโปรตุเกส) และในการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางทิศตะวันตก เมื่อปี 1492 เพื่อไปจีนและอินเดียนั้น Columbus ได้รับแรงดลใจในการเดินทางจากใคร จากตนเอง หรือเพราะได้สดับตรับฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับการผจญภัยของ Leif Erikson ซึ่งเป็นไวกิงที่มีการกล่าวถึงในตำนานของชาวไอซ์แลนด์ (Iceland) ซึ่งได้อ้างว่า เคยไปเหยียบย่ำบนเกาะ Newfoundland ในทวีปอเมริกาเหนือ ตั้งแต่ปี 1000 

การล่วงรู้นี้ทำให้ Columbus ได้เจริญรอยตาม และสำหรับคำถามที่ว่าศพของ Columbus ถูกนำไปฝังที่มหาวิหาร Seville ในประเทศสเปน หรือที่มหาวิหาร Santo Domingo ในประเทศ Dominican Republic กันแน่ คำถามนี้ก็เพิ่งได้รับคำตอบจากการวิเคราะห์ DNA ของกระดูกศพ Columbus เมื่อ 16 ปีก่อนนี้เอง ความสับสนและความขัดแย้งระหว่างข้อมูลต่าง ๆ เกิดจากคำบอกเล่าของ Columbus เอง ที่ได้เอ่ยถึงชีวิตตั้งแต่เกิด แต่ไม่ละเอียดและไม่สอดคล้องกันหลายเรื่อง เพราะ Columbus ไม่ชอบพูดถึงเรื่องของตนเอง ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่นว่า เป็นลูกนอกสมรสโดยไม่มีพ่อและมารดามีเชื้อชาติยิว ทำให้เป็นบุคคลที่มีปมด้อย จึงพยายามปกปิดข้อมูลส่วนตัว ด้วยเหตุนี้นักจิตวิทยาจึงมีความเห็น ความสับสนทั้งหลายอาจเกิดจากสาเหตุที่ Columbus มีอาการผิดปกติทางจิตใจที่เรียกว่า “confabulation” คือ ชอบพูดโกหกอย่างจงใจ เพื่อให้คนและสังคมรอบข้างมีความเห็นว่าตนเป็นคนดีที่กล้าหาญและเก่ง รวมถึงมีความต้องการให้คนทั้งโลกยอมรับในความสามารถด้วย




สำหรับคำถามแรกที่ว่าศพจริงของ Columbus อยู่ ณ ที่ใดนั้น ได้รับคำตอบแล้ว คือ

เมื่อ Columbus เสียชีวิตด้วยโรคเก๊าท์ ในวันที่ 20 พฤษภาคม ปี 1506 ที่เมือง Valladolid ในสเปน ก่อนตาย Columbus ได้ตั้งปณิธานว่า ต้องการให้ทายาทของตนนำศพไปฝังที่เมือง Santo Domingo ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะในทะเล Caribbean ดังนั้นลูกสะใภ้และลูกชายชื่อ Diego Columbus จึงนำศพไปฝังที่มหาวิหาร Seville เป็นการชั่วคราวก่อน เพราะที่ Santo Domingo ยังไม่มีโบสถ์ทางคริสต์ศาสนาที่เหมาะสมสำหรับการฝังบุคคลสำคัญเช่น Columbus จนกระทั่งปี 1540 การขนย้ายศพจึงเกิดขึ้น เพราะในเวลานั้นวิหารที่ Santo Domingo อยู่ในสภาพพร้อมแล้ว ศพจึงถูกนำไปฝังที่นั่น จนถึงปี 1793 เมื่อสเปนพ้ายแพ้ให้การทำสงครามกับฝรั่งเศส สเปนจึงยกดินแดน Dominican Republic ให้ฝรั่งเศส แล้วย้ายศพของ Columbus ไปฝังที่ประเทศคิวบา ใกล้ ๆ ศพของลูกชาย Columbus ที่ชื่อ Hernando Colon (Colon เป็นชื่อของ Columbus ในภาษาสเปน) จากนั้นศพก็ได้ถูกนำกลับไปที่เมือง Seville อีก ในปี 1898 เพื่อประดิษยฐานที่นั่นอย่างถาวร เหตุการณ์เหล่านี้จึงทำให้ดูเสมือนว่า แม้ Columbus จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ศพก็ยังเดินทางโดยตลอด

