โลกปัจจุบันมีคนสูบกัญชาเพื่อความเพลิดเพลินเจริญใจประมาณ 150 ล้านคน กัญชาจึงเป็นพืชสำราญที่ผู้คนนิยมเสพมากที่สุดชนิดหนึ่ง และเป็นที่ชื่นชมมาตั้งแต่สมัยโบราณ การสืบค้นต้นกำเนิดของการชื่นชอบกัญชาจึงเป็นที่สนใจในหลายประเด็น เช่น มนุษย์เริ่มปลูกและใช้กัญชาเป็นยารักษาโรค สกัดน้ำมันเป็นอาหาร ใช้ใยทอผ้า และทำเชือกครั้งแรกเมื่อใด และ ณ ที่ใด แล้วความนิยมกัญชาได้แพร่กระจายไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ของโลกอย่างไร
ในการตอบคำถามเหล่านี้ นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์จำต้องมีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมเพื่อยืนยันการอ้าง นอกเหนือจากการได้ฟังคำบอกเล่า หรืออ่านบันทึก จนได้พบว่าเมื่อมนุษย์รู้จักกัญชา และตระหนักในคุณประโยชน์ที่มากมหาศาลของมัน จึงได้นำกัญชาไปปลูกในดินแดนใหม่ที่ตนได้เดินทางไปถึง
นักโบราณคดีได้พบหลักฐานว่า เมื่อ 5,000 ปีก่อน คนจีนเรียกกัญชาว่า ta-ma และนิยมปลูกใกล้บ้าน ตามพระราชบัญชาในจักรพรรดิ Shen Nung เพื่อใช้เส้นใยของต้นกัญชาทำเชือกและทอผ้า และที่บริเวณเชิงภูเขา Altai ในเอเชียกลางก็มีการพบหลักฐานเป็นผ้าที่ทอด้วยใยต้นกัญชา
หมอชาวบ้านในอินเดียเมื่อ 3,000 ปีก่อนให้คนไข้สูดดมกัญชาเพื่อลดความเจ็บปวด
ในประเทศกรีซเมื่อ 2,500 ปีก่อน นักประวัติศาสตร์ Herodotus ได้บรรยายว่า ชน Scythian ที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในเอเชียกลาง นิยมปลูกกัญชาเพื่อนำใยไปทอผ้า และได้นำต้นกัญชาไปปลูกในกรีซกับ Sicily ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอิตาลีเพื่อใช้ใยทำเชือก และทอเป็นผ้าใบเรือ และเมื่อหนึ่งศตวรรษก่อนคริสตกาล นักเขียนชาวโรมันชื่อ Lucilius ก็ได้เคยเขียนบันทึกเกี่ยวกับกัญชา จนกระทั่งคริสตศักราชแรก นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันคือผู้เฒ่า Pliny ก็ได้เขียนเกี่ยวกับวิธีการเตรียมเส้นใย และเกณฑ์การแบ่งคุณภาพของใยที่จะนำไปใช้ในการทำเชือก
ด้านชน Saxon และ Norman ที่โดยอาศัยอยู่บนเกาะอังกฤษเมื่อ ค.ศ.1100 ก็นิยมทำไร่กัญชา ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้า Henry ที่ 8 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อังกฤษมีกองทัพเรือยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พระองค์ทรงสนับสนุนการนำกัญชาไปปลูกในอเมริกา และทรงส่งต้นกัญชาไปปลูกที่ Port Royal ในแคนาดาด้วย ในปี 1606 การปลูกกัญชาได้เกิดเป็นครั้งแรกที่รัฐ Virginia และไร่กัญชาในรัฐ Kentucky สามารถผลิตเส้นใยที่ใช้ทอผ้าได้ในปริมาณมากพอสำหรับคนอเมริกันทุกคนในสมัยก่อนที่จะเกิดสงครามกลางเมือง
ที่หลุมศพของชาวไวกิงในนอร์เวย์และ Iceland ก็มีหลักฐานที่แสดงว่า ใบเรือและเสื้อผ้าที่ไวกิงใช้ในการดำรงชีพล้วนทอมาจากใยต้นกัญชา
นอกจากใยจะเป็นประโยชน์แล้ว เมล็ดกัญชาที่ย่างไฟจนสุกก็สามารถนำไปเป็นอาหารรสดีได้ ในหลุมฝังศพอายุ 2,500 ปีที่ Berlin ประเทศเยอรมนีมีเมล็ดกัญชาที่ลูกหลานตั้งใจจะให้ผู้ตายได้ใช้บริโภคในภพหน้า คนอเมริกาในยุคก่อร่างสร้างประเทศใช้เมล็ดกัญชาเป็นอาหารสำหรับนกและไก่ ชาวรัสเซียก็นิยมใช้น้ำมันสีเขียวอ่อน-เหลืองที่สกัดได้จากเมล็ดกัญชาเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับตะเกียง
แม้จะมีคุณประโยชน์มากมายดังกล่าวแล้ว แต่ประโยชน์ที่มากที่สุดของกัญชาคือการใช้ในการแพทย์
ในยุคจักรพรรดิ Shen Nung เมื่อ 5,000 ปีก่อน พระองค์ทรงโปรดให้แพทย์หลวง Hoa-gho ใช้กัญชารักษามาลาเรีย แก้อาการท้องผูก ไขข้ออักเสบ ใจลอย เหน็บชา และอาการปวดประจำเดือนสตรี ตำรายาจีนยังกล่าวถึงการใช้ยางกัญชาปนในเหล้าองุ่นให้คนบาดเจ็บดื่มเพื่อลดความเจ็บปวดอันเนื่องมาจากการถูกผ่าตัด
ตำนานยาของชาวอินเดียในสมัยโบราณได้กล่าวถึงกัญชาว่าเป็นของขวัญอันประเสริฐที่เทพยดาประทานให้มนุษย์เพื่อลดไข้ หลับสบาย รักษาอาการท้องร่วง เพิ่มความหิว ทำให้มีอายุยืน มีสติปัญญาเฉียบแหลม และสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ คนอินเดียโบราณจึงนิยมใช้กัญชาในพิธีกรรมทางศาสนา เพราะการสูดดมควันกัญชาจะทำให้คนสูดมีจิตใจปลอดโปร่งและเป็นสุข ตำราแพทย์ Sushruta ของอินเดียยังได้กล่าวถึงสรรพคุณของกัญชาว่า ใช้รักษาโรคจมูกอักเสบ ท้องร่วง และโรคเรื้อน ได้ตำรา Bhavaprakasha ซึ่งได้รับการเขียนขึ้นเมื่อประมาณ ค.ศ.1600 ได้กล่าวถึงสรรพคุณของกัญชาว่า ช่วยย่อยอาหาร เพิ่มพลังเสียง ลดรังแค รักษาอาการปวดศีรษะ โรคนอนไม่หลับ โรคสตรี ไอ ฯลฯ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า หมออินเดียโบราณใช้กัญชารักษาทุกโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคมาลาเรีย โรคท้องร่วง และโรคเขตร้อนต่างๆ รวมถึงรักษาบาดแผลที่เกิดจากการถูกงูกัด และเวลาสตรีท้องแก่ที่ทารกใกล้ครบกำหนดจะคลอด หมอจะให้ดมควันกัญชาเพื่อลดความเจ็บปวดของเธอด้วย
ในวารสาร Science Advance ฉบับต้นเดือนมิถุนายน ปี 2019 นี้ Yang Yimin กับ Ren Meng จากสถาบัน Chinese Academy of Sciences ที่กรุงปักกิ่งได้รายงานการพบหลักฐานว่า ที่สุสาน Jirzankal ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ภูเขา Pamir ที่สูง 3,000 เมตร คนที่มางานพิธีฝังศพมักจะมีการเผากัญชาเพื่อให้เทพยดาฟ้าดินและวิญญาณของผู้ตายได้สูดดมกลิ่น เพื่อให้จิตใจเบิกบาน และประเพณีนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 ปีก่อนในแถบเอเชียกลาง ซึ่งปัจจุบันคือประเทศ Tajikistan ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศจีน
โดยนักวิจัยทั้งสองได้ใช้เทคนิคการวิเคราะห์หาองค์ประกอบทางเคมีของเถ้ากัญชาที่ได้หลังการเผา และได้ประเมินฤทธิ์ทางประสาทของสารเคมีที่พบในเถ้า แล้วใช้ข้อมูลนี้ค้นหาเส้นทางการแพร่กระจายของกัญชาบนเส้นทางสายไหมจากจีนไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก
ความจริงกัญชาเป็นพืชที่ได้อุบัติบนโลกตั้งแต่เมื่อ 28 ล้านปีก่อน ในบริเวณที่อยู่ทางทิศตะวันออกของที่ราบสูงทิเบต ต่อมานักวิจัยได้วัดอายุของละอองเกสรดอกกัญชา ที่เกษตรกรชาวจีนได้ปลูกเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อน เพื่อใช้ใยทำเชือก และทอผ้า แต่การจะรู้ว่ามนุษย์เริ่มใช้กัญชาเป็นสารควบคุมอารมณ์และจิตใจเป็นครั้งแรกเมื่อใดนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้การวิจัยในอดีตจะพบว่าคนจีนนิยมสูบกัญชา เมื่อ 5,000 ปีก่อนก็ตาม เพราะนักวิจัยได้พบว่า กัญชานั้นมีความเข้มข้นของสาร tetrahydrocannabinol (THC) ซึ่งมีฤทธิ์ในการควบคุมอารมณ์ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นการพบสาร THC ในปริมาณน้อยในกัญชาที่นำมาวิเคราะห์ จึงแสดงว่า คนจีนในสมัยนั้นยังไม่ได้ใช้กัญชาเป็นสารสำราญ
