xs
xsm
sm
md
lg

ค้างคาว : สัตว์ที่กำลังร้ายยิ่งกว่ายุง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในอดีตกองทัพสหรัฐฯเคยใช้สัตว์หลายชนิดในการทำสงคราม เช่น ในสงครามอิรัก เมื่อปี 2003 กองทัพได้ใช้ปลาโลมาตรวจหาระเบิดใต้น้ำ และในสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อปี 1916 กองทัพฝรั่งเศสได้ใช้นกพิราบสื่อสาร (homing pigeon) นับพันตัวในการนำข้อมูลการรบที่เมือง Verdun ซึ่งถูกปิดล้อมไปให้พวกเดียวกัน เมื่อสงครามยุติ บรรดานกพิราบที่เสียชีวิตได้รับเหรียญ Legion d’Horneur จากรัฐบาลฝรั่งเศสเป็นการสดุดีความกล้าหาญและการเสียสละ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพอากาศอังกฤษได้ปล่อยร่มชูชีพที่มีกรงนกพิราบสื่อสารลงในบริเวณหลังกองทัพข้าศึก เพื่อให้ทหารอังกฤษได้ใช้นกนำข้อมูลข้าศึกกลับมารายงานให้นายทัพที่ London ทราบ

ในปี 1941 นักประดิษฐ์ชาวอเมริกันชื่อ Lytle Adams ได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ของสหรัฐฯ โดยได้เสนอแนะกองทัพอากาศสหรัฐให้ปล่อยค้างคาวจำนวนมากบินไปยังเมืองต่างๆ ของญี่ปุ่น โดยใช้สายป่านผูกระเบิดปิงปองติดตัวค้างคาว เมื่อค้างคาวบินไปทำรังตามบ้านเรือนของผู้คนในเมือง เวลาระเบิดทำงาน บ้านเรือนก็จะถูกไฟเผาจนราบเรียบ

แต่ระเบิดค้างคาว (bat bomb) ที่ว่านี้ไม่เวิร์ค เพราะค้างคาวเป็นสัตว์ที่ไม่มีใครสามารถสั่งให้ไปไหนมาไหนได้ นอกจากนี้การออกแบบระเบิดขนาดเล็ก ให้ค้างคาวที่ใหญ่เท่าหนูสามารถบรรทุกไปได้ ก็มิใช่เรื่องที่สามารถทำได้ง่าย ผลสุดท้ายคือ โครงการนี้ต้องล้มเลิก เพราะค้างคาวถูกระเบิดตายไปหลายพันตัว และอาคารทดลองของกองทัพถูกไฟเผาจนวอดวายไปหลายหลัง ดังนั้น ค้างคาวจึงยังไม่มีโอกาสได้รับใช้มนุษย์ในสงครามเหมือนนกพิราบหรือปลาโลมา

แต่ในปัจจุบันค้างคาวกำลังอำนวยประโยชน์ให้มนุษย์ในรูปแบบอื่น เช่นเป็นสัตว์ที่สามารถชี้แนะให้เรารู้จักป้องกันตัวจากการถูกโจมตีโดยไวรัสที่ร้ายแรงหลายชนิดได้ โดยเฉพาะค้างคาวกินผลไม้ (fruit bat) ที่พบในประเทศอียิปต์ ซึ่งค้างคาวชนิดนี้เป็นพาหะนำไวรัส Marburg มาสู่คน เวลาไวรัสอันตรายชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายคน 88% ของผู้ที่ได้รับเชื้อจะเสียชีวิต เพราะร่างกายจะตกเลือดจนตาย Marburg จึงเป็นไวรัสมหันตรายระดับ A ที่รุนแรงมาก

ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ แม้ไวรัสนี้จะทำให้คนแอฟริกันต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่เวลาไวรัสอยู่ในค้างคาว มันกลับไม่เป็นอะไรเลย นี่จึงเป็นประเด็นที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังสนใจว่า ค้างคาวกินผลไม้มีวิธีสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองรอดพ้นจากการถูกไวรัสโจมตีได้อย่างไร

