xs
xsm
sm
md
lg

มุมมองคนไทยในยุคส่ง “อะพอลโล 11” ไปลงดวงจันทร์

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ไม่บ่อยที่จะมีเหตุการณ์ให้คนทั้งโลกเฝ้าจับตา อย่างปฏิบัติการ “อะพอลโล 11” ส่งคนไปลงดวงจันทร์ เหตุการณ์ที่สะท้อนความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ตัวเล็กๆ นี้ ยังคงอยู่ในความทรงจำของหลายๆ คน

สุทธิชัย หยุ่น นักข่าวอาวุโสเป็นหนึ่งในผู้อยู่ในเหตุการณ์ส่งยานอะพอลโล 11 จากแหลมคานาวารัล สหรัฐฯ เมื่อ 16 ก.ค.1969 ก่อนที่ นีล อาร์มสตรอง (Niel Armstrong) และ บัซ อัลดริน (Buzz Aldrin) จะลงไปเหยียบดวงจันทร์เมื่อวันที่ 20 ก.ค.1969

สุทธิชัยเล่าให้ฟังว่า เขาได้รับเชิญจากสถานทูตสหรัฐฯ ให้เข้าร่วมชมภารกิจส่งยานอะพอลโล 11 ซึ่งในตอนนั้นเขาเพิ่งอายุ 23 ปี และยังเป็นนักข่าวใหม่ อีกทั้งยังไม่ทราบถึงความสำคัญของภากิจดังกล่าว จนกระทั่งได้กลับมาค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมจึงได้ทราบถึงความยิ่งใหญ่ของเหตุการณ์ครั้งนั้น

“ผมนั่งห่างจากจุดปล่อยจรวดออกไป 10 กิโลเมตร ไกลขนาดนั้นยังรู้สึกถึงไอร้อน แรงสั่นสะเทือน ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าสำคัญ มาอ่านเพิ่มเติมแล้วถึงรู้สึกถึงความสำคัญในภายหลัง ตอนนั้นสถานทูตสหรัฐฯ พยายามหาดาวเทียมเพื่อส่งสัญญาณถ่ายทอดสด เพราะถือว่าเป็นศักดิ์ศรีของสหรัฐฯ แต่คนที่รับสัญญาณได้ไม่ใช่สหรัฐฯ แต่เป็นออสเตรเลียที่เป็นคนรับสัญญาณได้ เป็นจานรับสัญญาณขนาดใหญ่ เป็นจานใหม่ๆ ภาพที่ได้เป็นภาพเบลอๆ แต่แค่นั้นก็ตื่นเต้น” สุทธิชัยกล่าว

การลงจอดที่เกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนดนั้น ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ให้ข้อมูลว่า เนื่องจาก บัซ อัลดริน และ นีล อาร์มสตรอง นอนไม่หลับ จึงติดสินใจลงจอดเร็วขึ้น และช่วงเวลาดังกล่าวจานรับสัญญาณสหรัฐฯ ไม่สามารถรับสัญญาณได้ แต่เป็นช่วงเวลาพอดีสำหรับจานรับสัญญาณของออสเตรเลีย

สุทธิชัยยังเล่าถึงบรรยากาศในช่วงนั้นด้วยว่า นักหนังสือพิมพ์กระตือรือร้นในการรายงานข่าวดังกล่าวมาก และมีประเด็นว่าจะรายงานการเหตุหการณ์ครั้งประวัติศาสตร์นี้อย่างไร โดยเฉพาะการพาดหัวข่าวที่ต้องสั้น กระชับ และได้ใจความที่ยิ่งใหญ่ จนมีการประกวดตั้งพาดหัวข่าว ซึ่งต้องแสดงถึงการที่มนุษย์ได้ขึ้นไปประกาศศักดาบนดวงจันทร์ และเมื่อถึงวันที่มนุษย์ได้เหยียบดวงจันทร์ มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพาดหัวข่าวว่า Man on the Moon และได้รับรางวัลไป

ดร.ศรัณย์ระบุว่าในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าว เขาอายุ 6 ขวบ และได้ติดตามเหตุการณ์ผ่านการถ่ายทอดสดเช่นเดียวกับคนไทยอีกจำนวนมาก โดยการส่งมนุษย์ไปลงดวงจัทร์เกิดขึ้นในยุคสงครามเย็นที่สหรัฐฯ และรัสเซียแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ เนื่องจากความก้าวหน้าทางด้านอื่นๆ ไม่เป็นที่เปิดเผย จึงต่างพยายามแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางด้านอวกาศ

