ถ้าเราดูแผนที่ภูมิประเทศของดวงจันทร์ เราจะเห็นบริเวณที่เป็นหลุมอุกกาบาต ทิวเขา และที่ราบมากมาย ซึ่งสถานที่เหล่านี้มีชื่อแปลกๆ เพราะถูกตั้งขึ้นโดยอาศัยหลักการต่างๆ กัน เช่น ตั้งตามชื่อของนักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง ศิลปิน ฯลฯ และหลุมอุกกาบาตหลายหลุมมีนาม Ross, Parry, Kane, Crozier, Bellot, Sabine และ Franklin ฯลฯ ซึ่งเป็นชื่อที่คนทั่วไปไม่คุ้นเคย
การศึกษาประวัติความเป็นมาของชื่อเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า มันเป็นชื่อของคณะนักสำรวจภายใต้การบังคับดูแลของ Sir John Franklin ในสมัยสมเด็จพระนางเจ้า Victoria ซึ่งได้ออกเดินทางจากอังกฤษในปี 1845 (ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) เพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือจากมหาสมุทรแอตแลนติกผ่านไปทางเหนือของแคนาดาเข้าสู่เขต Arctic ว่าจะมีเส้นทางทะเลทะลุไปจนออกที่ช่องแคบ Bering ในมหาสมุทร Pacific หรือไม่ ซึ่ง “เส้นทางในฝัน” นี้เป็นที่รู้จักกันในนาม Northwest Passage
ผลปรากฏว่า คณะสำรวจชุดนั้นทั้งชุด ซึ่งประกอบด้วย Franklin และลูกเรือ 128 คน ได้หายสาบสูญไปโดยไม่มีใครได้กลับมาอีกเลย การสูญเสียเหล่าวีรบุรุษของชาติในครั้งนั้นได้สร้างความกดดันให้สังคมอังกฤษสลดใจ และพยายามสืบค้นหาสาเหตุในการเสียชีวิตของทุกคน จวบจนวันนี้
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ในปี 1845 ราชนาวีอังกฤษได้ส่งเรือสองลำออกค้นหา Northwest Passage โดยมีผู้บังคับการชื่อ Sir John Franklin ซึ่งได้เคยไปสำรวจดินแดนแถบ Arctic มาแล้วถึง 3 ครั้ง เพื่อหาเส้นทางทะเลที่ติดต่อระหว่างมหาสมุทร Atlantic กับ Pacific (ในสมัยนั้นยังไม่มีคลอง Panama) ซึ่งถ้าพบจะเป็นการเปิดเส้นทางเดินเรือใหม่ เพื่อการพาณิชย์ระหว่างยุโรปกับเอเชียและการล่าอาณานิคมของอังกฤษ
Franklin เกิดเมื่อค.ศ.1786 เป็นคนที่ชอบการผจญภัยมากและมีประสบการณ์การเดินทางในทะเลมาก เมื่อได้รับการทาบทามให้เป็นผู้ค้นหา Northwest Passage ในเวลานั้น Franklin มีอายุใกล้จะ 60 ปีแล้ว ประเด็นนี้ได้ทำให้ผู้บังคับบัญชาตั้งข้อสังเกตว่า Franklin ค่อนข้างชราเกินไป แต่ Franklin ตอบว่าผมยังไม่ถึง 60 เลยครับ คือเพิ่งอายุ 59 ปีเอง
ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ.1845 Franklin ได้นำเรือสองลำชื่อ Erebus ซึ่งมีรองผู้บังคับบัญชาชื่อ James Fitzjames กับเรือ Terror ซึ่งมี Francis Crozier เป็นกัปตัน ออกเดินทางจากลอนดอนตามลำแม่น้ำ Thames เข้าสู่มหาสมุทร Atlantic