ความสงสัยในประเด็นนี้ได้ชักนำให้ Thomas Kepler แห่งมหาวิทยาลัย Boston ในประเทศสหรัฐอเมริกากับนักวิจัยจากสถาบันวิจัยโรคติดต่อของกองทัพบกสหรัฐฯ (U. S. Army Medical Research Institute of Infectious Diseases) เริ่มศึกษาการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในตัวค้างคาวสายพันธุ์นี้ โดยได้ศึกษายีนทั้งหมด ของไวรัส Marburg เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับยีนทั้งหมดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดอื่นๆ เพื่อหายีนพิเศษที่โดดเด่นของมัน และได้พบยีน interferon ว่ามีขนาดใหญ่ผิดปกติ จึงสันนิษฐานว่า interferon มีบทบาทมากในการกระตุ้นเซลล์ต่างๆ ที่อยู่โดยรอบให้มาร่วมกันต่อต้านไวรัส Marburg

สำหรับบทบาทของไวรัส Marburg ที่ผู้ก่อการร้ายอาจนำไปใช้เป็นอาวุธสงครามชีวภาพนั้น ก็เป็นเรื่องน่าคิด เพราะเมื่อ 40 ปีก่อนนี้ Nikolai Ustinov แห่งกองทัพรัสเซียได้คิดจะใช้ไวรัส Marburg เป็นอาวุธสงคราม และได้พยายามฉีดไวรัสชนิดนี้เข้าในหนูตะเภา ซึ่งเป็นสัตว์ทดลองที่สถาบัน Vector Institute ซึ่งอยู่ใน Siberia แต่ Ustinov ประสบอุบัติเหตุเมื่อเข็มฉีดไวรัสได้แทงเข้าที่หัวแม่มือทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ทางการรัสเซียจึงนำศพของ Ustinov ไปศึกษาและประกาศให้ไวรัส Marburg เป็นไวรัสมฤตยูที่ผู้ก่อการร้ายสามารถนำไปใช้เป็นอาวุธชีวภาพได้ เหตุการณ์นี้ทำให้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Centre for Disease Control and Prevention) ของสหรัฐฯ ก็เห็นด้วยว่า ถ้าค้างคาวมีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำให้มันไม่เป็นโรค การรู้และการเข้าใจระบบภูมิคุ้มกันดังกล่าวก็น่าจะทำให้มนุษย์ปลอดภัยจากไวรัสร้ายได้เช่นกัน


ถึงวันนี้ไวรัสที่คนทั้งโลกกำลังสนใจมาก มิใช่ไวรัส Marburg แต่เป็นไวรัสโคโรนา ที่กำลังทำให้ผู้คนเสียชีวิตประมาณ 2.4 ล้านคนและติดเชื้อประมาณ 107.4 ล้านคน จึงกำลังสร้างความโกลาหลอลหม่านไปทั่วโลก งานวิจัยที่นักวิทยาศาสตร์กำลังสนใจทำอยู่ในปัจจุบัน นอกจากจะศึกษาธรรมชาติของเชื้อโรคและสร้างวัคซีนเพื่อป้องกันโรค COVID-19 แล้ว นักวิจัยยังต้องการจะรู้อีกว่า แหล่งกำเนิดของไวรัสชนิดนี้มาจากสัตว์ชนิดใด และการระบาดของไวรัสจากสัตว์ชนิดนั้นถ่ายทอดสู่คนได้อย่างไร เพราะถ้าเรารู้แหล่งกำเนิดและรู้เส้นทางการระบาดของไวรัสจากสัตว์สู่คนแล้ว การป้องกันที่ดีที่สุดก็จะเป็นไปได้

เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ปี 2020 ที่ผ่านมานี้ คณะนักวิจัยจีนจากมหาวิทยาลัย South China Agricultural University ได้วิเคราะห์จีโนมของสัตว์ชนิดต่าง ๆ ที่ต้องสงสัยว่าเป็นพานะนำไวรัสโคโรนามาสู่คน และได้ออกสื่อว่า ตัวลิ่น (pangolin) คือต้นเหตุ เพราะคนจีนชอบกินเนื้อลิ่น