การโยกย้ายศพไป ๆ มา ๆ ได้ทำให้เกิดการถกเถียงกันมากว่าศพที่แท้จริงและสมบูรณ์แบบของ Columbus อยู่ ณ ที่ใด เพราะทางรัฐบาล Dominican Republic ก็อ้างว่าศพยังอยู่ที่ Santo Domingo เพราะในปี 1871 ได้มีการพบโลงศพที่ทำด้วยตะกั่ว และที่ฝาโลงมีคำจารึกว่า “Ill y Es varon Cristoval Colon” ซึ่งแปลว่า นี่คือศพของวีรบุรุษผู้มีชื่อเสียง ชื่อ Don Cristobal Colon ส่วนทางรัฐบาลสเปนก็อ้างว่ามีศพตัวจริงเป็นเวลานานมากเช่นกัน

ในปี 2004 นักวิทยาศาสตร์จึงได้วิเคราะห์ DNA ในกระดูกของศพที่ฝังอยู่ที่มหาวิหารเมือง Seville แล้วนำ mitochondrial DNA ที่ได้ ไปเปรียบเทียบกับ mDNA ของลูกชาย Columbus ทั้งสองคน คือ Diego กับ Ferdinand นอกจากนี้ทีมนักวิจัยของสเปนยังได้นำ DNA ของคนในสกุล Colon ซึ่งเป็นชาวสเปนจำนวน 350 คน และคนในสกุล Columbo ซึ่งเป็นชาว Dominican Republic กับชาวอิตาเลียน จำนวน 80 คน มาวิเคราะห์ด้วย ส่วนทางด้านรัฐบาล Dominican Republic นั้น ไม่ยินยอมให้พิสูจน์ โดยอ้างว่า DNA ในกระดูกที่เมือง Santo Domingo ได้เสื่อมสภาพไปมากแล้ว จึงอาจทำให้ข้อมูล mDNA ที่เหลือมีไม่มากพอจะสามารถใช้ระบุได้ว่าเป็นกระดูกของ Columbus จริง ๆ ผลการเปรียบเทียบ DNA ปรากฏว่า ศพของ Columbus ที่มหาวิหาร Seville คือศพจริง

สำหรับคำถามที่สอง คือ อะไรคือต้นเหตุที่เป็นแรงจูงใจให้ Columbus เดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเลไปจนพบดินแดนใหม่ที่ Columbus เรียกว่า Indies (เพราะหลงคิดไปว่าเป็นอินเดียนั้น) ก็ได้ทำให้เกิดปัญหาว่า ใครเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ได้พบทวีปอเมริกาเหนือ เพราะนักประวัติศาสตร์เชื่อว่า มีบุคคลหนึ่งเป็นชาวไวกิงนามว่า Leif Erikson ซึ่งได้พบทวีปอเมริกาก่อน Columbus (ในความเป็นจริงชาวอินเดียนแดงได้พบอเมริกาก่อนคนทั้งสอง ประมาณ 20,000 ปี)

แม้ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีวัน Columbus กับวัน Erikson ซึ่งถือเป็นวันหยุดพักผ่อนในเดือนตุลาคม (แต่ก็ใช่ว่าวัน Columbus จะเป็นวันหยุดในทุกรัฐ เพราะประชาชนอเมริกันในหลายรัฐมีความคิดว่า Columbus คือต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายหลายเรื่อง เช่น ได้ชักนำให้เกิดการค้าทาส และชี้นำให้ชาวยุโรปบุกเข้าไปทำลายอารยธรรม Inca และอารยธรรม Aztec จนอารยธรรมทั้งสองได้ล่มสลายไปในที่สุด) นอกจากนี้ Columbus ก็ยังทำให้ ชาวพื้นเมืองอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาต้องสูญเสียชาติพันธุ์รวมถึงดินแดนไปมากมาย ส่วน Erikson ได้รับการยกย่องว่า เป็นชาวยุโรปคนแรกที่ได้เดินทางถึงเกาะ Newfoundland ในทวีปอเมริกาเหนือ เมื่อปี 1000 คือก่อน Columbus ถึง 500 ปี

