อว.เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำปัจจุบันด้วยข้อมูลวิจัยและนวัตกรรม "เอนก" เตือนระวังฝนตกหนัก เชื่อโอกาสท่วมซ้ำรอยปี 54 มีน้อย ห่วง "น่้ำไม่พอ-น้ำแล้ง" เชื่อมาแน่ ย้ำต้องป้องกันน้ำท่วมควบคู่เตรียมแผนกักเก็บน้ำ
วันนี้ (16 ก.ย.) ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดการเสวนา เรื่อง "2564 จะมีน้ำท่วมใหญ่หรือไม่ เตรียมพร้อมรับมืออย่างไร" จัดโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมด้วยนักวิจัย ผู้ชี่ยวชาญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ดร.พิจิตต รัตตกุล รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ดร.สุทัศน์ วีสกุล รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ดร.ชลัมภ์ อุ่นอารีย์ และ ผศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ สุทธินนท์ ร่วมการเสวนา เพื่อให้ข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับแนวโน้มสถานการณ์น้ำของประเทศไทย ปี 2564 และความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วม น้ำแล้ง สร้างการรับรู้และเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กล่าวว่า ตามที่มีกระแสข่าวมาว่าปีนี้จะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ประเทศไทยจะต้องเจอกับฝนที่มากขึ้น ฝนจะตกชุกหนาแน่นในหลายพื้นที่ ดังนั้น การให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องนี้จึงเป็นหน้าที่ของกองหนุนอย่าง อว. ที่พร้อมนำความรู้ วิชาการต่าง ๆ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมและเครื่องมือที่จะรับมือมาสื่อสารให้สังคมและชุมชนรับรู้ เข้าใจ และสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อลดผลกระทบและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะประเด็น “น้ำท่วม น้ำแล้ง” ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนที่เผชิญกันมาบ่อยครั้งและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวอีกว่า สถานการณ์ช่วงนี้ยังต้องเฝ้าระวังฝนตกหนัก แต่โอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมแบบปี 2554 มีน้อย เพราะน้ำในเขื่อนยังน้อย เพียง 10,000 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น และปัจจัยจากน้ำทะเลหนุนปีนี้ก็มีไม่มาก จึงเหลือปัจจัยเดียวที่จะต้องเตรียมรับมือคือ น้ำฝนที่ตกลงในพื้นที่ชุมชนเมืองเท่านั้น แต่ที่น่ากังวลคือ น้ำแล้ง ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากนี้แน่นอน จึงต้องเตรียมการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ขณะที่ป้องกันน้ำท่วมก็ต้องเตรียมกักเก็บน้ำไปด้วย การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ การบริหารจัดการน้ำที่ดีจะป้องกันน้ำท่วม-น้ำแล้ง จึงต้องมีการบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง อว.พร้อมทำงานร่วมกับทุกกรม ทุกกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นโครงการเจ้าพระยาเดลต้า 2040 หรือการจัดทำระบบป้องกันน้ำท่วม ฯลฯ เพื่อเร่งนำเสนอต่อรัฐบาลเพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ดร.พิจิตต รัตตกุล ประธานคณะกรรมการเครือข่ายพัฒนาความแข้มแข็งต่อภัยพิบัติไทยและอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวในวงเสวนาว่า กรุงเทพมหานคร คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำในเขื่อน ณ เดือนกันยายน มีเพียงประมาณร้อยละ 30 จึงไม่น่าจะเกิดอุทกภัยใหญ่ ประชาชนไม่จำเป็นต้องเชื่อภาคราชการทั้งหมด สามารถเฝ้าระวังได้ด้วยตนเอง โดยติดตามสถานการณ์น้ำ เตรียมการป้องกันบ้านเรือนขั้นต้นก่อนอพยพ รวมถึงเรื่องระบบไฟฟ้าในสถานที่จำเป็น เช่น โรงพยาบาล
รองศาสตราจารย์ ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า โอกาสเกิดน้ำท่วมแบบปี 2554 น้อยกว่าร้อยละ 10-20 ส่วนลุ่มน้ำภาคตันออกเฉียงเหนือมีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมาร้อยละ 20 - 40 ลุ่มน้ำตะวันออก มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมาร้อยละ 30 - 40 ลุ่มน้ำภาคใต้ มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำท่วมาร้อยละ 50 - 60 โดยแนวโน้มที่จะเกิดฝนตกหนักจะอยู่ใน Zone ประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น แต่แนวโน้มในอนาคตเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามที่ IPCC คาดการณ์ และอาจมีความเสี่ยงจากปริมาณฝนตกหนักจากพายุจร จึงจำเป็นต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
ดร.ชลัมภ์ อุ่นอารีย์ นักอุตุนิยมวิทยาชำนาญการ กองพัฒนาอุตุนิยมวิทยา กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า ในส่วนของอุตุนิยมวิทยา ร่องความกดอากาศต่ำแถบศูนย์สูตร (Intertropical Convergence Zone : ITCZ ) หรือร่องมรสุม (monsoon trough) เป็นตัวกำหนดปริมาณฝนที่พาดผ่านประเทศไทยเป็นหลัก และนอกจาก ITCZ แล้วยังมีสาเหตุที่ทำให้เกิดฝนเป็นบริเวณกว้างเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ พายุหมุนเขตร้อน ปรากฎการณ์เอลนีโญและลานีญา ปรากฏการณ์ Indian Ocean Dipole (IOD) ปรากฏการณ์ Madden-Julian Oscillation (MJO) และปัจจัยด้าน climate change ทำให้เกิดร่องมรสุมที่ผิดไปจากปกติ ทำให้เราคาดการณ์ปริมาณฝนได้ยาก จึงมีความจำเป็นต้องศึกษาหาปัจจัยที่มีผลให้เกิดความผิดปกติร่องมรสุมเพิ่มเติม เช่น ปัจจัยที่ทำให้เกิดการสวิงของร่องมรสุม ทั้งด้านอุณหภูมิผิวน้ำทะเล ปัจจัยในการเกิด ENSO และ IOD ส่งผลต่อปริมาณฝนของประเทศไทย