ในบทความที่เผยแพร่ใน Biorxiv ของห้องปฏิบัติการ Cold Spring Harbor Laboratory ฉบับวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 บทความได้แสดงให้เห็นว่า ไวรัสโคโรนา ที่พบในลิ่นกับไวรัสโคโรนาที่พบในคนมีอะไรที่เหมือนกันมาก ตั้งแต่ 85.5 ถึง 92.4% ดังนั้นลิ่นจึงอาจเป็นพาหะนำไวรัสโคโรนามาสู่คนได้

แต่ Linfa Wang ซึ่งเป็นนักวิจัยด้านระบาดวิทยาระดับแนวหน้าคนหนึ่งของโลกจากสถาบัน Duke-National University of Singapore Medical School ไม่เห็นด้วย โดยอ้างว่าแม้โรค SARS (Severe Acute Respiratory Syndrome ) ซึ่งเป็นโรคทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลันและรุนแรงที่ได้เคยระบาดหนัก เมื่อปี 2002 ก็มีจีโนม เหมือนไวรัสโคโรนา ถึง 99.8% แต่ไวรัส SARS-CoV มาจากตัวชะมด มิได้มาจากลิ่น

ในอดีตเมื่อปี 2012 ที่เกิดการระบาดของโรค MERS (Middle East Respiratory Syndrome) ซึ่งเกิดจากไวรัส MERS-CoV อีกรูปแบบหนึ่ง ที่ได้ฆ่าคนจำนวนมากในประเทศ Saudi Arabia นักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบว่าโรค MERS เกิดจากไวรัส MERS-CoV ที่ทำให้ผู้ป่วยมีไข้สูง ไอและหายใจถี่ เพราะระบบหายใจกำลังล้มเหลว และได้พบว่า โรคนี้มาจากค้างคาวที่ชอบอาศัยอยู่ในโพรงกลวงของต้นไม้

เพราะค้างคาว คือพาหะที่นำไวรัสร้ายได้หลายชนิด องค์การอนามัยโลก World Health Organization (WHO) จึงระดมนักวิจัยจากทั่วโลก เพื่อค้นหาสัตว์ต้นเหตุที่นำไวรัส SARS-CoV-2 เข้าสู่ร่างกายคน

หลักฐานต่าง ๆ คือพาหะของเชื้อ SARS-CoV-2 แต่เส้นทางที่ไวรัสใช้ในการเดินทางเข้าสู่ร่างกายคนนั้น เป็นเรื่องที่ยังไม่ปรากฏหลักฐานชัด จึงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญนานาชาติทั้งจากประเทศจีน เยอรมนี อเมริกา ฯลฯ มาวิจัย โดยได้เริ่มการวิเคราะห์ที่สถาบันการวิจัยไวรัส (Wuhan Institute of Virology, WIV) ณ เมือง Wuhan ในจีน ซึ่งเป็นสถานที่ ที่ตรวจพบ เชื้อ SARS-CoV-2 เป็นครั้งแรก

บุคคลหนึ่งที่สนใจการค้นหาต้นเหตุคือ Marion Koopmans ซึ่งเป็นนักไวรัสวิทยาชาวเนเธอร์แลนด์ จาก Erasmus University Medical Centre ที่เมือง Rotterdam ซึ่งเคยได้ทดสอบหา antibody เพื่อต่อสู้โรค MERS ที่พบในอูฐ สำหรับกรณีโรค COVID-19 นั้น เธอได้ติดตามการแพร่ระบาดของไวรัส SARS-CoV-2 ในฟาร์มตัวมิงค์ (mink) และได้กล่าวว่า การระบาดของ SARS-CoV-2 คงมิใช่เป็นอุบัติเหตุที่ไวรัสได้เล็ดรอดออกจากห้องปฏิบัติการของสถาบันไวรัสวิทยา ณ เมือง Wuhan อย่างไม่ตั้งใจ