เรือทั้งสองลำนี้ถูกสร้างขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในเวลานั้น เพราะมีเครื่องจักรไอน้ำขับเคลื่อนจึงเป็นเรือที่ทันสมัย มีใบพัดและหางเสือที่ทำด้วยเหล็ก ตัวเรือทั้งลำได้รับการออกแบบให้สามารถทนแรงอัดจากก้อนภูเขาน้ำแข็งได้ บนเรือมีห้องสมุดให้ลูกเรือได้พักผ่อน มีอาหารกระป๋องที่ทุกคนได้กินเป็นเวลานาน 3 ปี แต่(โชคไม่ดีที่บริษัทผลิตกระป๋องมีประสบการณ์ในการทำน้อย เทคโนโลยีที่ใช้ในการทำกระป๋องจึงมีตะกั่วเจือปนมาก) ด้านลูกเรือส่วนใหญ่เป็นคนอังกฤษ และมีคนไอริชกับคนสก็อตบ้าง
ขบวนเรือได้เดินทางขึ้นทิศเหนือไปสก็อตแลนด์ แล้วมุ่งหน้าข้ามมหาสมุทร Atlantic เข้า Greenland ในวันที่ 26 กรกฎาคม (2 เดือนหลังจากที่ได้ออกเดินทาง) เรือล่าวาฬลำหนึ่งได้รายงานการเห็น Erebus กับ Terror ที่บริเวณอ่าว Baffin ซึ่งตั้งอยู่ระหว่าง Greenland กับแคนาดา และนั่นคือการเห็นเรือทั้งสองลำเป็นครั้งสุดท้าย
เวลาได้ล่วงเลยไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปี 1848 เมื่อไม่มีใครได้รับข่าวใดๆ จากคณะสำรวจภายใต้การนำของ Franklin คนอังกฤษทุกคนเริ่มกังวล เพราะ Franklin เป็นคนมีชื่อเสียง และในการเดินทางครั้งนั้นเขาได้ทำไปเพื่อแสดงศักดิ์ศรีของชาติ ดังนั้นสังคมจึงกดดันให้กองทัพส่งคนไปตาม โดยมี Sir James Clark Ross ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนสนิทและเพื่อนนักสำรวจของ Franklin เป็นหัวหน้า กองทัพได้ตั้งเงินรางวัล 20,000 ปอนด์ให้แก่คนที่พบเบาะแส และร่องรอยของ Franklin กับคณะ
ความกระหายที่จะมีชื่อเสียงและความผูกพันกับคณะสำรวจได้ทำให้มีคนสนใจติดตามและค้นหาเป็นจำนวนมาก ผลที่ตามมาคือจำนวนคนที่เสียชีวิตในการติดตามมีจำนวนกว่า 129 คน
ในปี 1850 คณะสำรวจจากอังกฤษและอเมริกาได้พบหลักฐานที่แสดงว่า คน 3 คนในคณะสำรวจของ Franklin ได้เสียชีวิตและถูกฝังอยู่ที่เกาะ Beechey อีก 4 ปีต่อมา นักสำรวจชื่อ John Rae ได้รายงานข่าวชะตากรรมของคณะสำรวจ Franklin ที่ได้จากการสนทนากับชาวพื้นเมืองเผ่า Inuit ว่า เรือสำรวจของ Franklin ได้ติดอยู่ในทะเลน้ำแข็งเป็นเวลานาน 19 เดือน เมื่ออาหารในเสบียงหมด ลูกเรือได้กินศพคนที่ตายไป เพื่อประทังชีวิต
ข่าวคนกินคนนี้ได้สร้างความตระหนกตกใจให้แก่สังคมไฮโซของอังกฤษในเวลานั้นมาก จน Rae ผู้รายงานไม่มีที่จะยืนต่อไปในสังคม และถูกอัปเปหิออกนอกประเทศ เพราะถูกกล่าวหาว่าได้ใส่ไคล้และใส่ความป่าเถื่อนให้แก่วีรบุรุษของชาติ แต่อีก 140 ปีต่อมา รายงานของ Rae ก็ได้รับการยืนยัน เพราะได้มีการพบร่องรอยของมีดกรีดตามกระดูกศพของลูกเรือที่เสียชีวิตบนเกาะ King William ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การกินศพเป็นเรื่องจริง และลูกเรือผู้เคราะห์ร้ายได้เสียชีวิตเพราะทนสภาพอากาศที่หนาวจัดไม่ได้ การป่วยเป็นโรคปอดบวม โรคลักปิดลักเปิด อาหารเป็นพิษ และการขาดอาหาร ล้วนมีส่วนในการทำให้ลูกเรือทั้งหมดตายในที่สุด และ Franklin เองได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ.1847 จากนั้น Crozier ก็ได้ขึ้นมาทำหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาแทน และได้ทิ้งเรือ Terror เพื่อเดินลากสัมภาระไปสู่ความตายที่แม่น้ำ Back River ในแคนาดา
