xs
xsm
sm
md
lg

ตำนานเกี่ยวกับสติปัญญาของกา ซึ่งเป็นนกฉลาดที่สุดในโลก

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

กาเป็นสัตว์ปีกที่ปรากฏอยู่ในตำนานของชาวยุโรปหลายชาติ เช่น คนเดนมาร์กเชื่อว่า เทพ Odin ทรงมีกาสองตัว ยืนอยู่บนพระอังสา (บ่า) เพื่อถวายคำแนะนำ กาทั้งสองชื่อ Mind (จิตใจ) และ Memory (ความทรงจำ) และทุกครั้งที่กองทัพทหารซึ่งเป็นวีรบุรุษของชาติเดินทางเข้าสมรภูมิรบ ฝูงกาจะติดตามไปด้วยเพื่อกินซากศพของทหารที่เสียชีวิต ถ้ากองทัพกำลังจะประสบความปราชัยพ่ายแพ้ ปีกทั้งสองข้างของกาทุกตัวจะหุบ แต่ถ้ากองทัพกำลังจะชนะข้าศึก ฝูงกาจะกางปีกออก และบินฉวัดเฉวียนไปมาในท้องฟ้า

ตำราโหราศาสตร์ของชาวโรมันอ้างถึงกาว่าเป็นสัตว์ที่นำลางร้าย ความทุกข์และความหายนะมาสู่ผู้พบเห็น ในคืนของวันที่รัฐบุรุษโรมันนาม Marcus Cicero จะถูกศัตรูบุกสังหาร กาได้บินเข้าไปในห้องนอนของ Cicero เพื่อปลุกให้ตื่น ด้วยการส่งเสียงร้องดัง แต่ Cicero หลับสนิท จึงถูกฆาตกรรม

ชนชาติอื่นก็มักมีความเห็นว่าการเห็นขนสีดำของกาเป็นลางร้ายสำหรับผู้เห็น คัมภีร์ไบเบิลได้บันทึกว่า เมื่อน้ำท่วมโลก Noah ได้ให้กา บินออกไปแสวงหาผืนแผ่นดินที่จะโผล่หลังเหตุการณ์น้ำลด และกามิได้บินกลับมาหา Noah อีก เพราะมันไม่ได้เห็นผืนแผ่นดินใดๆ เลย ตำนานของชาวยิวกล่าวถึงการที่กามีขนสีดำว่า มีความเกี่ยวข้องกับการเป็นตัวแทนความเลวร้ายของซาตาน

กวี Ovid ของกรีกโบราณได้เชียนเทพนิยายเกี่ยวกับกาว่าเป็นสัตว์ที่แอบทูลเทพ Apollo ว่า นางไม้ Coronis ซึ่งเป็นเทพธิดาสุดที่รักขององค์เทพ Apollo มิได้ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ความโมโหโกรธากริ้วทำให้เทพ Apollo ทรงแผลงศรสังหาร Coronis จนสิ้นชีพ จากนั้น Apollo ก็ทรงเกลียดกามาก เพราะทรงถือว่ากานำข่าวร้ายมาทูล จึงทรงสาปให้กา ซึ่งในเวลานั้นมีขนสีขาว ให้มีขนสีดำ

เทพนิยายกรีกยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับกาอีกว่า กาเคยมีขนสีขาว และได้ถูกเทพธิดา Athena ทรงสาปให้มีขนสีดำ เพราะเมื่อเทพ Hephaistos ทรงหลงรักเทพธิดา Athena อย่างสุดจะหักห้ามพระทัย แต่ Athena มิได่ทรงรักตอบ พระองค์จึงทรงวางแผนจะข่มขืน ขณะใกล้จะสำเร็จพระกิจ พระอสุจิได้หลั่งตกลงบนพื้นดินให้พระแม่ธรณีรับไป พระโอรส Erichthonios จึงถือกำเนิด แต่ทรงมีรูปร่างผิดปกติ คือ แทนที่จะทรงมีพระเพลา (ขา) เหมือนคน กลับมีหางเหมือนงู เทพธิดา Athena ทรงรู้สึกอับอายมาก จึงทรงนำทารกไปให้พระธิดาในกษัตริย์ Kekrop เลี้ยง โดยทรงใส่ทารกในตระกร้าแล้วปิดฝา พร้อมกันนั้นก็ทรงสั่งห้ามเจ้าหญิงทอดพระเนตรดูทารกครึ่งคนครึ่งงูในตระกร้า แต่เจ้าหญิงทรงแอบดู และทรงตกพระทัยมากจึงสังหารทารกด้วยการโยนจากยอดมหาวิหาร Acropolis