Linfa Wang เป็นบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านไวรัสอุบัติใหม่ ในช่วงเวลาที่ SARS-CoV-2 เริ่มระบาด เขากำลังปฏิบัติงานอยู่ที่ Institute of Virology (WIT) พอดี แต่ Wang ไม่เคยนึกเลยว่าจะมีการระบาดที่ร้ายแรงเช่นนี้ เพราะเมื่อ Wang ขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับบ้านที่ Singapore เขาต้องผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ถึง 3 ครั้ง แต่อีก 5 วันต่อมา คือในวันที่ 23 มกราคม ปี 2020 เขาก็ได้ข่าวว่าเมือง Wuhan ซึ่งมีประชากรประมาณ 11 ล้านคน ได้ถูกปิด และในเครื่องบินลำนั้น มีสตรีคนหนึ่งที่ได้รับเชื้อไวรัส แต่ตัวเขาเองปลอดเชื้อ

ปัจจุบัน Wang คือหัวหน้าโครงการโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (Emerging Infectious Diseases Program) ที่โรงเรียนแพทย์ Duke-NUS Medical School ซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ของรัฐบาล Singapore ซึ่งได้พัฒนาวิธีตรวจหา antibody สู้เชื้อ SARS-CoV-2 ในเลือด

ในความเห็นส่วนตัว Wang เชื่อว่าไวรัสโคโรนามาจากค้างคาว เพราะตลอดเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เขาได้ศึกษาไวรัสสายพันธ์ต่าง ๆ ที่มีค้างคาวเป็นพาหะ แล้วถูกถ่ายทอดสู่มนุษย์ ด้าน Marion Koopmans ก็ศรัทธาและเชื่อมั่นในความสามารถของ Wang ในฐานะเป็นผู้ให้กำเนิดวิทยาการสาขาภูมิคุ้มกันวิทยาในค้างคาว (bat immunology)

Wang เกิดที่เมือง Shanghai ในช่วงเวลาที่ประเทศจีนกำลังมีการปฏิรูปทางวัฒนธรรมอย่างขนานใหญ่ เขาเป็นคนที่สนใจวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เวลาได้ยินถ้อยแถลงของท่านประธาน Mao Zedong ทางวิทยุกระจายเสียง เขารู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจมากที่เสียงของ Mao สามารถเดินทางถึงเมือง Shanghai ได้ ความอยากรู้อยากเห็นในทำนองนี้ ทำให้ Wang สมัครเข้าเรียนวิศวกรรมไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัย East China Normal University แต่ถูกอาจารย์ให้ไปเรียนวิชาชีววิทยาแทน จึงรู้สึกท้อแท้ เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบพืชและไม่รักสัตว์ใด ๆ จากเดิมที่เคยใฝ่ฝันจะเป็นนายช่าง กลับต้องมาเรียนชีววิทยา


ตามปกติ Wang เป็นคนใฝ่รู้มาก จึงได้พยายามเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ด้วยการฟังรายการวิทยุของสถานี Voice of America ที่บรรยายเป็นภาษาอังกฤษ จนสามารถพูด ฟัง อ่าน และเขียนภาษาอังกฤษได้ดีมาก ในที่สุดก็สามารถสอบชิงทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ และได้เข้าศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย California วิทยาเขต Davis ในสาขาชีววิทยาโมเลกุล (molecular biology) จากนั้นได้ก็ได้ไปทำวิจัยที่ Monash Centre for Molecular Biology and Medicine ที่ประเทศออสเตรเลีย โดยทำวิจัยเรื่องโรคระบาดในสัตว์ และเริ่มมีชื่อเสียงจากการพบไวรัสสายพันธ์ใหม่ของโลก ซึ่งได้ระบาดหนักในชนบท Hendra ซึ่งอยู่นอกเมือง Brisbane ในประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี 1994 เพราะไวรัสชนิดนี้ได้ทำให้ม้า 14 ตัว ล้มตาย รวมทั้งคนเลี้ยงม้าด้วย Wang ได้ศึกษาจีโนมของไวรัส Hendra จนสามารถพัฒนาวัคซีนป้องกันม้าไม่ให้เป็นโรคชนิดนี้ได้ ในเวลาต่อมา Wang ก็ได้พบว่า ค้างคาวคือพาหะนำไวรัส Hendra