หลังจากที่ทราบข่าวแน่นอนว่า คณะสำรวจหาเส้นทาง Northwest Passage ล้มตายหมด ทางรัฐบาลอังกฤษได้จัดสร้างอนุสาวรีย์ให้ Franklin ที่ลอนดอน เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงบุคคล ผู้พยายามหาเส้นทาง Northwest Passage (แต่ไม่พบ เพราะไม่มี) จนต้องเสียชีวิตลงในที่สุด
แม้จะได้ตายจากไปร่วม 170 ปีแล้วก็ตาม แต่การค้นหาความจริงเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตของ Franklin ก็ยังไม่ยุติ
สำหรับสาเหตุที่ทำให้คณะนักสำรวจเสียชีวิตนั้นได้มีข้อสันนิษฐานหนึ่งซึ่งหลายคนเชื่อว่า ทำให้เกิดโศกนาฎกรรมครั้งนั้น นั่นคือ การได้รับพิษจากสารตะกั่วจนทำให้ระบบประสาท และการทำงานของสมองผิดปรกติ จนนักสำรวจทุกคนหลงทางกลับคืนสู่แผ่นดินใหญ่ไม่ได้ และต้องตายไปในที่สุด
เพราะในสมัยเมื่อ 100 ปีก่อน ก่อนที่โลกจะใช้น้ำมันและสีทาที่มีตะกั่วปน แทบทุกบ้านจะดื่มน้ำจากท่อตะกั่ว สถิติในปี 1900 แสดงว่า 55% ของเมืองต่างๆ ในอเมริกาและยุโรปใช้ท่อน้ำที่ทำด้วยตะกั่ว ดังนั้นน้ำในท่อจึงมีตะกั่วในปริมาณมากประมาณ 100 เท่าของมาตรฐานที่กำหนดให้เป็นระดับอันตราย จึงมีผลทำให้คนนับล้านล้มป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคพิษตะกั่ว ในเมืองที่มีปัญหาตะกั่วเป็นพิษก็พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มน้ำจากท่อตะกั่วได้รับสารพิษจากตะกั่ว และมีผลทำให้ทารกที่คลอดตายเพิ่มขึ้นถึง 25%
เมื่อแพทย์ชื่อ Erasmus Fenner แห่งเมือง New Orleans ในอเมริกาตระหนักรู้ภัยนี้ การเลิกใช้ท่อน้ำที่ทำจากตะกั่วจึงได้เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา
การได้รับพิษจากตะกั่วในอาหารกระป๋องที่นำติดเรือไปจึงเป็นข้อสันนิษฐานหนึ่งที่หลายคนคิดว่าทำให้คณะนักสำรวจล้มตาย
ในวารสาร Journal of Archaeological Science: Report, doi:org./csaw ผู้นี้ได้มีรายงานว่า ในการวิเคราะห์เส้นผมของลูกเรือคนหนึ่งที่ถูกฝังอยู่บนเกาะ King William โดย Lori D’ Ortenzio จากมหาวิทยาลัย McMaster ในแคนาดา คณะวิจัยได้นำเส้นผม 55 เส้นของลูกเรือชื่อ Harry Goodsir มาตัดออกเป็น 3 ท่อน แต่ละท่อนยาว 1 เซนติเมตร แล้วใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูการเจริญเติบโตของเส้นผมที่ยืดออกประมาณเดือนละ 1 เซนติเมตร ตลอดเวลา 3 เดือนก่อนเจ้าของเส้นผมจะเสียชีวิต และพบว่า ในเส้นผมมีตะกั่ว ที่ได้มาจากกระป๋องอาหาร และวัดความเข้มข้นของตะกั่วพบว่ามีมากถึง 84.2 ส่วนใน 1 ล้านส่วน โดยที่ในบริเวณโคนผมมีตะกั่ว 73.3 ส่วนใน 1 ล้านส่วน ตัวเลขเหล่านี้แสดงว่าในเลือดของผู้ตายมีตะกั่วในปริมาณ 53.6 – 61.3 ส่วนใน 1 ล้านส่วน