ทว่าซากกัญชาที่พบบนภูเขา Pamir กลับมีความเข้มข้นของสาร THC มาก เพราะในบริเวณที่พบซากยังมีกระดูก จานไม้ ถ้วย พิณ และเตาเผาซึ่งทำด้วยไม้ จากรูปร่างและลวดลายที่ปรากฏบนสิ่งที่พบแสดงให้รู้ว่า ชนที่ทำพิธีกรรมเผาศพเป็นชนชาว Sogdian ที่เคยตั้งถิ่นฐานอยู่ทางทิศตะวันตกของจีน และอยู่ติดกับประเทศ Tajikistan ที่ผู้คนนับถือศาสนาเปอร์เซียนิกาย Zoroastrianism อีกทั้งชอบสูบกัญชา
ที่บริเวณสุสาน Jirzankal ยังมีการพบลูกปัดแก้ว ซึ่งเป็นอาภรณ์ประดับของชาวเอเชียตะวันตก และผ้าไหมจากจีน ซึ่งเป็นการยืนยันอีกว่า ได้มีการทำธุรกิจค้าขายเกิดขึ้นระหว่างชาว Sogdian กับชาวจีน การวิเคราะห์กระดูก 34 ชิ้นในสุสานยังแสดงให้เห็นว่า 1 ใน 3 ของกระดูกที่พบ เป็นของคนที่มาจากพื้นที่อื่น ซึ่งได้อพยพมาที่นั่น และศพถูกนำไปฝังเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล โดยชิ้นส่วนของเตาเผาที่ทำด้วยไม้ได้ถูกเลื่อยออกไปเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปบดเป็นผง เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ ด้วยอุปกรณ์ gas chromatography กับ mass spectrometry เพื่อหาองค์ประกอบทางเคมี เช่น THC ในเถ้าที่เหลืออยู่
นักวิจัยทั้งสองยังได้พบอีกว่า เถ้าพืชที่ใช้ในการวิเคราะห์มีองค์ประกอบของ THC ในปริมาณมากกว่ากัญชาที่พบในป่า แต่น้อยกว่ากัญชาปัจจุบัน จึงได้ข้อสรุปว่า การเผากัญชาได้เกิดขึ้นในเตาที่คับแคบ เพื่อให้ผู้ที่มาในงานศพได้สูดดมควันที่มี THC เข้มข้นอย่างเต็มที่ นี่เป็นการพบครั้งแรกว่า คนจีนโบราณใช้กัญชาในการทำให้จิตใจสบาย
ความสูงของสถานที่เป็นสุสานอาจทำให้กัญชาที่ใช้เผามีความเข้มข้นของ THC ค่อนข้างมากได้ และสำหรับประเด็นที่ควันกัญชาสามารถทำให้จิตใจปลอดโปร่งนั้น นักวิจัยคนอื่นตั้งได้ข้อสังเกตว่า ควันกัญชายังอาจช่วยทำให้กลิ่นเน่าของศพลดความรุนแรงได้ ดังนั้น การเผากัญชาจึงอาจไม่ใช่เพียงเพื่อทำให้จิตใจคนสูดดมสบายเท่านั้น แต่ยังทำให้อากาศในบริเวณนั้นคลายความเหม็นอับได้ด้วย
นักวิจัยทั้งสองยังได้กล่าวเสริมว่า การพบเครื่องใช้ที่มีราคาแพงยังแสดงว่า มีแต่คนจีนชั้นสูงเท่านั้นที่มีโอกาสสูบกัญชา ข้อมูลยังแสดงอีกว่าการสูบกัญชาได้แพร่หลายจากจีนไปสู่อิหร่านตามเส้นทางสายไหม เหมือนดังที่ Herodotus ได้เขียนไว้ตั้งแต่ 440 ปีก่อนคริสตกาลว่า นักเร่ร่อนพเนจรในทะเลทรายชาว Scythian ที่เดินทางจาก Siberia ไปยุโรป มักสร้างเต็นท์และเผากัญชาเพื่อสูดดมควันให้สบายใจ และนักโบราณคดีชื่อ Andrei Belinski ก็ได้พบเมื่อปี 2013 ว่าในหลุมฝังศพอายุ 2,400 ปีของชาว Scythian มีภาชนะทองคำที่มีเถ้ากัญชาและฝิ่นอยู่ภายใน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนที่มีฐานะดีเท่านั้นจึงจะมีโอกาสได้สูดดมควัน “วิเศษ”
เส้นทางสายไหมจึงมิใช่เป็นเพียงเส้นทางค้าขายเครื่องเทศและเครื่องปั้นดินเผา อาหารและแลกเปลี่ยนความคิดเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นเส้นทางการค้าขายกัญชาเป็นสารเสพติด เพื่อให้คนธรรมดาสามารถรู้สึกเสมือนได้ขึ้นสวรรค์ด้วย
อ่านเพิ่มเติมจาก “Mountain high: Oldest clear signs of pot use” โดย Andrew Lawler ในวารสาร Science ฉบับวันที่ 14 มิถุนายน 2019
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์