แต่เมื่อถึงวันนี้ โลกได้มีหลักฐานแน่ชัดแล้วว่า นักผจญภัยชาวไวกิง ได้เดินทางถึงทวีปอเมริกาเหนือก่อน Columbus จริง และความสำเร็จนี้ ได้รับการจารึกลงในตำนาน เรื่อง Saga of the Greenlanders ของชาวไวกิง ในประเทศ Iceland และ Columbus อาจจะได้รับรู้เรื่องนี้ ขณะที่เดินทางไปเยือน Iceland เมื่อปี 1477 ก็ได้


ตามปกติเวลาใครเอ่ยถึงไวกิง หลายคนมักจะนึกถึงโจรสลัดที่ชอบปล้นและฆ่าเหยื่อที่อยู่ในดินแดนแถบ Scandinavia ในช่วงปลายคริสต์วรรษที่ 8 ดังนั้นไวกิงจึงดูเป็นคนโหดร้ายและกระหายเลือดมาก จนผู้คนสมัยนั้นเวลาเห็นเรือไวกิงปรากฏที่ขอบฟ้า จะพากันหลบหนีเอาตัวรอด และเอาสมบัติไปฝังดิน ส่วนยามหมู่บ้านก็จะตีระฆังโบสถ์เป็นสัญญาณเตือนภัยให้ทุกคนหลบหนีก่อนจะถูกฆ่าตาย แต่ในเวลาเดียวกันหลายคนก็ตระหนักรู้ว่าชาวไวกิงมีความสามารถในการเดินเรือมาก เพราะรู้จักใช้ใบเรือที่มีขนาดใหญ่ และมีฝีพายที่ทรงพลังในการเดินทางไกลในทะเลด้วยเรือมังกร (เพราะหัวเรือไวกิงมักได้รับการแกะสลักเป็นหัวมังกร) นอกจากจะชอบปล้นทรัพย์สมบัติของชาวบ้านแล้ว ไวกิงยังชอบจับผู้คนไปเป็นเชลย เพื่อขายเป็นทาสด้วย

ตำนานไวกิงได้บันทึกว่า Leif Erikson เป็นคนที่มีรูปร่างสูงและแข็งแรง มีบิดาชื่อ Erik the Red (เพราะมีเคราและผมสีแดง) การเป็นคนที่มีอารมณ์ร้ายทำให้บิดามีเรื่องวิวาทกับชาวบ้านบ่อย จึงถูกเนรเทศออกจากเกาะ Iceland ให้ไปอยู่ที่เกาะ Greenland ในปี 985 Leif Erikson ได้ทราบข่าวว่า Bjarni Herjólfsson ขณะเดินทางกลับไปเกาะ Greenland ได้เห็นเกาะใหม่ที่มีป่าไม้และต้นไม้ใหญ่ปกคลุมอย่างอุดมสมบูรณ์ คำบอกเล่าเช่นนี้ ได้ทำให้ชาวเกาะ Greenland รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะบนเกาะที่ตนอยู่ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย จะมีก็เพียงต้นไม้เตี้ย ๆ สำหรับให้ตัดไม้ เพื่อใช้สร้างบ้านและเป็นเชื้อเพลิงเท่านั้นเอง

ถึงปี 1000 Erikson จึงนำลูกเรือ 35 คน ออกเดินทางค้นหาดินแดนลึกลับตามเส้นทางที่ Herjólfsson ได้บันทึกไว้ และได้เห็นเกาะ Helluland (เกาะ Baffin ในปัจจุบัน) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะ Greenland แต่ไม่เห็นต้นไม้ใหญ่ จึงเดินทางต่อไปจนถึง Markland (ซึ่งอยู่ที่ชายฝั่งของรัฐ Labrador ในแคนาดา) และได้แวะขึ้นฝั่ง ก็เห็นว่าบนเกาะมีต้นองุ่นขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงตั้งชื่อแผ่นดินใหม่ว่า Vinland หรือ Wine land (แผ่นดินเหล้าองุ่น) แล้วเดินทางกลับบ้าน