เทพธิดา Athena ในเวลานั้นทรงมีกาเป็นสัตว์โปรด เมื่อกาได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จึงนำข่าวไปทูลเจ้านาย ข่าวร้ายได้ทำให้ Athena ทรงพิโรธกามาก จึงทรงขับไล่กาทุกตัวออกจากมหาวิหาร Acropolis แล้วทรงสาปให้ขนสีขาวของกาเป็นสีดำตั้งแต่นั้นมา

ตำนานชาว Hebrew กล่าวถึง กา ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการครองชีวิตสันโดษ เพราะเวลาพระศาสดา Elijah ทรงหลบหนีศัตรูที่มุ่งปองร้าย พระองค์ได้ทรงหลบหนีออกจากพระราชวัง แต่ยังทรงมีกาคาบอาหารมาถวายพระองค์ทุกวัน

ชาวจีนก็มีเรื่องเล่าว่า จักรพรรดิจีนพระองค์หนึ่งได้ทรงโปรดให้สถาปนิกแห่งราชสำนักปั้นรูปของกาให้มีสามขา โดยขาทั้ง 3 แทนตำแหน่งของดวงอาทิตย์ในยามเช้า ยามเที่ยง และยามอัสดง การใช้กาเป็นสัตว์สัญลักษณ์แทนพระองค์ยังเป็นการบอกให้ประชาชนตระหนักในความรู้สึกโดดเดี่ยวของพระองค์ด้วย
อีกา  ( Reuters )
คนไทยเราก็มีความรู้เรื่องธรรมชาติของกามาเป็นเวลานานเช่นกัน จนเรามีสำนวนเกี่ยวกับกามากมาย เช่น “กาคาบพริก” เพราะในสมัยโบราณ กาชอบเข้ามาพังพิงอาศัยใกล้บ้านคน ดังนั้นเวลาชาวบ้านขนพริกไปตากแดด กามักจะบินมาโฉบพริกไปกินเสมอ แม้แต่ในพระราชวังก็ยังมีมหาดเล็กไล่กา ขนสีดำของกาทำให้มีการเปรียบคนที่มีผิวคล้ำว่า ผิวดำเหมือนกา ดังนั้นสำนวน “กาคาบพริก” จึงแสดงรสนิยมของคนผิวดำที่ชอบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนๆ นั้นแต่งตัวไม่เป็น หรือแต่งตัวไม่เหมาะสมกับสภาพของตน ส่วนสำนวน “กาตาแววเห็นธนู” ก็มีใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะเจ้าของบ้านทั่วไปมักมีธนูสำหรับใช้ยิงสัตว์ที่ลอบเข้ามากินอาหาร แต่กาเป็นสัตว์ตาไว เวลามันเห็นอะไรผิดสังเกต ความว่องไวในการเห็นและความฉับไวในการบินทำให้มันสามารถหลบหนีภัยได้ก่อนที่ศัตรูจะลงมือทำร้าย เหยี่ยวก็เป็นสัตว์ที่ตาไวพอๆ กับกา ดังนั้น เราจึงมีสำนวน “กาเหยี่ยวเฉี่ยวไป” ซึ่งหมายถึง การสูญหายของสิ่งของไปในทันทีทันใด ส่วนสำนวน “กาหน้าดำ เขาจำหน้าได้” หมายถึงคนใกล้ชิดที่รู้จักกันดี แต่ได้ห่างเหินไม่เห็นหน้ามานาน แล้วได้กลับมาพบกันอีก ก็ยังจำกันได้ สำนวน “เต้นแร้งเต้นกา” หมายถึง ออกอาการโกรธหรือพอใจ ซึ่งเป็นอาการของกาเวลาบินมาโฉบอาหาร ถ้าโฉบไม่ได้ มันก็จะกระโดดไปมาที่พื้น เพื่อบินเข้าโฉบใหม่ ด้านสำนวน “ปล่อยนกปล่อยกา” หมายถึง ปล่อยคนให้เป็นอิสระ มักใช้กับผู้มีอำนาจและผู้อยู่ใต้อำนาจ โดยผู้มีอำนาจต่ำกว่าเปรียบเหมือนเป็นนกและกา ที่เวลาถูกปล่อยมักทำให้ผู้ปล่อยได้บุญ

ส่วนคำว่ากาฝาก ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกา เพราะมันเป็นพืชที่เข้ามาแอบแฝงเกาะกินอาหารจากต้นไม้ใหญ่ แต่ถ้านำมาใช้กับคน หมายถึงคนที่ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน และชอบพึ่งพาอาศัยคนอื่น ให้ทำงานหรือทำมาหากินแทน