อีก 3 ปีต่อมา Wang ได้พบไวรัส Nipah ที่ระบาดในสุกรว่าไวรัสชนิดนี้สามารถถ่ายทอดสู่คนได้ และไวรัส Nipah มีค้างคาวเป็นพาหะอีก

ในอดีตที่องค์การอนามัยโลกจึงได้ประกาศค้นหาต้นเหตุโรค SARS ทีมนักวิทยาศาสตร์ 8 คน มี Wang เป็นบุคคลสำคัญและมีกรรมการท่านหนึ่ง คือ Hung Nguyen ซึ่งเป็นนักวิจัยชาวเวียดนาม ที่เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของสารอาหาร Hung Nguyen มาจาก International Livestock Research Institute ที่เมือง Nairobi ในประเทศไนจีเรีย ซึ่งจะวิเคราะห์ว่าเชื้อไวรัสได้แพร่ออกจากตลาดสดด้วยวิธีใด โดยอาศัยประสบการณ์ตรงจากการเคยขายอาหารทะเลในตลาดสด ที่เมือง Huanan และได้พบว่าเชื้อ salmonella ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหาร สามารถระบาดจากฟาร์มขนาดเล็ก จากโรงฆ่าสัตว์ และจากตลาดขายสัตว์ได้

ทีมวิจัยนี้ยังมี Peter Daszak ซึ่งเป็นประธานขององค์การวิจัย EcoHealth Alliance ที่ New York City ซึ่งได้ศึกษาไวรัสโคโรนามาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี และเป็นคนที่มีประสบการณ์ทำงานอย่างใกล้ชิดกับสถาบันไวรัสวิทยาแห่ง Wuhan และคราวนี้ได้มาเป็นคนสืบสวนการทำงานของสถาบันนี้อีก การ “ทับซ้อน” เช่นนี้ ทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายใจ แต่ Daszak ก็อ้างว่า งานทุกชิ้นที่เขาทำในจีน ทุกคนสามารถตรวจสอบความโปร่งใสได้ว่าปราศจากความลำเอียงหรือการมีอคติใด ๆ

สมาชิกอีกคนหนึ่งของทีม คือ Fabian Leendertz ซึ่งเป็นสัตวแพทย์ในสังกัดสถาบัน Koch ที่ Berlin ในประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องวิทยาการระบาดของโรค โดยในปี 2014 Leendertz เป็นบุคคลแรกที่ได้เดินทางไปที่หมู่บ้าน Meliandou ซึ่งตั้งอยู่ในแอฟริกาตะวันตก เมื่อได้รับรายงานการเสียชีวิตของเด็กวัย 2 ขวบ ด้วยโรค Ebola Leendertz จึงได้เดินทางไปสัมภาษณ์ชาวบ้านที่นั่นและเก็บสารตัวอย่างที่น่าสนใจ จนได้พบว่า ก่อนที่ Leendertz จะเดินทางถึง บริเวณนั้นไม่เคยมีใครได้รับเชื้อไวรัส Ebola เลย จนกระทั่ง เมื่อชาวบ้านตัดต้นไม้และเผาตอไม้ ทำให้ลำต้นกลวงเป็นโพรงที่มีขนาดใหญ่พอให้เด็ก ๆ สามารถเข้าไปซ่อนตัวได้ ในเวลาเดียวกันโพรงก็เป็นสถานที่ให้ค้างคาวเข้าไปอาศัยอยู่ด้วยได้ ดังนั้นเชื้อ Ebola จากค้างคาวจึงได้แพร่เข้าสู่ตัวเด็ก จนทำให้เสียชีวิตในที่สุด