ดร.สุทัศน์ วีสกุล ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) กล่าวว่า 8 เดือนที่ผ่านมาประเทศไทยมีปริมาณฝนน้อยกว่าระดับปกติประมาณร้อยละ 5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีปริมาณฝนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยระดับปกติถึงร้อยละ 13 อีกทั้งพื้นที่เหนือเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิตติ์ยังมีฝนตกน้อยมากทำให้ปริมาณน้ำใช้การของ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยามีน้อยมาก การคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้าจากดัชนีสมุทรศาสตร์โอกาสที่จะเกิดอุทกภัยเหมือนปี 2564 จึงเป็นไปได้ยาก
เมื่อเปรียบเทียบ ปริมาณฝนของปี 2554 ปี 2560 และ ปี 2564 พบว่า ปริมาณฝนในปี 2564 นี้ต่างจาก 2 ปี ดังกล่าวมากเกือบทั่วทั้งประเทศ และโดยเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่มีฝนในพื้นที่เหนือเขื่อนน้อยมาก ทำให้น้ำไหลลงเขื่อนขณะนี้ น้อยกว่าทั้ง 2 ปีดังกล่าว โดยเฉพาะบริเวณเหนือเขื่อนภูมิพล และเหนือเขื่อนสิริกิติ์ นั้น มีปริมาณฝนตกรวมกัน ไม่ถึง 50 มิลลิเมตร ซึ่งเดือน ต.ค.จะสิ้นสุดฤดูฝนของประเทศไทยตอนบนแล้ว ยังต้องการน้ำไหลลงเขื่อนอีกมาก
ทั้งนี้จากการคาดการณ์ฝนเดือนกันยายน ถึง ตุลาคม นี้ ประเทศไทยตอนบนจะมีปริมาณน้ำฝนมากกว่าค่าปกติ และน่าจะมีพายุอย่างน้อย 1 ลูกเคลื่อนที่เข้ามาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอ่อนกำลังในภาคเหนือ พื้นที่ฝนตกส่วนใหญ่จะตกในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือตอนล่าง และจะตกบริเวณท้ายเขื่อนมากกว่า ทำให้ไม่มีน้ำไหลลงในเขื่อนมากนัก ซึ่งตอนนี้พบสัญญาณว่า จะมีพายุก่อตัว ที่จะเคลื่อนตัวเข้ามาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงปลายเดือนกันยายน จะส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลด้วย อาจจะเกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ ขณะที่ในเดือน พฤศจิกายน ก็คาดว่าจะมีฝนตกมากกว่าค่าปกติในพื้นที่ภาคใต้ อาจมีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงและหย่อมความกดอากาศต่ำเคลื่อนตัวเข้ามายังอ่าวไทยได้ ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักจนเกิดอุทกภัยได้จึงควรเตรียมพร้อมรับมือ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์ศักดิ์ สุทธินนท์ กล่าวว่า จากการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมโดยใช้ข้อมูลจาก สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ย้อนหลัง 3 ปี พบว่าปริมาณน้ำในเขื่อนลุ่มน้ำเจ้าพระยาค่อนข้างน้อย หากจะประเมินความเสียหาย โดยยกตัวอย่าง ข้าว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจ ถ้าไม่มีพายุมาช่วยเติมฝนเหนือเขื่อนจะมีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำช่วงต้นปี 2565 แต่หากฝนตกใต้เขื่อนอาจทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมในบางพื้นที่ กรมชลประทาน
ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านที่ปรึกษาอุทกวิทยา 1 กล่าวว่า กรมชลประทาน เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มศักยภาพของพื้นที่ เตรียมพร้อมด้านเครื่องจักรเครื่องมือ และเจ้าหน้าที่ ประจำจุดเสี่ยงพร้อมปฏิบัติงานได้ตลอดเวลา ที่สำคัญได้ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานระดับจังหวัดในลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด ตามนโยบายของรัฐบาล
ทั้งนี้ สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา จะควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ หากมีแนวโน้มว่าจะมีปริมาณน้ำหลากเพิ่มขึ้น
ด้าน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่าในครั้งนี้ วช.ได้รับมอบให้จัดงานเสวนา
เรื่อง “2564 จะมีน้ำท่วมใหญ่หรือไม่ เตรียมพร้อมรับมืออย่างไร" ในครั้งนี้ขึ้น เนื่องจากปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในหลาย ๆ ด้าน อาทิ อุณหภูมิเพิ่มขึ้น ปริมาณและรูปแบบการกระจายตัวของฝนเปลี่ยนไป ฤดูกาลขยับเลื่อน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ดังนั้น สังคมและชุมชนต้องรับรู้และเข้าใจ พร้อมปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เพื่อลดผลกระทบและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะประเด็น “น้ำท่วม น้ำแล้ง” เป็นหนึ่งในปัญหาวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนที่เผชิญกันมาบ่อยครั้ง อีกมุมก็สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีกระแสข่าวออกมาว่า ปี 2564 นี้ ประเทศไทยจะต้องเจอกับฝนที่มากขึ้น โดยช่วงเดือนกรกฎาคม - กันยายน 2564 ฝนจะตกชุกหนาแน่น 60-80% ของพื้นที่กับมีฝนหนักในหลายพื้นที่ อีกด้วย