พัฒนาระบบตรวจจับการลอกคราบ “ปูม้านิ่ม” อัตโนมัติ เสริมแรงเกษตรกรไทยเป็น ‘Smart Farmer’
“ปูม้านิ่ม” เป็นอาหารทะเลที่มีความต้องการของตลาดสูงทั้งภายในประเทศไทยและต่างประเทศมากว่า 10 ปี เนื่องจากเคี้ยวกลืนได้ทั้งตัว ไม่เสียเวลาแกะเปลือกและกระดองออกมาก่อน มีปริมาณเนื้อส่วนที่รับประทานได้มากกว่าปูที่เปลือกแข็งประมาณ 3 - 4 เท่า โดยเมนูรังสรรค์เมนูที่นิยมเอามากินก็มีหลากหลาย อาทิ ปูม้านิ่มผัดพริกไทยดำ พล่าปูม้านิ่ม ปูม้านิ่มทอดราดซอสมะขาม
นอกจากรสชาติและความง่ายในการกินแล้ว ปูม้านิ่มยังถือเป็นอาหารทะเลจานใหม่สำหรับผู้ห่วงใยสุขภาพ เพราะผลการวิเคราะห์ทางโภชนาการพบว่า ปูม้านิ่มมีคอเลสเตอรอลต่ำ เป็นแหล่งโปรตีน แคลเซียมและไอโอดีนที่ดี โดยในปูม้านิ่ม 100 กรัม ให้พลังงาน 56 กิโลแคลอรี ให้โปรตีน 10.7 กรัม ไขมัน 1.1 กรัม ให้คอเลสเตอรอลปริมาณ 73 มิลลิกรัม หรือคิดเป็นปริมาณร้อยละ 64.60 ของปูม้ากระดองแข็ง และปูม้านิ่ม 100 กรัม และยังมีคอเรสเตอรอลต่ำกว่าในไข่ไก่ 1 ฟอง และยังให้แคลเซียมมากกว่าปลาไส้ตันที่นิยมบริโภคกันทั้งตัว แถมยังให้กรดไขมัน DHA ที่มีความสำคัญกับเซลล์สมองอีกด้วย
“ปูม้านิ่ม” คือ ปูม้าที่เพิ่งผ่านกระบวนการลอกคราบใหม่ เนื่องจากกระดองเก่าที่แข็งจะถูกสลัดทิ้ง เหลือแต่เยื่อบางๆ หุ้มตัวปูอยู่ มีลักษณะนิ่ม หากทิ้งไว้ไม่กี่ชั่วโมง ปูจะค่อยๆ สร้างเปลือกแข็งขึ้นมาเหมือนเดิม และกลายเป็นปูม้าอย่างที่พบเห็นทั่วไป โดยตามธรรมชาติ ชั่วชีวิตหนึ่งของปู กว่าจะโตเต็มที่ ต้องลอกคราบกว่า 10 ครั้ง โดยจะลอกคราบตอนกลางคืนเพื่อให้ความมืดป้องกันตัวเอง เนื่องจากเวลาถอดกระดองออก ปูตัวอื่นจะได้กลิ่นปูตัวที่ลอกคราบและกินมัน นอกจากนี้ทุกครั้งที่ปูลอกคราบ ขนาดตัวจะขยาย น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้น 30-50 % ยิ่งปูตัวใหญ่ขึ้นก็ยิ่งขายได้ราคาดี
ที่ผ่านมามีความพยายามในการวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าปูม้านิ่มจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนันสนุนการวิจัย (สกว.) เพื่อให้ชาวประมงพื้นบ้านเกษตรกรผู้เลี้ยงปูม้า หรือผู้ผลิตต้นน้ำไปจนถึงผู้ผลิตปลายน้ำได้รับประโยชน์ และมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ แนวทางการบริหารจัดการที่เหมาะสมในการผลิตปูม้านิ่มเชิงการค้าให้กับผู้ประกอบการในแต่ละระดับ จนมีผลผลิตปูม้านิ่มออกสู่ตลาดเพื่อการบริโภคภายในประเทศและการผลิตปูม้านิ่มแช่แข็งเพื่อการส่งออก สร้างธุรกิจต่อเนื่องขึ้นในพื้นที่หลายระดับ ทั้งแพปูเอกชน แพปูชุมชน ธุรกิจเนื้อปูแกะ ธุรกิจปูม้ามีชีวิต สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างความมั่นคงให้แก่ชุมชนมากขึ้น