คำถามที่นักประวัติศาสตร์ถามคือ Vinland อยู่ ณ ที่ใด ที่ Newfoundland หรืออยู่ทางใต้ของ Cape Cod ในรัฐ Massachusetts เพราะความจริงมีว่าอากาศบนเกาะ Newfoundland นั้นค่อนข้างหนาว องุ่นจึงขึ้นงอกงามไม่ได้ ส่วน Cape Cod นั้น ก็อยู่เหนือสุด จนต้นองุ่นป่าไม่สามารถจะงอกงามได้เช่นกัน แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนก็คิดว่า Vinland เป็นชื่อที่นักสำรวจตั้งขึ้นเพื่อให้นักเดินทางในสมัยนั้น พากันมาตั้งถิ่นฐาน และปลูกต้นองุ่นเพื่อทำเหล้าองุ่น ทั้ง ๆ ที่บริเวณนั้นไม่มีต้นองุ่นให้เห็นเลย เหมือนดังที่ได้เรียกชื่อเกาะว่า Greenland ทั้ง ๆ ที่บนเกาะไม่มีหญ้าหรือป่าสีเขียวให้เห็นเลย


จนกระทั่งปี 1962 เมื่อ Helge Ingstad นักโบราณคดีชาวนอร์เวย์ได้ไปสำรวจหมู่บ้าน L’Anse aux Meadows ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของเกาะ Newfoundland และได้พบบ้านขนาดใหญ่สองหลัง ซึ่งภายในมีห้อง 3 ห้อง สำหรับให้คน 70-80 คนอยู่ เธอจึงคิดว่ามันเป็นสิ่งก่อสร้างที่ Erikson สร้าง เพราะมีรูปทรงคล้ายบ้านของชาวไวกิงบนเกาะ Greenland มาก นอกจากนี้เธอก็ยังได้พบเครื่องใช้ที่ทำด้วยโลหะและไม้ เตาถ่านหิน และของเล่นที่แกะสลักจากไม้อีกมากมาย รวมถึงพบอุปกรณ์จุดไฟที่มีลักษณะเหมือนกับที่ชาวไวกิงใช้ การวัดอายุโดยใช้เทคโนโลยีคาร์บอน-14 และการวิเคราะห์ด้วยเทคนิค neutron activation แสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีอายุ 1,000 ± 70 ปี

หลักฐานเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า L’Anse aux Meadows คือดินแดน Vinland ของ Erikson และนั่นก็หมายความว่า ไวกิงได้ไปถึงทวีปอเมริกาก่อน Columbus จริง ส่วนสาเหตุที่ไวกิงไม่สามารถตั้งรกรากอยู่บนเกาะ Vinland ได้เป็นเวลานาน เพราะชาวอินเดียนแดงมีจำนวนมากกว่า และชาวไวกิงไม่มีปืนจะต่อสู้ ดังนั้นเมื่อเกิดกรณีพิพาท ชาวไวกิงจึงถูกฆ่าตายจนหมด ในขณะที่เวลา Columbus ยกพลขึ้นบกที่เกาะ San Salvador (เกาะ Watling ในปัจจุบัน) บรรดาลูกเรือมีอาวุธปืนพร้อม ดังนั้นจึงสามารถต่อสู้กับชาวอินเดียนแดงได้ แต่ในที่สุดคนของ Columbus ก็ถูกชาวอินเดียนแดงฆ่าตายจนหมดเช่นกัน