ในนิทานอีสป (Aesop) มีเรื่องเล่าว่า มีกาตัวหนึ่งที่กำลังกระหายน้ำมาก อยู่มาวันหนึ่งได้บินเห็นคนโทที่มีน้ำค่อนข้างน้อย คือระดับน้ำในคนโทอยู่ลึกมาก จนจะงอยปากของกาแหย่ลงไปไม่ถึง แต่กาเป็นสัตว์ฉลาด จึงคาบก้อนหินทยอยโยนลงในคนโททีละก้อนๆ ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นๆ จนมันสามารถดื่มน้ำได้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความจำเป็นมัก (เป็นสาเหตุที่) ทำให้คนมีความคิดสร้างสรรค์ หรือความพยายามทีละเล็กละน้อย สามารถนำทุกคนไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้

ทั้งๆ ที่เรื่องเล่าเหล่านี้เป็นนิทาน แต่ก็มีนักชีววิทยาหลายคนที่คิดว่า ความเฉลียวฉลาดของกาเป็นเรื่องจริง เมื่อ 10 ปีก่อนนี้ Christopher Bird แห่งมหาวิทยาลัย Cambridge ได้รายงานในวารสาร Current Biology ว่า กาในทวีปอเมริกาเหนือใช้วิธีเดียวกับกาในนิทานอีสป เพื่อกินหนอนที่ลอยอยู่ที่ผิวน้ำในคนโท โดย Bird ได้นำกาไปสังเกตดูหนอนที่ลอยอยู่ลึกในท่อน้ำที่ยาว 15 เซนติเมตร เขาได้เห็นกาคาบก้อนกรวดขนาดเล็กโยนลงในท่อน้ำ เพื่อให้หนอนลอยขึ้นๆ จนมันสามารถใช้ปากจับกินได้ การทดลองนี้ยังได้แสดงให้เห็นอีกว่า ถ้ากาใช้ก้อนกรวดขนาดใหญ่ ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นเร็ว และถ้าใช้กรวดหลายก้อน ความต้องการก็จะบรรลุผลเร็ว

ในปี 1996 G. Hunt จากมหาวิทยาลัย Massey ใน New Zealand ได้รายงานในวารสาร Nature ว่า กา (Corvus moneduloides) รู้จักใช้จะงอยปากบิดเส้นลวดตรงให้โค้งเป็นตะขอ เพื่อใช้แทนเบ็ดสำหรับจับหนอน กาจึงเป็นสัตว์ที่รู้จักสร้างอุปกรณ์

ในปี 2005 B. Kenward จากมหาวิทยาลัย Oxford ในอังกฤษได้นำกาจากเกาะ New Caledonia 4 ตัวมาเลี้ยง เป็นตัวผู้ 3 ตัว และตัวเมีย 1 ตัว จากนั้นเขาได้แบ่งกาเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 2 ตัว โดยให้กากลุ่มหนึ่งไม่ได้รับการฝึกให้ทำอะไรเลย แต่อีกกลุ่มหนึ่งมีคนช่วยฝึกให้รู้จักใช้กิ่งไม้แหย่รูแคบๆ เพื่อหาเศษอาหาร และขณะที่ฝึกกากลุ่มหลัง Kenward ไม่ได้ให้กากลุ่มแรกเห็นการฝึก จากนั้นก็ได้นำกาทั้ง 4 ตัวไปทดลอง และพบว่าทุกตัวมีความสามารถหาอาหารได้เองโดยใช้กิ่งไม้ แม้แต่กาที่ไม่ได้รับการฝึกก็สามารถใช้อุปกรณ์หาอาหารได้ เช่นเดียวกับกาที่ได้รับการฝึก นั่นแสดงว่าเมื่อต้องหาอาหารสำหรับการดำรงชีวิต กาสามารถเรียนรู้การใช้อุปกรณ์จากเพื่อนที่รู้แล้ว เหมือนคน

นักปักษีวิทยามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความสามารถด้านคณิตศาสตร์ของกาว่า มีชาวนาคนหนึ่งที่ต้องการจะรู้ว่า กาสามารถนับเลขได้เหมือนคนหรือไม่ จึงเดินไปที่ทุ่งข้าวโพดซึ่งเป็นแหล่งอาหารของกา แล้วยิงปืนขึ้นฟ้า ทำให้ฝูงกาตกใจ บินหนี แล้วชาวนาได้หลบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในกระโจมที่ตั้งอยู่กลางทุ่ง และได้เห็นชัดว่า ฝูงกาไม่ได้บินกลับมาที่ทุ่ง จนกระทั่งเขาได้เดินออกจากกระโจมไปแล้ว
กลุ่มอีกาที่ชายฝั่งศรีลังกา (AP Photo/Manish Swarup)
ในการทดลองต่อมา ชาวนาได้ยิงปืนอีก แล้วหลบเข้าไปซ่อนในกระโจม และได้ให้เพื่อนคนหนึ่งหลบเข้าไปซ่อนตัวด้วย จากนั้นชาวนาได้เดินออกจากระโจมไป แต่ฝูงกาก็ยังไม่บินกลับมาที่ทุ่ง จนกระทั่งเพื่อนชาวนาได้เดินจากกระโจมไปอีกคน มันจึงบินกลับมาหาอาหารต่อ

หลังจากนั้นชาวนาได้นำเพื่อนๆ มาอีก 2 และ 3 คน รวมเป็น 4 กับ 5 คน แล้วทำการทดลองยิงปืนซ้ำในลักษณะเดียวกัน การทดลองได้แสดงให้เห็นว่า กาสามารถนับเลขได้ถึง 4 แต่เมื่อมีคน 5 คนในกระโจม กาจะเริ่มไม่มั่นใจว่าหลังจากที่ 4 คนเดินจากไปแล้ว ว่าจะมีคนแอบซ่อนอยู่ในกระโจมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในการทดลองครั้งล่าสุด นักวิจัยเรื่องนี้ได้พบว่า กาสามารถนับเลขได้ถึง 16

สำหรับความสามารถด้านอื่นนั้น มนุษย์ในอดีตเคยมีความภาคภูมิใจว่า ตนเป็นสัตว์ชนิดเดียวเท่านั้นที่รู้จักคิด และรู้จักวางแผนสำหรับอนาคต แต่การศึกษาพฤติกรรมของสัตว์อื่นๆ ในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า สัตว์พวกลิง primate และกาสามารถวางแผนชีวิตในอนาคตได้เช่นกัน ในวารสาร Science ฉบับวันที่ 14 กรกฎาคม 2017 นักวิจัย Markus Boeckle ได้พบว่า กาสามารถใช้สมองในการวางแผนเก็บอาหารที่มันรู้ว่าจะขาดแคลนในอนาคต มันจึงนำอาหารชนิดนั้นไปซ่อน ในสถานที่ๆ ศัตรูของมันค้นหาได้ยาก นั่นแสดงให้เห็นว่า การู้จักวางแผนว่า จะต้องทำอะไร ที่ใด และเมื่อใด เมื่อมีความจำเป็น โดยใช้ประสบการณ์เดิมที่มันมี

ในวารสาร Scientific Reports ฉบับมิถุนายน ปี 2018 Sarah Jelbert จากมหาวิทยาลัย Cambridge ในอังกฤษ ได้พบว่า กาจากเกาะ New Caledonia หลังจากที่ได้เห็นอุปกรณ์หลายชนิด มันจะสามารถสร้างอุปกรณ์ง่ายๆ ได้จากความทรงจำ โดยเธอได้หัดให้กาคาบเศษกระดาษที่มีขนาดต่างๆ ใส่เข้าไปในรู ถ้ากระดาษมีขนาดเหมาะสม คือสามารถผ่านเข้าไปในรูได้ กาก็จะได้กินอาหาร แต่ถ้ากระดาษมีขนาดใหญ่จนเกินไป กาก็จะไม่ได้อาหาร หลังจากที่ได้ฝึกกาแล้ว Jelbert ได้นำแผ่นกระดาษขนาดใหญ่ไปให้กาฉีกด้วยปาก และกาก็ได้พยายามฉีกกระดาษ จนมีขนาดเล็กกว่ารูหยอด นั่นแสดงว่า มันจำได้ว่า กระดาษจะต้องมีขนาดใหญ่เพียงใด มันจึงจะได้อาหาร

ความสามารถของกาในการเรียนรู้เหล่านี้ มีส่วนทำให้เราต้องยอมรับว่า แม้มันจะมีรูปชั่วและตัวดำ แต่มันก็เป็นนกที่เฉลียวฉลาดที่สุดในโลก

อ่านเพิ่มเติมจาก The Mentaltity of Crows: Convergent Evolution of Intelligence in Corvids and Apes โดย N.J. Emery และ N.S. Clayton ในวารสาร Science ฉบับที่ 306 ปี 2004

สุทัศน์ ยกส้าน

ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์


กำลังโหลดความคิดเห็น