ทว่าในช่วงต้นของการแข่งขันนั้น ดร.ศรัณย์ระบุว่า สหรัฐฯ แพ้รัสเซียในทุกๆ ด้าน รัสเซียส่งดาวเทียมได้เป็นชาติ ส่งมนุษย์คนแรกขึ้นไปอวกาศ และยังส่งยานไร้มนุษย์ไปลงจอดบนดวงจันทร์ได้เป็นชาติแรก สหรัฐฯ เจมส์ เวบบ์ (James Webb) ผู้อำนวยการคนที่ 2 องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) จึงเสนอว่า เพื่อเอาชนะรัสเซียสหรัฐฯ ต้องส่งคนไปดวงจันทร์ และ จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวไปพูดในสภา

“การส่งคนไปดวงจันทร์นั้นยากมาก เพราะเป็น First Time First Technique ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนรอดกลับมา เพราะในภารกิจอะพอลโล 1 นักบินอวกาศตาย 3 คน จากระเบิดที่ยานแค่จอดเฉยๆ ตอนนั้นสหรัฐฯ จอดสนิทเลย ไม่มีอะพอลโล 2-3 มาถึงอะพอลโล 4 ทดลองต่อ อะพอลโล 9 ทดลองต่อโมดูลดวงจันทร์ได้ซึ่งยากมาก เพราะต้องให้ยานอวกาศที่ลอยอยู่ในอวกาศมาเจอกันและต่อกันอย่างพอดี อะพอลโล 10 ใช้เทคนิคเหมือนอะพอลโล 11 ทุกอย่าง ยกเว้นการลงจอด เพียงแค่ไปหมุนรอบดวงจันทร์แล้วกลับมา จนมาถึงอะพอลโล 11 ซึ่งคอมพิวเตอร์ยุคนั้นยังสู้มือถือในกระเป๋าเราไม่ได้” ดร.ศรัณย์กล่าว

การคำนวณในยุคอะพอลโลนั้นต้องอาศัยคนคำนวณในกระดาษ โดย ดร.ศรัณย์ ยกตัวอย่างในเหตุการณ์ในภาพยนตร์ Hidden Figures (ทีมเงาอัจฉริยะ) ที่ฉายเรื่องราวผู้หญิงผิวดำที่ทำหน้าที่คำนวณต่างๆ ให้นาซา เพราะคอมพิวเตอร์ยุคนั้นยังคำนวณยากๆ ไม่ได้ และไม่ได้ใช้เครื่องคิดเลขช่วย แต่ใช่ “ไม้บรรทัดคำนวณ” (Hidden Figures) เป็นอุปกรณ์ช่วยคำนวณ

ในปฏิบัติการอะพอลโล 11 นีล อาร์มสตรอง ต้องใช้ทักษะนักบินที่เขาหัดบินตั้งแต่ 10 ขวบก่อนที่จะขับรถยนต์ได้ มาขับเคลื่อนยานลงจอดในระยะ 100 เมตรสุดท้าย ซึ่งต่างจากอวกาศยุคสเปซเอกซ์ (SpaceX) ที่ให้โรบอททำทุกอย่าง แลด้วยวิสัยของฝรั่ง ทุกขั้นตอนจึงต้องคำนึงความปลอดภัยเสมอ ในปฏิบัติการทุกขั้นตอนมีทางเลือก “Abort” เพื่อละทิ้งปฏิบัติการ โดยมีขั้นตอนกำหนดว่า หากต้องละทิ้งขณะอยู่เหนือพื้นผิวดวงจันทร์ต้องทำอย่างไร ในระหว่างโคจรรอบโลกต้องทำอย่างไร

“ผลจากความสำเร็จในครั้งนั้นทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แม้แต่เตาไมโครเวฟก็เป็นผลพวงจากโครงการอะพอลโล และจนึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครที่สร้างเครื่องยนต์ได้ทรงพลังมากกว่าจรวด “แซทเทิร์น 5” (Saturn V) เพราะยุคนี้ใช้เครื่องจักรสร้างทุกอย่าง และไม่มีเคครื่องจักรไหนจะสร้างเครื่องยนต์ขนาดนั้นได้ ยุคนั้นเครื่องยนต์ทำมือทั้งหมด และคนยุคนั้นก็ล้มหายตายจากไปหมด เทคโนโลยีนั้นก็ตามไปด้วย” ดร.ศรัณย์กล่าว