ทีมวิจัยนี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูง โดยมีนักวิจัยชาย 8 คน จาก 10 คน นักวิจัยส่วนใหญ่มาจากยุโรป และไม่มีใครมาจากแอฟริกาหรืออเมริกาใต้

ทีมวิจัยนี้ ได้ลงพื้นที่ปฏิบัติการในจีน ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม ค.ศ.2021 เพื่อตอบคำถามว่า

1.ค้างคาวชนิดใด คือ พาหะนำเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่ทำให้เกิดการระบาดสู่มนุษย์อย่างขนานใหญ่ไปทั่วโลก
2.เชื้อโรคได้เล็ดลอดจากห้องปฏิบัติการ WIV จริงหรือไม่
3.มีสัตว์ตัวกลางที่รับเชื้อจากค้างคาว จริงหรือไม่
4.เชื้อไวรัสติดมากับอาหารแช่เข็งหรือไม่

ทั้ง ๆ ที่กรรมการ 7 คน ในทีมไม่ปักใจเชื่อว่า ค้างคาวคือพาหะ แต่ Wang มีลางสังหรณ์ว่า ตัวการคือค้างคาว และได้บอกกับ Shi Zhengli แห่งสถาบัน WIV ว่า เขาเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ เพราะก่อนนั้น Wang กับ Zhengli ได้เคยพบว่า ค้างคาวเกือกม้า (horseshoe bat ) คือพาหะนำไวรัส SARS-CoV ของโรค SARS


ถึงวันนี้ Wang กำลังค้นหาต้นเหตุการระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งจำเป็นต้องใช้สัตว์ทดลองและคนนับหมื่น ในการวิเคราะห์อาการเริ่มต้นของคนที่เป็นโรค โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า virus neutralization assay ที่ใช้เซลล์มนุษย์ร่วมกับไวรัสเชื้อเป็นที่อยู่ในเลือด เพื่อดูว่า เลือดมี antibody ที่ทำให้ไวรัสสามารถยึดติดเซลล์ได้หรือไม่

เพราะการใช้ไวรัสเชื้อเป็น ในการวิเคราะห์เป็นเรื่องที่ต้องการความปลอดภัยระดับสุดยอด ดังนั้นห้องปฏิบัติการจึงต้องมีอุปกรณ์ทดลองที่มีมูลค่ามหาศาล และนักวิทยาศาสตร์ทุกคนในห้องปฏิบัติการก็ตระหนักดีว่า คงจะต้องใช้เวลานานกว่าจะรู้คำตอบ แต่วิธีนี้ก็ยังดีกว่าวิธีอื่น เช่น ELISA (ซึ่งเป็นเทคนิคแบบ enzyme-linked immunosorbent assay) ที่ต้องใช้สัตว์หลายชนิด เพื่อทดสอบ เช่น ตัวแรคคูน ค้างคาวสายพันธุ์ต่าง ๆ ชะมด และลิ่น แต่ถ้าใช้เทคนิคนี้ ทีมวิจัยก็คิดว่า กว่าจะพบสัตว์ต้นเหตุ คนหาก็จะหมดแรงก่อน

เทคนิคของ Wang ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร Nature Biotechnology ฉบับเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2020 และบริษัท Genscript Biotech ได้นำเทคนิคไปพัฒนาต่อ โดยใช้โปรตีนที่ได้มาจากเซลล์มนุษย์ และจากไวรัสเชื้อตาย โดยไม่ใช้ไวรัสเชื้อเป็น ดังนั้นการวิเคราะห์ จึงปลอดภัยขึ้น

Wang คาดหวังว่าการทดสอบที่เขาคิดขึ้นนี้ สามารถตรวจอาการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ในคนและสัตว์ได้ โดยเฉพาะในชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และใช้เวลาไม่นาน เพื่อจะได้รู้ชัดว่า เชื้อไวรัสมาจากสัตว์ตัวกลางชนิดใด