เมื่อตัวเลขแสดงค่าน้อยเช่นนี้ การสันนิษฐานว่าตะกั่วเป็นพิษ คือสาเหตุที่ทำให้สมองของเหล่าลูกเรือทำงานผิดปกติจนหาเส้นทางกลับบ้านเกิดไม่ได้ จึงตกไป
รายงานนี้สอดคล้องกับการตรวจหาปริมาณตะกั่วในเล็บของลูกเรือชื่อ John Hartnell ที่เสียชีวิตบนเกาะ Beechey ว่ามีในปริมาณน้อยเช่นกัน ดังนั้น ตะกั่วเป็นพิษจึงมิใช่สาเหตุหลักที่ทำให้คณะสำรวจเสียชีวิต
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลายคนจึงคิดว่า คณะเดินทางโชคไม่ดีมากกว่า เมื่อสภาพอากาศหนาวจัดเกิดขึ้นอย่างผิดปกติ และไม่มีใครเตรียมตัวทัน ทุกคนจึงต้องตายในสภาพที่ทรมานอย่างที่สุด
นอกจากบนโลกจะมีการให้เกียรติแก่คณะนักสำรวจแล้ว บนดวงจันทร์ก็ยังมีการตั้งชื่อของหลุมอุกกาบาตเพื่อเป็นเกียรติแก่คณะนักสำรวจด้วย เช่น หลุมอุกกาบาต Crozier ซึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีเส้นทแยงมุมยาว 22 กิโลเมตร และลึก 1.3 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในทะเล Mare Fecunditatis สำหรับชื่อของหลุมนี้มาจากชื่อของ Francis Crozier ผู้ได้เคยเดินทางไปสำรวจทวีป Arctic ถึง 3 ครั้ง
ถึงปี 1865 นักภูมิศาสตร์ ชื่อ William Birt ผู้ที่ทำแผนที่ของดวงจันทร์เป็นคนแรกได้ตั้งชื่อหลุมอุกกาบาตนี้ว่า Crozier
หลุมอุกกาบาตที่สองเป็นหลุมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 17 กิโลเมตร และลึก 3.1 กิโลเมตร อยู่ริมทะเล Mare Fecunditatis ชื่อ Bellot ได้รับการตั้งชื่อในปี 1865 เพื่อเป็นเกียรติแก่กะลาสี Joseph Rene Bellot ที่ถูกลมพายุพัดตกทะเลตาย ขณะเรือจอดอยู่ในช่องแคบ Wellington
หลุมที่สามชื่อ Ross ซึ่งในปี 1837 ถูกตั้งตามชื่อของ Sir James Clark Ross ในปี 1837 เป็นหลุมกลมมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 26 กิโลเมตร และลึก 1.84 กิโลเมตร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทะเล Mare Tranquilitis กัปตัน Ross เป็นนักสำรวจทั้งทวีป Arctic และ Antarctic เป็นคนมีชื่อเสียงจากการพบตำแหน่งที่ขั้วเหนือของแม่เหล็กโลกอยู่ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ.1831 โดย Ross กับลุงได้พยายามค้นหา Franklin ในปี 1850-51