ด้าน Patricia Sutherland แห่งมหาวิทยาลัย Carleton ซึ่งเป็นนักโบราณคดี ชาวแคนาดา ก็ได้พบหลักฐานบนเกาะ Helluland ของ Erikson (เกาะ Baffin ในปัจจุบัน) เมื่อปี 2012 ว่า ไวกิงได้เคยมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะนี้ก่อนที่ Columbus จะพบทวีปอเมริกา อย่างน้อย 200 ปี เพราะได้พบหน้ากากไม้และผ้าทอมือ ซึ่งผ้าทอมีลวดลายในการทอแบบเดียวกับที่ชาวไวกิงบนเกาะ Greenland นิยม และจึงส่งผ้าไปวิเคราะห์ที่ Textile Research in Archelogy ณ มหาวิทยาลัย York ในประเทศอังกฤษ และได้พบว่าผ้าที่ทอจากขนกระต่ายผืนนั้น มีอายุประมาณ 800 ปี

ในรัฐ Maine ของประเทศสหรัฐอเมริกา ก็มีการขุดพบเหรียญของชาวไวกิง ซึ่งได้เดินทางมาค้าขายกับชาวอินเดียนแดง การวัดอายุของเหรียญแสดงให้เห็นว่าเหรียญถูกทำขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์ Olaf Kyrre คือระหว่างปี 1067-1093 แม้ชาวไวกิงจะมีการแลกเปลี่ยนสินค้ากับชาวพื้นเมืองเป็นเวลานาน แต่นักประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้พบร่องรอยใด ๆ ว่าชาวไวกิงมีอิทธิพลทางด้านวัฒนธรรมต่อชาวพื้นเมืองเลย

ในวารสาร Nature ฉบับวันที่ 22 ตุลาคม ปี 2021 Michael Dee แห่งมหาวิทยาลัย Groningen ในประเทศเนเธอแลนด์กับคณะ ได้รายงานการพบหลักฐานเพิ่มเติมว่าชาวไวกิงได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาเหนือเป็นครั้งแรกเมื่อค.ศ.1021 (ก่อน Columbus 471 ปี) เพราะได้พบซากไม้ในหมู่บ้าน L’Anse aux Meadows ซึ่งแสดงหลักฐานการเกิดพายุสุริยะจากดวงอาทิตย์อย่างรุนแรงเมื่อปี 992 ความรุนแรงของพายุได้ทำให้ท้องฟ้ามีสีแดงและชาวเยอรมัน ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศได้เห็นแสงเหนือ (aurora borealis) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย นอกจากนี้ก็ยังได้พบซากไม้จากทั่วโลกว่ามี carbon-14 ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีในปริมาณมากผิดปกติ ในวงปีของต้นไม้ด้วย

เทคนิค dendrochronology เป็นวิธีนับวงปีซึ่งสามารถแสดงอายุของต้นไม้และได้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกเมื่อ 120 ปีก่อนนี้ โดย A.E. Douglass เป็นคนริเริ่ม และเป็นเทคนิคหนึ่งที่เหมาะสำหรับการใช้วัดอายุของต้นไม้ขนาดใหญ่ เช่น ต้นโอ๊คและต้นสน การศึกษาวัสดุไม้ 3 ชิ้น ที่พบในหมู่บ้าน L’Anse aux Meadows ก็แสดงเหตุการณ์พายุสุริยะในวงปีเช่นกัน นั่นแสดงว่าชาวไวกิงได้ใช้ขวานโค่นต้นไม้ เพื่อทำอุปกรณ์นั้นแน่นอน เพราะชาวอินเดียนแดงไม่มีวิธีทำขวานและไม่รู้วิธีหลอมเหล็ก ดังนั้นชาวไวกิงจึงต้องเป็นคนที่สร้างและใช้ขวาน โดยได้โค่นต้นไม้ เมื่อปี 992 + 29 = 1021 เพราะได้พบว่าต้นไม้มีวงปีที่ผิดปกติ 29 วง