ประเด็นที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับ Wang คือ จากนิสิตที่ตั้งใจจะเป็นวิศวกรไฟฟ้า แต่ถูกอาจารย์กำหนดให้เรียนชีววิทยา ทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบ สิ่งมีชีวิตเลย และกลับมาสนใจค้างคาว จนได้พบเชื้อไวรัสชนิดใหม่หลายสายพันธ์ ทำให้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก กระนั้น Wang ก็ไม่เคยคิดจะมีสัตว์เลี้ยงใดๆในบ้าน

คำถามที่ยังเป็นปริศนาต่อไป คือ เหตุใดค้างคาวจึงเป็นพาหะไวรัสที่ร้ายแรงได้แทบทุกชนิด ทั้งๆ ที่มันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดเดียวเท่านั้นที่บินได้ และต้องใช้พลังงานมากในการบินทุกครั้ง ซึ่งอาจทำให้ DNA ของมันเป็นอันตราย แต่ค้างคาวก็ไม่เป็นโรค

Wang ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า เวลา DNA ของค้างคาวถูกทำร้าย ค้างคาวอาจจะปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในตัวมันให้เข้ากับ DNA ถูกทำลายไป ผลสุดท้ายคือ ค้างคาวสามารถอยู่กับไวรัสในปริมาณน้อยได้อย่างปลอดภัย

ด้าน Koopmans รู้สึกไม่มั่นใจในความเห็นนี้นัก และคิดว่าสภาพแวดล้อมน่าจะมีบทบาทมากในการเอื้ออำนวยให้ค้างคาวมีความสามารถเป็นพาหะเช่นนี้ได้ เพราะบริเวณหาอาหารของค้างคาวค่อนข้างกว้างไกลยิ่งกว่าสัตว์อื่น จึงมีโอกาสได้รับไวรัสชนิดต่าง ๆ เข้าตัวได้มากกว่าสัตว์ทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นค้างคาวยังเป็นสัตว์ที่นิยมอยู่กันเป็นฝูงในที่คับแคบ เช่น ในถ้ำ ดังนั้นไวรัสจึงสามารถแพร่กระจายไปสู่กันและกันได้มาก จะอย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ยอมรับว่า ค้างคาวคือสัตว์ที่เป็นพาหะนำไวรัสร้ายแรงนานาชนิดได้จริง

เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ Peter Ben Embark ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมสืบสวนของ WHO ได้ออกแถลงการณ์ว่า โรค COVID-19 มาจากสัตว์ เช่น ค้างคาวหรือลิ่น แล้วแพร่สู่คน และโรคมิได้เล็ดลอดออกจากห้องปฏิบัติการ WIV อย่างเจตนา โดยใครบางคน WHO ได้ข้อสรุปนี้ จากการได้ไปสัมภาษณ์และตรวจสอบห้องปฏิบัติการที่ Wuhan โรงพยาบาลในเมือง ตลาดอาหารทะเล Huanan ตลาดสด ฯลฯ

แต่ยังไม่ทราบเส้นทางระบาดจากสัตว์ที่มีเชื้อไปสู่สัตว์อื่น ๆ อีกทั้งยังไม่ได้ศึกษาวิวัฒนาการของเชื้อ

จึงต้องใช้เวลาอีกนาน ในการตอบคำถามทั้งหมด และ WHO ได้กล่าวเสริมว่า ในการค้นหาต้นกำเนิดของโรค SARS คณะวิจัยต้องใช้เวลากว่า 10 ปี จึงจะรู้คำตอบ ส่วนต้นกำเนิดของเชื้อ EBOLA ก็ยังไม่มีสรุปฟันธง

อ่านเพิ่มเติมจาก Thinking with Animals; New Perspectives on Anthropomorphism โดย Lorraine Daston และ Gregg Mitman จัดพิมพ์โดย Columbia University Press ปี 2006


สุทัศน์ ยกส้าน

ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์
กำลังโหลดความคิดเห็น