หลุมที่สี่ชื่อ Sabine เป็นชื่อของนักสำรวจขั้วโลก Sir Edward Sabine และเป็นหลุมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 30 กิโลเมตร ลึก 1.4 กิโลเมตร อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทะเล Mare Tranquilitatis ในปี 1818 Edward Sabine ได้เดินทางไปค้นหา Northwest Passage และไปสำรวจทวีปอเมริกาเหนือกับทวีป Arctic รวมถึงได้เป็นคนพยายามวัดสัณฐานของโลก โดยการหาค่า g ด้วยการสังเกตการเปลี่ยนคาบการแกว่งของลูกตุ้มเพนดูลัมตามสถานที่ต่างๆ ผลงานนี้ทำให้ Sabine ได้รับเหรียญ Copley ของสมาคม Royal Society
หลุมที่ห้าชื่อ Kane มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 55 กิโลเมตร และลึก 1.1 กิโลเมตร อยู่ทางตอนเหนือของทะเล Mare Frigoris ตั้งตามชื่อของ Elisha Kent Kane ผู้ได้ติดตามช่วยชีวิตลูกเรือของ Franklin ในชีวิตจริง Kane เป็นแพทย์ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัย Pennsylvania และเป็นแพทย์ประจำเรือที่ได้ออกค้นหา Franklin ถึง 2 ครั้ง คือ ในปี 1853 และ 1855 โดยในการค้นหาครั้งหลังนี้เรือที่ Kane ประจำได้ติดหนึบในน้ำแข็งจนกัปตันต้องทิ้งเรือ และต้องเดินทางไกล 1,931 กิโลเมตรเป็นเวลานาน 83 วันจึงถึงเมือง Upernavik ใน Greenland และรอดชีวิต หลังจากนั้นสุขภาพของ Kane ก็ได้ถดถอยอย่างรวดเร็ว จนเสียชีวิตในปี 1857 ส่วนชื่อหลุม Kane นั้นถูกตั้งในปี 1878
หลุมอุกกาบาตที่หกคือ หลุม Parry ตั้งตามชื่อของ Sir William Parry มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 46 กิโลเมตร และลึก 1.7 กิโลเมตรอยู่ริมทะเล Mare Nubium
และหลุมอุกกาบาตที่สำคัญหลุมสุดท้ายคือหลุม Franklin ซึ่งไม่ได้ตั้งตามชื่อของ John Franklin แต่ตั้งตามชื่อของ Benjamin Franklin ผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง และนักเขียนชาวสหรัฐฯ หลุมนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 56 กิโลเมตร ลึก 12.5 กิโลเมตร และตั้งอยู่ไกลจากทะเล Mare Serenitatis
ในความเป็นจริง หลุมอุกกาบาตที่ตั้งตามชื่อของ John Franklin ก็มี เมื่อนักภูมิศาสตร์ William Birt ได้ตั้งชื่อหลุมอุกกาบาตว่า Crozier และได้ตั้งชื่อหลุมอุกกาบาตที่อยู่ติดกันว่า Franklin แต่สมาคม International Astronomical Union ไม่ยอมรับ เพราะชื่อซ้ำ
ถึงวันนี้ยานอวกาศจากจีนได้ร่อนไปลงบนด้านหลังของดวงจันทร์แล้ว สถานที่นี้มีภูเขา ทะเล และหลุมอุกกาบาตที่ยังไม่มีชื่อ ดังนั้นต่อแต่นี้ไป เราก็จะเห็นชื่อจีนเต็มพื้นที่อย่างแน่นอน ทั้งนี้เพราะใครเห็นอะไรก่อน คนนั้นก็มีสิทธิ์ตั้งชื่อ
อ่านเพิ่มเติมจาก Frozen in Time: The Fate of the Franklin Expedition โดย Owen Beattie และ John Greger จัดพิมพ์โดย Wester Producer Prairie Books ในปี 2004
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์