นาซาเพิ่งฉลอง 50 ปีภารกิจส่งมนุษย์ไปลงดวงจันทร์อย่างยิ่งใหญ่ แต่ท่ามกลางความยินดีและภาคภูมิในความสำเร็จดังกล่าว ก็มีคนอีกจำนวนนับล้านไม่เชื่อว่าสหรัฐฯ เคยส่งคนไปดวงจันทร์จริง
ลูกอะพอลโล 11 (Apollo 11) 3 คน คือ นีล อาร์มสตรอง (Neil Armstrong), บัซ อัลดริน (Bauzz Aldrin) และไมเคิล คอลลินส์ (Michael Collins) มนุษย์อวกาศขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) เดินทางออกจากโลกเมื่อ 16 ก.ค.1969 จากฐานปล่อยจรวดในศูนย์อวกาศเคนเนดี (Kennedy Space Center) ฟลอริดา สหรัฐฯ
ถึงวันที่ 20 ก.ค. หลังทะยานออกจากโลกด้วยจรวดแซทเทิร์น 5 (Saturn 5) และเดินทางต่อไปด้วยโมดูลโคลัมเบีย (Columbia) ที่บังคับโดยคอลลินส์นั้น อาร์มสตรองและอัลดริน ก็นั่งโมดูลอีเกิล (Eagle) เพื่อลงไปสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ และกลับมาถึงโลกในวันที่ 24 ก.ค. ซึ่งตลอดภารกิจในโครงการอะพอลโลมีมนุษย์ลงไปสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ 12 คน และยังมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบันเพียง 4 คน
ทว่า ความจริงไหนจะน่าเจ็บปวดสำหรับมนุษย์อวกาศ 4 คนที่เหลือมากกว่ากัน ระหว่าง ไม่มีใครเห็นความสำคัญของภารกิจของพวกเขาเมื่อครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา หรือมีคนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าพวกเขาไม่เคยลงเหยียบดวงจันทร์
ทั้งนี้ รายงานพิเศษจากเอเอฟพีได้ไล่เรียงว่า ทฤษฎีสมคบคิดว่าสหรัฐฯ ไม่เคยส่งคนไปลงดวงจันทร์ได้จริงๆ นั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยระบุว่า ต้นเหตุมาจากสิ่งที่น่าจะเรียกว่าข่าวลวง (fake news) ก่อนที่เราจะรู้จักคำว่าข่าวลวงในยุคนี้เสียอีก ซึ่งปัจจุบันมีคนหลายล้านคนที่เชื่อว่าไม่มีมนุษย์คนไหนเคยเดินบนดวงจันทร์ และภาพถ่ายที่นาซาเผยแพร่เมื่อเดือน ก.ค.1969 ก็ถ่ายทำที่ห้องถ่ายทำของฮอลลิวูด
ผู้ไม่เชื่อว่ามนุษย์ไปลงบนดวงจันทร์จริงยังอุทิศตัวเพื่อพิสูจน์ว่า การลงจอดบนดวงจันทร์นั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง หรือแม้แต่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับปฏิบัติการอะพอลโล 11 ตลอดภารกิจ บ้างก็อ้างว่านาซาไม่มีเทคโนโลยีลงจอดดวงจันทร์ หรือถ้าหากมีจริงก็คงไม่ได้ปฏิบัติการโดยมนุษย์ เพราะเชื่อว่ามนุษย์จะถูกรังสีคอสมิกย่างทั้งเป็น บ้างก็ว่าเรื่องนี้อาจมีมนุษย์ต่างดาวมาเกี่ยวข้องและมนุษย์อวกาศพบอารยธรรมมนุษย์ต่างดาวแต่ปกปิดไว้
ในบรรดาทฤษฎีสมคบคิดเกือบทั้งหมดนั้น พุ่งเป้าไปที่ความผิดปกติของภาพและวิดีโอที่ไม่ละเอียดที่นาซาส่งกลับมายังโลก อย่างเช่นเงาของวัตถุในวิดีโอ หรือบางภาพไม่มีดาวปรากฏ ซึ่งทฤษฎีเหล่านี้นักวิทยาศาสตร์ได้หาหลักฐานมาหักล้างนานแล้ว
ทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ก็ยังคงอยู่โดยไม่สนใจหลักฐานการไปลงดวงจันทร์ที่พิสูจน์โดยยานโคจรลูนาร์ออร์บิเตอร์ (Lunar Orbiter) เมื่อปี ค.ศ.2009 ซึ่งบันทึกภาพที่เผยให้เห็นชิ้นส่วนโมดูลจากปฏิบัติการอะพอลโล 11, 14 , 15, 16 และ 17 ที่ยังคงค้างอยู่บนพื้นผิวดวงจันทร์
ในปี ค.ศ.1969 เมื่อโมดูลดวงจันทร์ของอะพอลโล 11 ลงจอดบริเวณทะเลแห่งความสงบ (Sea of Tranquility) บนดวงจันทร์ มีชาวอเมริกันไม่ถึง 1 ใน 20 ที่เคลือบแคลงในสิ่งที่พวกเขาได้ชมจากการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ และเมื่อเข้าสู่ศตวรรษใหม่มีผลสำรวจจากโพลกัลลัป (Gallup poll) พบว่ามีผู้สงสัยในปฏิบัติการส่งคนไปดวงจันทร์เพียง 6% ของประชากรสหรัฐฯ ทั้งหมด