ผู้ประกอบการธุรกิจปูม้านิ่ม พบข้อจำกัดสำคัญเรื่องการแข็งตัวของเปลือกชุดใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ในฟาร์มเลี้ยงปูต้องจัดการแรงงานคนที่เป็นผู้ตรวจดูการลอกคราบของปูด้วยตาเปล่าในช่วงกลางคืน ทุกๆ 1 - 2 ชั่วโมง เพื่อคัดแยกปูที่กำลังลอกคราบหรือปูม้านิ่มออกมาจากในตะกร้าที่เพาะเลี้ยงไว้ นอกจากนี้ เมื่อแรงงานลาออก ก็ใช้ระยะเวลาในการฝึกฝนใหม่ เพราะทักษะเฉพาะทางในการสังเกตการลอกคราบของ ปูผูกติดกับตัวผู้เลี้ยง
ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงเป็นโจทย์สำคัญที่ทำให้ ดร.สุขกฤช นิมิตกุล นักวิจัยจากภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง ม.เกษตรศาสตร์ และคณะ ได้พัฒนาระบบตรวจจับการลอกคราบของปูม้าโดยอัตโนมัติเพื่อการผลิตปูม้านิ่มเชิงพาณิชย์ โดยใช้การทำงานร่วมกันของระบบกล้องวงจรปิด CCTV และระบบประมวลผลจากภาพถ่าย โดยการติดกล้องวงจรปิดไว้เหนือตะกร้าเลี้ยงปู ข้อมูลในกลองวงจรปิดจะส่งสัญญาณภาพ ไปยังหน่วยความจำและคอมพิวเตอร์แล้ววิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลภาพออกมา โดยอาศัยหลักการการเปรียบเทียบเม็ดสีเพียง 2 สี คือสีขาวและสีดำในแต่ละตะกร้า สีขาวคือเม็ดสีที่แปลผลมาจากปู
เมื่อพื้นที่สีขาวขยายใหญ่ขึ้น มีกระดองปู 2 กระดอง หน้าจอจะแสดงสัดส่วนของเม็ดสีขาวเพิ่มขึ้น เมื่อสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นจนเกินระดับที่ตั้งไว้ล่วงหน้า โปรแกรมจะถือว่าเกิดการลอกคราบเกิดขึ้นและจะแสดงผลไปที่จอภาพพร้อมมีเสียงเตือนเพื่อให้ผู้ที่รับผิดชอบทราบว่า มีการลอกคราบเกิดขึ้นแล้ว เช่น ตะกร้าหมายเลข A3 พบปูกำลังลองคราบ ผู้เฝ้าสามารถเดินไปในตะกร้าปูตำแหน่งนั้นๆ ได้เลย โดยไม่ต้องคอยนั่งไล่ดูปูทีละตะกร้าๆ ในส่วนของการเก็บเกี่ยวผลผลิตเนื่องจากปูม้ามีอัตราการแข็งตัวของกระดองที่รวดเร็วมาก ต้องเก็บเกี่ยวในทันที
เมื่อระบบได้ตรวจจับการลอกคราบได้แล้ว ปูม้าจะถูกนำไปใส่ในน้ำจืดเพื่อลดความเค็มและไม่ทำให้กระดองแข็งตัว นอกจากนี้ระบบตรวจจับการลอกคราบดังกล่าวยังเก็บข้อมูล เช่น เวลา และจำนวนของปูที่ลอกคราบเพื่อสร้างเป็นฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการประมาณผลผลิตและวางแผนการตลาดในอนาคตได้อีก ปัจจุบันทีมวิจัยให้ข้อมูลว่า ระบบดังกล่าวอยู่ในระยะการพัฒนาให้มีระบบรองรับการทำงานและตอบโจทย์ผู้ประกอบการ ในการเลี้ยงมากที่สุดโดยเมื่อทีมวิจัยผลิตนวัตกรรมที่สถียรออกมาได้แล้ว จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรกรใช้ต่อไป