ประเด็นสัญชาติของ Columbus ก็เป็นปัญหาใหญ่ เพราะ Columbus ไม่ชอบให้ใครพูดถึงหรือเอ่ยถึงชาติกำเนิดของตน และมักบอกคนที่เข้ามาสัมภาษณ์หลังจากการที่พบทวีปอเมริกาแล้วว่า “ข้ามาจากความว่างเปล่า (Vine de nada)” แม้ขณะใกล้จะหมดลมหายใจ ลูก ๆ ของ Columbus ได้มาวิงวอนขอร้องพ่อให้บอกสถานที่เกิดว่าเป็นที่ใด มีบิดา-มารดาชื่ออะไร แต่ Columbus ก็ไม่ยอมบอก และจากไป โดยได้เคยบอกโลกว่า ตนเกิดที่เมือง Genoa ในประเทศอิตาลี เมือปี 1451 และบิดา-มารดามีอาชีพทอผ้า แต่ในความเป็นจริง เวลา Columbus เขียนจดหมายหรือเขียนบันทึก เขาไม่เคยเขียนเป็นภาษาอิตาเลียนเลย กลับใช้ภาษาท้องถิ่นของชาวเมือง Valencia , Mallorca และ Galicia ในประเทศสเปนได้อย่างคล่องแคล่ว รวมถึงสามารถใช้ภาษาโปรตุเกสได้เป็นอย่างดีและภาษาละตินบ้าง ดังนั้น Columbus จึงน่าจะเป็นชาวสเปน แต่เมื่อ Columbus แต่งงานกับ Dona Felipa Rerestrello e Moniz ซึ่งเป็นชาวโปรตุเกส เพราะตามกฎหมายที่ใช้ในเวลานั้น Columbus จะต้องเป็นชาวโปรตุเกสด้วย นักประวัติศาสตร์หลายคนจึงคิดว่า Columbus น่าจะเป็นชาวโปรตุเกส

นอกจากเหตุผลนี้แล้ว นักประวัติศาสตร์หลายคนก็ยังได้พบว่า Columbus ตั้งชื่อเกาะใหม่ ๆ ที่ตนพบในทะเล Caribbean ว่า Cuba และใช้ชื่อต่าง ๆ อีกมากมาย ในการตั้งเป็นชื่อเกาะ ซึ่งชื่อทั้งหมดนั้นเป็นชื่อของเมืองต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่รายรอบเมือง Cuba ที่อยู่ในประเทศโปรตุเกส นั่นแสดงว่า Columbus น่าจะมีความคุ้นเคยกับประเทศโปรตุเกสเป็นอย่างดี และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลายคนคิดว่า Columbus เป็นชาวโปรตุเกส แต่ถ้าเป็นชาวโปรตุเกสจริง ก็ไม่น่าเชื่อว่าเหตุใดกษัตริย์ John ที่ 2 แห่งโปรตุเกส จึงไม่ได้ทรงสนับสนุนให้ Columbus เดินทางข้ามมหาสมุทร จน Columbus ต้องดั้นด้นไปทูลขอการสนับสนุนจากกษัตริย์ Ferdinand แห่ง Aragon และพระนาง Isabella แห่ง Castile ในสเปน จนได้รับพระกรุณาอุปถัมภ์ แต่กว่าจะได้เข้าเฝ้าทั้งสองพระองค์ Columbus ก็ต้องคอยนานถึง 7 ปี และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักประวัติศาสตร์สงสัยคือ เวลา Columbus เดินทางกลับจากทวีปอเมริกาครั้งแรกนั้น เขาได้แวะไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ John ที่ 2 แห่งโปรตุเกสก่อนที่จะไปทูลรายงานการพบแผ่นดินใหม่ต่อกษัตริย์ Ferdinand และพระนาง Isabella ซึ่งทำให้เป็นประเด็นสงสัยว่า Columbus อาจจะเป็นสายลับในกษัตริย์ John ที่ 2 เพื่อไปสอดแนมความเป็นไปต่าง ๆ ในสเปน

ประเด็นเหล่านี้ทำให้โลกยังมีคำถามเกี่ยวกับชีวิตที่แท้จริงของ Columbus อีกมากมาย ซึ่งยังต้องการคำตอบ และจะเป็นปัญหาที่ยังคาราคาซังไปอีกนาน

อ่านเพิ่มเติมจาก Lane, Kris (8 October 2015). "Five myths about Christopher Columbus". The Washington Post. Retrieved 4 August 2018.


สุทัศน์ ยกส้าน

ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์
กำลังโหลดความคิดเห็น