มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ร่วม สอว.กระทรวงวิทย์ฯ ดันโคขุนพันธุ์ “ โคราชวากิว” ของดีอีสาน 4.0 โชว์เนื้อคุณภาพดี ไขมันแทรกในเนื้อสูง พร้อมพัฒนาเศรษฐกิจอีสานตอนล่าง
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เปิดตัวสายพันธุ์โคเนื้อ.“โคราชวากิว” และเทคโนโลยีการผลิตและแปรรูปเนื้อโคขุนคุณภาพสูง ภายใต้การแผนการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (จ. นครราชสีมา) โดยการใช้น้ำเชื้อโคพันธุ์วากิวพันธุ์แท้มาผสมเทียมกับแม่วัวไทย เลี้ยงง่าย โตเร็ว ไขมันแทรกสูง ทำให้ได้กำไรสูง กว่าโคเนื้อพันธุ์อื่น 5-8 เท่า ทุ่มงบประมาณ ปี 2562 กว่า 50 ล้านบาท สร้างโรงเรือนเลี้ยงโคพันธุ์โคราชวากิวอัจฉริยะ พร้อมระบบสืบค้นย้อนกลับ ด้วยการฝังไมโครชิบวัวทุกตัว สร้างห้องปฏิบัติการชำแหละและตัดแต่งเนื้อโคพันธุ์โคราชวากิว มาตรฐาน GMP และฮาลาล เพื่อการส่งออก ตั้งเป้าให้เป็นต้นแบบโรงชำแหละและตัดแต่งเนื้อมาตรฐานต้นแบบของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและของประเทศไทย
เมื่อวันที่ 7 ก.ย.61 ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ลงพื้นที่เพื่อทดสอบและติดตาม “โครงการผลิตโคเนื้อโคราชวากิวแบบครบวงจร” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการหลักตามนโยบายอีสาน 4.0 และเป็นอุตสาหกรรมมุ่งเน้น (Flagship Project) ของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (จ.นครราชสีมา) ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา โดยมี รศ.ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ อธิการบดี มทส.และผู้บริหาร มทส.ให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ รศ.ดร.วีระพงษ์ เปิดเผยว่า โคพันธุ์โคราชวากิวเป็นผลงานวิจัยและปรับปรุงสายพันธุ์ โดย รศ.ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส.โดยริเริ่มที่จะทำการผลิตโควากิวลูกผสมขึ้น ตั้งแต่ ปี 2548 เพื่อปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อของไทยให้มีเนื้อนุ่มและไขมันแทรกสูง โดยการนำน้ำเชื้อโคพันธุ์วากิวมาผสมเทียมให้กับแม่โคในเมืองไทย ทำให้ได้ลูกโครุ่นแรกเป็นโควากิว 50 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นนำลูกโคเพศผู้อายุ 12 เดือนที่ตอนแล้ว มาขุนอย่างประณีตอีก 24 เดือน จนมีอายุครบ 36 เดือน ซึ่งสามารถทำให้ได้ไขมันแทรกในเนื้อโคเกรด 4-6 ซึ่งสูงกว่าเนื้อโคพันธุ์อื่นๆ ที่ผลิตได้ในประเทศไทย
"การเลี้ยงโคเนื้อพันธุ์โคราชวากิว นอกจากช่วยลดการนำเข้าเนื้อโคที่มีความนุ่มและไขมันแทรกสูงแล้ว ยังสามารถผลิตเพื่อการส่งออกไปขายต่างประเทศโดยเฉพาะในแถบอาเซียนและจีนอีกด้วย ปัจจุบันเนื้อโคพันธุ์โคราชวากิวมีราคาสูงกว่าโคพันธุ์อื่น 5-8 เท่า มีความต้องการของตลาดสูง ทดแทนการนำเข้าเนื้อโคคุณภาพดี และมีโอกาสขยายตลาดไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านเพื่อการส่งออกได้อีกด้วย"
อธิการบดี มทส.กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา มทส. ได้ส่งเสริมการผลิตโคเนื้อ “โคราชวากิว” ให้เกษตรกร และกลุ่มเกษตรกรอย่างแพร่หลาย ตลอดจน มีความร่วมมือทางวิชาการกับหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ ในส่วนของการเลี้ยงโคขุน สหกรณ์ผู้เลี้ยงฯ เกษตรและสหกรณ์จังหวัด ปศุสัตว์จังหวัด ครอบคลุมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ สหกรณ์จังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครราชสีมา
"ปัจจุบันนี้ เรากำลังจะยกระดับการพัฒนาการเลี้ยงโคขุนและการแปรรูปผลิตภัณฑ์เนื้อโคขุนอย่างครบวงจร โดยใช้กลไกของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร จะยกระดับการเลี้ยงโคไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตเนื้อโคขุนคุณภาพได้ โดยทาง มทส.และเครือข่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค จะสนับสนุนและให้บริการ ฐานข้อมูล การเชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรม การวิเคราะห์ ทดสอบและมาตรฐาน การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การให้บริการทรัพย์สินทางปัญญา รวมไปถึงการให้บริการวิจัยและร่วมวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตามห่วงโซ่คุณค่าการผลิตเนื้อโคคุณภาพสูง “โคราชวากิว” ที่จะสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปเนื้อโคขุนให้แข่งขันได้กับต่างประเทศ ที่สำคัญคือเราต้องการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการสร้างคุณค่าให้ด้านเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและของประเทศไทยมีความเข้มแข็ง"
การวิจัยและพัฒนา “โคราชวากิว” ใช้เวลา กว่า 15 ปี และมีการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคพันธุ์โคราชวากิวใน 23 จังหวัดครอบคลุมทุกภาคของประเทศไทย มีเกษตรกรที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตโคเนื้อ “โคราชวากิว” กว่า 100,000 ครัวเรือน มีวิสาหกิจโควากิว เกิดขึ้นมากกว่า 20 แห่ง มทส. มีการให้บริการห้องปฏิบัติการแปรรูปและวิเคราะห์คุณภาพเนื้อ และบรรจุเนื้อโคพันธุ์โคราชวากิว สำหรับผู้ประกอบการ บ่มเพาะผู้ประกอบการ เพื่อจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าในกลุ่มร้านอาหาร ซุปเปอร์มาเกต (เครือเซนทรัล เครือเดอะมอลล์) โรงแรม และลูกค้ารายย่อย
สำหรับในปีงบประมาณ 2562 มทส. ได้รับจัดสรรงบประมาณบูรณาการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการดำเนินการ “โครงการผลิตโคเนื้อโคราชวากิวแบบครบวงจร” ในเฟสแรก 52 ล้านบาท เพื่อจัดทำโครงสร้างพื้นฐานการเลี้ยงโคเนื้อมาตรฐาน คือ การจัดทำระบบการสืบย้อนกลับด้วยการฝังไมโครชิปกับวัวทุกตัวที่เข้าโครงการ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการติดตามควบคุมและตรวจสอบโรคต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายให้โคพันธุ์โคราชวากิว มีประวัติสายพันธุ์ และปลอดจาก โดยจะทำการก่อสร้างคอกกลาง หรือโรงเรือนเลี้ยงโคเนื้อคุณภาพสูง ที่เป็นระบบปิด ควบคุมอุณหภูมิ และให้อาหารอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขุนโคให้มีอัตราการเจริญเติบโตสูงขึ้น และมีปริมาณไขมันแทรกสูงขึ้น ใช้ระบบโซลาเซลล์เป็นแหล่งพลังงาน มีระบบผลิตแก๊สชีวภาพเพื่อการจัดการของเสียและผลิตพลังงาน และมีแปลงผลิตพืชอาหารสัตว์ที่ทันสมัย
"นอกจากนี้จะสร้างห้องปฏิบัติการขำแหละและตัดแต่งเนื้อเนื้อโคพันธุ์โคราชวากิว มาตราฐาน GMP และฮาลาล เพื่อการส่งออก ตั้งเป้าให้เป็นต้นแบบโรงชำแหละและตัดแต่งเนื้อมาตรฐานต้นแบบของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและของประเทศไทย ที่มีการตรวจโรคติดต่อจากโคถึงคนทั้งก่อนและหลังชำแหละ นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบเนื้อโคที่ชำแหละแล้วว่ามีปริมาณสารตกค้างที่อันตราย ได้แก่ สารเร่งเนื้อแดง ยาปฏิชีวนะ ยาถ่ายพยาธิ และการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียก่อโรค หรือไม่ และออกใบรับรองคุณภาพอาหารปลอดภัย (Food Safety) เพื่อให้สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้"
อธิการบดี มทส.กล่าวด้วยว่า ความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีการผลิตโคเนื้อ “โคราชวากิว” ของ มทส. และกลไกการให้บริการอุทยานวิทยาศาสตร์ ทำให้มั่นใจว่า “โครงการผลิตโคเนื้อโคราชวากิวแบบครบวงจร” ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมมุ่งเน้น (Flagship Project) ของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (จ.นครราชสีมา) ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา การพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อคุณภาพสูง ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ และสร้างเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม เพื่อความยั่งยืนและความมั่นคงทางด้านอาหารของประเทศไทย และที่สำคัญจะสามารถสร้างอยู่ดีกินดีของเกษตรกร อาชีพเลี้ยงโคเนื้อ อย่างยั่งยืนต่อไป