นักวิทยาศาสตร์เตือน “ชั้นดินเยือกแข็ง” เป็นเสมือนระเบิดเวลาภูมิอากาศ ที่รอปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกหลายพันล้านตันจากภาวะโลกร้อน พร้อมโรคร้ายทั้งหลายที่ถูกขังไว้ใต้น้ำแข็งจะถูกปล่อยออกมาด้วย
“ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว” (Permafrost) เป็นชั้นดินที่เย็นจัดจนเป็นน้ำแข็ง แต่ไม่ได้คงตัวเหมือนอย่างชื่อ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะพบชั้นดินนี้ได้ทางซีกโลกตอนเหนือ และปกคลุมทางตอนเหนือของซีกโลกมากถึง 1 ใน4 ของพื้นที่ โดยพบว่าชั้นดินนี้มีควมลึกตั้งแต่ไม่กี่เมตรจนถึงมากกว่า 100 เมตร
ชั้นดินเยือกแข็งนี้มีอายุยาวนานหลายพันปีแล้ว และกินพื้นที่ระหว่างวงกลมอาร์กติก (Arctic Circle) และป่าพรุเขตหนาว (boreal forests) ที่มีอาณาเขตครอบคลุมอะแลสกา แคนาดา ยุโรปเหนือและรัสเซีย
นอกจากนี้ยังพบชั้นดินเยือกแข็งคงตัวที่ซีกโลกทางใต้ลงมา แม้จะมีพื้นดินให้แช่งแข็งน้อยกว่า อย่างเทิอกเขาแอนดีส (Andes) ในอเมริกาใต้ และทวีปแอนตาร์กติกาในซีกโลกใต้
คำนวณว่าชั้นดินเยือกแข็งคงตัวนี้กักเก็บคาร์บอนไว้มากถึง 1.7 ล้านล้านตัน ในรูปของสสารอินทรีย์ที่ถูกแช่แข็งไว้ ซึ่งสสารเหล่านี้คือซากของพืชและสัตว์ที่ตายมานานแล้ว และถูกขังอยู่ใต้ตะกอนดิน ซึ่งภายหลังถูกปกคลุมด้วยแผ่นน้ำแข็ง
เมื่อชั้นดินเยือกแข็งเหล่านี้ละลายลง สสารที่อยู่ภายในจะอุ่นขึ้นและสลายตัว จนที่สุดจะปลดปล่อยคาร์บอนออกมา ทั้งในรูปคาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซที่ส่งผลให้เกิดภาวะเรือนกระจกบนโลก โดยคร่าวๆ นั้นชั้นดินเยือกแข็งมีคาร์บอนประมาณ 2 เท่าของคาร์บอนในชั้นบรรยากาศโลกที่อยู่ในรูปของมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ และเชื่อว่าแหล่งคาร์บอนที่มากที่สุดอยู่บริเวณใกล้ๆ พื้นผิวโลก
คาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีอยู่มากที่สุดและถูกตราว่าเป็นตัวการหลักของปัญหาภาวะโลกร้อน แต่ก๊าซมีเทนก็ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนมากกว่าถึง 25 เท่า และเกรงว่าก๊าซเรือนกระจกใต้ชั้นดินเยือกแข็งนี้จะกระตุ้นภาวะโลกร้อนให้หนักขึ้น
ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) เมื่อปี ค.ศ. 2015 นั้นตั้งเป้าที่จะลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมให้ไม่สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่หากก๊าซเรือนกระจกใต้ชั้นดินเยือกแข็งนี้เติมเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก จะยิ่งเสริมให้โลกร้อนยิ่งขึ้น และน้ำแข็งละลายหนักขึ้น ซึ่งจะยิ่งเร่งให้ชั้นดินเยือกแข็งละลายเพิ่มมากขึ้น และปลดปล่อยคาร์บอนที่ถูกกักไว้ออกมา
รายงานจากเอเอฟพีอ้างอิงข้อมูลจากการบรรยายของ ซูซาน นาตาลี (Susan Natali) จากศูนย์วิจัยวูดส์โฮล (Woods Hole Research Center) ระหว่างการประชุมด้านภูมิอากาศเมื่อปี ค.ศ.2015 ที่เมืองบ็อน เยอรมนี ว่าแม้เราจะควบคุมให้โลกร้อนขึ้นที่อุณหภูมิเฉลี่ยคงที่ 2 องศาเซลเซียส แต่เราก็จะสูญเสียชั้นดินเยือกแข็งไปถึง 30% ก่อนจะปี ค.ศ.2100 ซึ่งจะเป็นการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมามากถึง 70% ของสถานการณ์ปลดปล่อยตามที่คาดการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งงานวิจัยของเธอว่า หากมีการปลดปล่อยออกมาจากชั้นดินเยือกแข็งจะพาเราเข้าสู่ภาวะโลกร้อนที่เราไม่สามารถควบคุมได้
นอกจากก๊าซเรือนกระจกแล้ว ชั้นดินเยือกแข็งยังคุกคามเราจากการปลดปล่อยแบคทีเรียและไวรัสก่อโรค ที่ถูกกักไว้ในชั้นน้ำแข็งเป็นเวลานานด้วย ซึ่งเคยมีกรณีให้เห็น 2-3 ราย เช่น เมื่อปี ค.ศ. 2016 ที่ไซบีเรียเหนือของรัสเซียมีเด็กตายจากการระบาดของโรคแอนแทร็กซ์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าเชื้อโรคนั้นน่าจะมาจากซากกวางเรนเดียร์ที่ติดเชื้อและถูกฝังไว้ใต้น้ำแข็งนานถึง 70 ปี ก่อนจะโผล่ออกมาเมื่อชั้นดินเยือกแข็งละลาย และเชื้อแอนแทร็กซ์นี้ได้แพร่สู่ฝูงสัตว์แทะเล็มหญ้า
นักวิทยาศาสตร์ยังเตือนด้วยว่า เชื้อโรคอื่นๆ ที่หยุดระบาดและถูกฝังอยู่ใต้ชั้นน้ำแข็ง อาจกลับมาระบาดอีกครั้งจากภาวะโลกร้อน เช่น เชื้อโรคไข้ทรพิษ โดยเมื่อปี ค.ศ.2014 นักวิทยาศาสตร์ได้คืนชีพไวรัสขนาดใหญ่ที่ไม่มีอันตรายที่ชื่อ พิโธไวรัส ไซบีริคัม (Pithovirus sibericum) ซึ่งถูกกักอยู่ใต้ชั้นดินเยือกแข็งไซบีเรียมานานกว่า 30,000 ปี
ในแง่ดีการละลายของชั้นดินเยือกแข็งก็เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมน้ำมันและเหมืองแร่ ซึ่งช่วยให้เราเข้าถึงแหล่งทรัพยากรที่เข้าถึงยากได้ง่ายขึ้น แต่ก็สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อโครงสร้างพื้นฐาน โดยทำให้เกิดโคลนถล่มและทำลายสิ่งปลูกสร้าง ถนนและท่อส่งน้ำมันได้
รายงานจากกรีนพีซที่เผยแพร่เมื่อปี 2009 ระบุว่า ชั้นดินเยือกแข็งที่ละลายในแถบรัสเซียนั้น เป็นสาเหตุให้บ้านเรือ สะพานและท่อส่งน้ำมันเสียหาย คิดเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างที่เสียหายในไซบีเรียตะวันตกสูงมากถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