ในทางกลับกันมีชาวรัสเซียซึ่งเป็นอดีตศัตรูของสหรัฐฯ ในยุคสงครามเย็น (Cold War) มากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากร ที่ยังปฏิเสธจะเชื่อว่า ชาวอเมริกันไปถึงดวงจันทร์ก่อน แต่นั่นไม่น่าแปลกใจเท่ากับชาวอังกฤษซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ นั้น กลับไม่เชื่อว่าการลงจอดบนดวงจันทร์เกิดขึ้นจริงมากถึง 1 ใน 4 ของประชากร อ้างอิงจากผลสำรวจ TNS เมื่อปี 2009 ส่วนผลสำรวจจาก Ifop พบว่ามีประชากรฝรั่งเศสประมาณ 9% ที่ไม่มั่นใจในการไปเยือนดวงจันทร์ของสหรัฐฯ
ดีดีเย เดซอร์โม (Didier Desormeaux) นักวิชาการผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องทฤษฎีสมคบคิด กล่าวว่า ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญยิ่งดึงดูดให้เกิดเรื่องเล่าที่ขัดแย้ง ซึ่งการพิชิตอวกาศนั้นเป็นเหตุการณ์ใหญ่สำหรับมนุษยชาติ และการกร่อนทำลายใดๆ ที่สั่นสะเทือนรากฐานทางวิทยาศาสตร์และความรอบรู้ธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งเป็นเป้าหมายใหญ่สำหรับนักทฤษฎีสมคบคิด
ทฤษฎีสมคิดเกี่ยวกับนาซาไม่ได้ไปดวงจันทร์นี้ ส่วนหนึ่งมาจากการตีความภาพถ่ายเพียงไม่กี่นาทีที่นาซาเอามาเผยแพร่ ซึ่งเดซอร์โมกล่าวว่า ทฤษฎีสมคบคิดเกิดขึ้นครั้งจากการตีความภาพโดยสื่อที่ปรักปรำว่า เหตุการณ์ส่งคนไปดวงจันทร์นั้นถูกจัดฉากขึ้น ซึ่งตรรกะลักษณธนี้ยังถูกเอาไปใช้อธิบายการสังหารหมู่ในโรงเรียนมัธยมของสหรัฐฯ ที่มีนักทฤษฎีสมคบคิดระดับรุนแรง อ้างว่า ผู้เสียชีวิตจากการสังหารหมู่นั้นเป็นการรับบทบาทโดยนักแสดง
“ภาพถ่ายสามารถชะงักความสามารถในการนึกคิดของเราได้ เมื่อถูกปล่อยออกมาพร้อมกับตรรกะที่บิดเบี้ยว พลังของทฤษฎีสมคบคิดเหล่านั้นคือไม่ว่าจะหลงเหลือทฤษฎีอะไร ทฤษฎีเหล่านั้นจะกลายเป็นความเชื่อ และจะถูกเผยแพร่เหมือนลัทธิ และจะคงอยู่ต่อไปชั่วนิรันดร์” เดซอร์โมเตือน
ด้าน โรเจอร์ เลาเนียส (Roger Launius) อดีตเจ้าหน้าที่ประวัติศาสตร์ของนาซา กล่าวว่าข้อเท็จจริงที่ว่า การไม่ยอมรับว่าการลงจอดดวงจันทร์เกิดขึ้นจริงอย่างไม่เปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ โดยเขาซึ่งใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตตอบโต้ผู้ไม่เชื่อเรื่องส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ ระบุไว้ในหนังสือ “มรดกของอะพอลโล” (Apollo's Legacy) ว่า ผู้ปฏิเสธเหล่านั้นคือผู้ที่ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ในการศึกษาวิจัยและองค์ความรู้ที่คนอื่นๆ ให้การยอมรับ
“พวกเขาติดกับดักความไม่ไว้วางใจรัฐบาลอย่างเข้าเส้น การโจมตีความนิยมของสังคม และเคลือบแคลงเกี่ยวกับพื้นฐานของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และการสร้างองค์ความรู้ เป็นเวลาหลายสิบปีที่พวกเขาหยิบเอาความหวาดกลัวที่ลึกที่สุดและเป็นความลับที่สุดของเรามาเล่นอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงยุภายในบ้านเราเองจากความพ่ายแพ้สงครามเวียตนาม และแรงยุจากนอกประเทศของกลุ่มต่อต้านอเมริกา” เลาเนียสกล่าวอย่างดุเดือด พร้อมัท้งกล่าวโทษสื่อว่าเติมเชื้อไฟของความหวาดระแวงนี้