หลังจากปี 1972 สิ้นสุดโครงการอะพอลโลหลังปฏิบัติการอะพอลโล 17 แล้วก็ไม่มีใครได้กลับไปดวงจันทร์อีกเลย ดร.ศรัณย์เล่าว่า ในตอนนั้นคิดกันว่าอีก 25 ปีหลังจากนั้นเราน่าจะส่งคนไปดาวอังคารได้แต่ก็ยังไม่มีใครไป ส่วนหนึ่งอาจจะเนื่องจากไม่มีพลังบังคับทางการเมืองเหมือนในยุคอะพอลโล ที่ทุกคนต่างพร้อมร่วมแรงร่วมใจกัน

ในปฏิบัติการอะพอลโล 17 มี แฮร์ริสัน สมิตต์ (Harrison Hagan "Jack" Schmitt) นักธรณีวิทยา เป็นลูกเรือ ซึ่งเขาเป็นผู้แนะนำ นีล อาร์มสตรอง ในการเก็บตัวอย่างหินต่างๆ จากดวงจันทร์กลับมายังโลก โดยตัวอย่างที่เก็บมานั้นทำให้ทราบว่าดวงจันทร์มีองค์ประกอบทางธรณีที่คล้ายเปลือกแมนเทิลของโลก และในปฏิบัติการอะพอลโลนั้นนอกจากรอยเท้าที่มนุษย์อวกาศทิ้งไว้แล้ว พวกเขายังทิ้งกระจกที่สามารถสะท้อนเลเซอร์ได้ทุกมุมไปวางไว้ เพื่อวัดระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์ และทำให้เราทราบว่าดวงจันทร์ขยับห่างจากโลกปีละ 1-2 เซ็นติเมตร

“ทางด้านคู่แข่งอวกาศของสหรัฐฯ อย่างรัสเซียนั้นก็พยายามขัดขวางสหรัฐฯ ทุกวิถีทาง ก่อนหน้า นีล อาร์มสตรอง จะลงจอดยานไม่กี่วัน รัสเซียก็ส่งโรบอทเพื่อไปเก็บตัวอย่างดวงจันทร์และนำกลับโลก แต่ยานก็พุ่งชนดวงจันทร์เสียก่อน และหลังจากสหรัฐฯ ส่งคนไปดวงจันทร์แล้ว รัสเซียก็ไม่แข่งขันต่อ” ดร.ศรัณย์

ส่วนข้อสงสัยว่าสหรัฐฯ ส่งคนไปลงดวงจันทร์จริงหรือไม่นั้น ดร.ศรัณย์กล่าวว่า การส่งคนไปดวงจันทร์นั้นไม่สามารถทำได้ด้วยคนไม่กี่คน นอกจากการสร้างยาน สร้างจรวดแล้ว ยังคนที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ทั้งคนที่พัฒนาวิธีการขับถ่ายสำหรับคนที่อยู่ในอวกาศหลายวัน คนที่พัฒนาชุดสำหรับมนษย์อวกาศ รวมๆ แล้วมีคนที่มีส่วนร่วมในโครงการนี้กว่า 400,000 คน หากไม่ได้ไปจริงย่อมมีข้อมูลเล็ดลอดจากคนกลุ่มนี้บ้างหรือถ้าไม่ได้ไปจริง ผู้ที่จะแฉคนแรกเลยคือรัสเซีย และถึงจะแข่งขันกันดุเดือด แต่ในวันเดินทางของลูกเรืออะพอลโล 11 ทางรัสเซียก็ยังเขียนอวยพรให้เดินทางปลอดภัยและโชคดี ซึ่งนับเป็นน้ำใจในการแข่งขัน

สำหรับประสบการณ์และมุมมองต่อปฏิบัติการอะพอลโล 11 นี้ เปิดเผย ในค่ำคืนจัดฉายภาพยนตร์เรื่อง “First Man” มนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์ รอบพิเศษ เมื่อ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ ประเทศไทย จำกัด และ บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)



กำลังโหลดความคิดเห็น